xs
xsm
sm
md
lg

บ่นปนมึน ข้อสอบโอ-เน็ต 2553

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ฉันเครียด เล่นออกข้อสอบแบบนี้ ขอตายดีกว่า”

“เคยทำอะไรเป็นแผนการหรือเปล่าครับ”

“อะไรกันเนี่ย สอบไม่ตรงตามหลักสูตรที่เรียน เขาทำเพื่ออะไรเนี่ย ไม่สงสารเด็กบ้างเลยเหรอ”

“ข้อสอบที่วัดอะไรเด็กไม่ได้ เด็กตอบถูกเพราะ 'เดา' ไม่ใช่เพราะรู้ เข้าใจ แล้วจะสอบเพื่ออะไร ใครเดาเก่ง ดวงดี ก็ได้ 555 เกมวัดดวงป้ะเนี่ย เจ๊...ข้อสอบตามฮอร์โมนเจ๊จริงๆ 5555”

และยังมีอีกหลายข้อความในกระทู้เว็บไซต์ เด็กดีดอทคอม (www.dek-d.com) และในเว็บไซต์