xs
xsm
sm
md
lg

คนเสื้อแดง กับภารกิจ 'เลือดสาดดดด'

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 
     ในช่วงบ่ายแก่ของวันที่ 16 มีนาคม 2553 การที่แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นำเลือดของมวลชนคนเลื้อแดงปริมาณนับล้านซีซี ไปสาดทำเนียบรัฐบาล เพื่อแสดงให้เห็นว่า การชุมนุมในครั้งนี้ คนเสื้อแดง 'พร้อมที่จะสละเลือดเนื้อเพื่ออุดมการณ์' นั้น  ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ภารกิจดังกล่าว น่าจะเป็นเพียงการ 'สละเลือด' เท่านั้น ยังไม่ถึงขั้น 'สละเนื้อ'
    
     จึงน่ากลัวว่า หลังจากมีมาตรการเจาะเลือดสาดทำเนียบฯ แล้ว แกนนำนปช . อาจคิดหาวิธีแล่เนื้อเถือหนังผู้ชุมนุม เพื่อแสดงถึงความกล้าหาญในการ 'สละเนื้อ' อีกครั้งก็เป็นได้

     แต่ก่อนที่แกนนำคนเสื้อแดงจะคิดหามุกต่อไป การเจาะเลือดเพื่อระดมให้ได้ครบล้านซีซี ก็นับว่าดึงความสนใจจากคนส่วนใหญ่ในสังคมได้ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทำให้เกิดคำถามว่า เลือดตั้งมากมายขนาดนั้น นำไปบริจาคจะไม่ดีกว่าหรือ? เพราะนอกจากจะช่วยต่อชีวิต เยียวยาผู้คนที่ได้รับบาดเจ็บหรือเจ็บไข้ได้ป่วยแล้ว ก็ยังนับเป็นการทำบุญกุศลครั้งใหญ่แบบที่เรียกได้ว่า ชีวิตต่อชีวิต ซึ่งย่อมจะเหมาะสมและมีประโยชน์กว่าการเจาะเลือดเพื่อนำไป 'สาดเสียเทเสีย' แบบนี้

     และสำคัญกว่านั้น ผู้คนไม่น้อยก็เฝ้ามองอย่างเป็นห่วงว่าการบริจาคเลือดในสภาพร่างกายที่ไม่พร้อม อาจส่งผลเสียต่อร่างกาย กอปรกับสุขลักษณะในม็อบที่ไม่สะอาดพอ อาจนำไปสู่การติดเชื้อสารพัด
 
     ขณะเดียวกันหลายเสียงก็ยังถามไถ่ถึงจรรยาบรรณแพทย์ เพราะทั้งๆ ที่รู้ว่าเลือดเป็นสิ่งมีค่าขนาดไหน แต่ทำไม นายแพทย์แกนนำคนสำคัญจึงเห็นดีเห็นงามกับการนำเลือดของประชาชนไปสาดทิ้งแบบเปล่าๆ ปลี้ๆ แทนที่จะสนับสนุนให้นำไปบริจาคเพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์

     มาตรการ 'สาดเลือด' ของนปช.ในครั้งนี้ จึงก่อให้เกิดคำถามว่า จะทำไปเพื่ออะไร?


เลือดเป็นสิ่งมีค่า

     มหกรรมเจาะเลือดเพื่อการเมือง โดยแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ประกาศว่าจะนำไปสาดที่รัฐสภา พรรคประชาธิปัตย์ และบ้านนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั้น หากสามารถเจาะเลือดจากผู้ชุมนุมได้ถึง 1 ล้านซีซีจริง นี่อาจเป็นการได้รับโลหิตจากประชาชนที่เยอะที่สุดในประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่งเลยก็ว่าได้ จึงไม่แปลกถ้าจะมีสุ้มเสียงอยากให้ทาง นปช. นำเลือดไปบริจาคมากกว่าที่จะนำไปเททิ้ง

     เนื่องจากประเทศไทยต้องการเลือดถึงปีละ 300,000 ยูนิต หรือคิดเป็น 120 ล้านซีซี เพื่อส่งไปยังโรงพยาบาลต่างๆ
     สำหรับเลือดที่ได้รับในแต่ละวันนั้น 77 เปอร์เซ็นต์ จะถูกนำไปใช้รักษาผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุ ผ่าตัด และเสียเลือดจากการคลอดบุตร อีก 23 เปอร์เซ็นต์ นำไปใช้รักษาเฉพาะโรค เช่น โลหิตจาง ธาลัสซีเมีย เป็นต้น

     ดังนั้น เลือดจำนวน หนึ่งล้านซีซี จึงถือเป็นจำนวนที่ไม่ใช่น้อย ลองนึกภาพคร่าวๆ ดู ก็จะจินตนาการได้ถึงเลือดที่บรรจุอยู่ในขวดน้ำอัดลม 1 ลิตร วางเรียงรายกันถึง 1,000 ขวด ซึ่งเลือดปริมาณขนาดนี้ สามารถนำไปใช้ต่อชีวิตของผู้ป่วยที่ต้องการเลือดได้มากต่อมาก

     ดังที่เจ้าหน้าที่ของธนาคารเลือดในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งว่า อธิบายไว้ว่า

     “ในการรับบริจาคเลือดนั้น มีการเก็บอยู่สองขนาดคือ 350 และ 450 ซีซี ขึ้นอยู่กับน้ำหนักของผู้ให้เลือด คือถ้าน้ำหนักเกิน 50 กิโลกรัมจะให้ได้ 450 ซีซี ซึ่งเลือดที่เราเก็บมา 1 ถุง จะเรียกว่า 1 ยูนิต

     “ในการช่วยผู้ป่วยจากการประสบอุบัติเหตุในแต่ละครั้ง หมอจะสั่งมาที่ธนาคารเลือด เพื่อสำรองเลือดไว้เคสละประมาณ 2 ยูนิตเป็นเบื้องต้น หรือประมาณ900 ซีซี แต่หลังจากนั้นจะมีการใช้เพิ่มหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับตอนผ่าตัดว่าเสียเลือดมากแค่ไหน บางทีก็ไม่ได้ใช้เพิ่มเลย ขึ้นอยู่กับสภาวะร่างกายของผู้ป่วยเอง และในกรณีของโรคทางโลหิตอื่นๆ อย่างเช่นธาลัสซีเมียนั้น จะขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวของผู้ป่วย มีตั้งแต่ใช้ครั้งละ 100 – 400 ซีซี”

     จากการคำนวณคร่าวๆ จะเห็นได้ว่า การจะช่วยชีวิตผู้ป่วยแต่ละคนในเบื้องต้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีเกิดอุบัติเหตุ หรือโรคทางโลหิตก็ตาม ต้องใช้เลือดอย่างน้อย 2 ยูนิต (เฉลี่ย 800 ซีซี) ดังนั้น เลือดจำนวน 1ล้านซีซีนั้น สามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยในเบื้องต้นได้ถึง 1,250 คน

 
     แต่มันจะกลายเป็นสิ่งไร้ค่าไปในทันทีถ้าหากเอาเลือดกรุ๊ปต่างๆ มาเทรวมกันแล้วเอาไปเททิ้ง! ดังที่เจ้าหน้าที่ท่านเดิมย้ำว่า

     “เลือดมีความสำคัญมากในการดูแลผู้ป่วยโรคทางเลือดทั้งหมด แม้แต่ผู้ป่วยโรคมะเร็งก็ยังต้องการใช้ เพราะถ้าคนไข้ไม่สามารถผลิตเลือดออกมาใช้เองได้ทันก็ต้องมีการนำเลือดจากภายนอกไปสำรองใช้ก่อน

     “ทุกวันนี้เลือดที่มีอยู่ในธนาคารเลือดนั้นไม่พอใช้ เพราะว่ามีคนไข้เข้ามามาก ไม่ว่าจะเป็นกรณีของอุบัติเหตุ ธาลัสซีเมีย มะเร็ง หรือแม้แต่กระทั่งอาการเลือดออกในกระเพาะอาหารก็ต้องนำเลือดในธนาคารเลือดไปใช้เช่นกัน และเลือดที่เราได้มาก็จะต้องมาจากการบริจาคอย่างเดียวเท่านั้น และคนคนหนึ่ง หลังจากบริจาคเลือดไปแล้ว ก็ต้องรอถึง 3 เดือนกว่าจะบริจาคได้อีกครั้ง
 
     "ในบางทีถ้ามีความจำเป็นต้องใช้มากจริงๆ ทางธนาคารเลือดของแต่ละโรงพยาบาล ก็จะโทรไปที่สภากาชาด เพื่อขอสำรองมาใช้ แต่ก็จะได้มาไม่มาก เพราะสภากาชาดต้องดูแลทุกโรงพยาบาลทั่วประเทศ จำนวนเลือดที่มีให้เลยไม่พอ”

     ตามข้อมูล ณ ปัจจุบัน ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย มีความจำเป็นต้องจัดหาโลหิตให้ได้ถึงวันละ 1,500 ยูนิต หรือ 42,000 ยูนิตในหนึ่งเดือน จึงจะเพียงพอต่อความต้องการ

     ดังนั้น ย่อมเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่ง ถ้าหากจะมีการนำเอาเลือดจำนวน 2,500 ยูนิตของคนเสื้อแดงไปเททิ้ง โดยไม่เกิดประโยชน์โภชผลอันใด

เจาะเลือดไปสาด ระวังติดเชื้อ!

    นอกจากปริมาณเลือดนับล้านซีซี จะถูกนำไปเททิ้งแบบไร้ประโยชน์แล้ว อีกประเด็นหนึ่งที่น่าเป็นห่วงไม่แพ้กัน ก็คือสภาพร่างกายของผู้ชุมนุม เพราะหากไปดูขั้นตอนการเตรียมตัวในช่วงก่อนและหลังการบริจาคโลหิตของสภากาชาดแล้ว ก็ให้นึกสงสัย ว่า ผู้ชุมนุมที่ใช้ชีวิตอยู่ในม็อบทั้งวันทั้งคืน จะสามารถปฏิบัติได้ตามหลักเกณฑ์การบริจาคโลหิตหรือไม่

     โดยหลักเกณฑ์ดังกล่าว ระบุว่า ผู้บริจาคจะต้องมีการพักผ่อนเพียงพอในคืนก่อนวันบริจาค รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง รับประทานอาหารมื้อหลักก่อนมาบริจาคโลหิต หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เนื่องจากจะทำให้สีของพลาสมาผิดปกติเป็นสีขาวขุ่น ไม่สามารถนำไปใช้ได้

     นอกจากนั้น ก็ควรดื่มน้ำ 3-4 แก้ว และดื่มเครื่องดื่มเหลวเพิ่ม เพื่อเพิ่มปริมาณโลหิตในร่างกาย ซึ่งจะช่วยป้องกันอาการแทรกซ้อน แต่ควรหลีกเลี่ยงชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน อีกทั้งต้องงดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนบริจาค และงดสูบบุหรี่ ก่อนและหลังบริจาคโลหิต 1 ชั่วโมง เพื่อให้ปอดฟอกโลหิตได้ดี

     หลังบริจาคโลหิตแล้ว ก็ควรดื่มน้ำมากกว่าปกติเป็นเวลา 1-2 วัน หลีกเลี่ยงการทำเซาน่าหรือออกกำลังกายที่ต้องเสียเหงื่อมากๆ งดใช้กำลังแขนข้างที่เจาะ รวมถึงการหิ้วของหนักๆ เป็นเวลา 24 ชั่วโมง และหลังการบริจาคโลหิต กลุ่มผู้บริจาคที่ทำงานปีนป่ายที่สูง หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกลควรหยุดพัก 1 วัน

     นอกจากนี้ ควรรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง และยาธาตุเหล็กที่ได้รับวันละอย่างน้อย 1 เม็ดจนหมด เพื่อป้องกันการขาดธาตุเหล็กด้วย


 
     เมื่อดูจากขั้นตอนทั้งหลายทั้งปวงที่ว่ามา จึงทำให้เกิดความวิตกว่า ในสภาพการชุมนุมซึ่งย่อมไม่มีความพร้อมสรรพในเรื่องอุปกรณ์ บุคลากร ที่มีความเชี่ยวชาญ รวมทั้งความอ่อนเพลียของผู้ชุมนุม อาจจะทำให้เกิดผลกระทบด้านสุขภาพของผู้ให้เลือดได้

     ยังไม่นับรวมความสุ่มเสี่ยงจากการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ไวรัสตับอักเสบ หรือโรคอะไรก็ตามที่มาจากเลือด

     ดังที่ นิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ แสดงความเป็นห่วง เพราะหากมีการใช้เข็มร่วมกันอาจทำให้ติดเชื้อเอดส์ เพราะจากสถิติการใช้เข็มร่วมกัน 60 คน จะมีผู้ติดเชื้อ 1 คน ยิ่งการเจาะเลือดที่มีจำนวนคนมากขนาดนี้ ยิ่งทำให้ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อมีเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว


จรรยาบรรณอยู่ที่ไหน?

     นอกจากความห่วงใยต่อสุขภาพและการติดเชื้อที่อันตรายถึงชีวิตแล้ว จรรยาบรรณของแพทย์ ที่ทำการเจาะเลือดให้แก่คนเสื้อแดงในครั้งนี้ ก็นับเป็นอีกคำถามสำคัญที่คนเป็นแพทย์ควรจะต้องคำนึงถึง เช่นที่ คณะศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยมหิดล ในนามกลุ่มพี่น้องมหิดล ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ นปช. ยุติการกระทำนี้เนื่องจากห่วงว่าจะส่งผลถึงสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยโดยรวมของผู้เข้าร่วม และยังถือเป็นการผิดจรรยาบรรณทางการแพทย์ด้วย โดยในแถลงการณ์ระบุว่า

     1. กระบวนการทางการแพทย์ ในการนำเอาเลือดออกจากร่างกาย มีไว้เพื่อการตรวจวินิจฉัย เพื่อการรักษา หรือการบริจาคเท่านั้น มิสามารถกระทำเพื่อวัตถุประสงค์อื่นใดได้ หากบุคลากรทางการแพทย์ท่านใดได้กระทำไป ถือว่าผิดจรรยาบรรณต่อวิชาชีพอย่างร้ายแรง แม้ผู้ให้จะเต็มใจ

     2. ระดับแกนนำย่อมมีบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบที่สำคัญยิ่งอย่างหนึ่ง คือดูแลผู้เข้าร่วมชุมนุมให้เกิดความปลอดภัย และมีสุขภาพอนามัยที่ดีอยู่ตลอดเวลา ไม่ควรเลือกวิธีที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ การอ่อนเพลียจากการสูญเสียเลือดและอากาศร้อนอบอ้าว จึงขอเรียกร้องให้แกนนำหยุดมาตรการดังกล่าวที่ได้ประกาศออกไป เพื่อสุขภาพและความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมชุมนุมเอง

     3. ในสังคมไทยคงไม่สามารถจัดหาบุคลากรทางการแพทย์ใหม่ให้ได้มากเพียงพอ ที่จะมาร่วมในมาตรการดังกล่าว เนื่องจากบุคลากรทางการแพทย์มีจำกัดและจะต้องให้บริการรักษาประชาชน โดยทั่วไปอย่างทั่วถึงตลอดเวลา

     4. เลือดหรือโลหิตถือเป็นสิ่งมีค่าต่อชีวิต ขณะที่ผู้ป่วยต้องการโลหิตเป็นจำนวนมากในทุกขณะ แต่ระดับแกนนำเลือกที่จะนำเลือดจำนวนมากไปใช้ในมาตรการประท้วงเชิงสัญลักษณ์เช่นนี้ ย่อมไม่เป็นการเหมาะสมอย่างแน่นอน

     5. นพ.เหวง โตจิราการ หนึ่งในแกนนำย่อมทราบดีถึงเหตุผลทั้ง 4 ประการข้างต้น อีกทั้งตนเองเป็นบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งได้รับใบประกอบโรคศิลปะ จึงมิควรให้การเสนอแนะหรือชักชวนให้ใช้มาตรการดังกล่าวนี้ ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยต่อสุขภาพของผู้เข้าร่วมชุมนุม

                       ..............

 
     แน่นอนว่า คราบเลือดและการเก็บกวาดชำระล้างด้วยวิธีการฆ่าเชื้อแบบพิเศษให้ตรงตามหลักทางการแพทย์ที่ทำเนียบรัฐบาล คงเป็นอีกภาพหนึ่งที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์การชุมนุมของคนเสื้อแดง

     แต่ภาพที่ควบขนานมาด้วยกันอย่างไม่อาจแยกขาด คงไม่พ้นภาพขวดบรรจุเลือดอันน้อยนิดในธนาคารเลือดแต่ละแห่ง รวมทั้งภาพผู้ป่วยโรคทางเลือด และผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุอีกหลายชีวิต ที่กำลังนอนรอให้คนไทยบริจาคเลือดเพิ่มมากขึ้น แม้สักคน สักหนึ่งยูนิต...ก็ยังดี

     เลือดของนปช. แม้จะบอกว่าเป็นสัญลักษณ์ของการเรียกร้องประชาธิปไตย แต่ถ้าเป็นสัญลักษณ์ของการกระทำที่ไร้สติ โดยไม่ฟังเสียงรอบข้างของสังคม ก็คงเป็นได้แค่ความตื่นเต้นสะใจชั่วครั้งชั่วคราวของคนเพียงกลุ่มหนึ่งก็เท่านั้นเอง

                     ………......

            เรื่อง : ทีมข่าว CLICK
            ภาพ : พงศ์ศักดิ์ ขวัญเนตร


กำลังโหลดความคิดเห็น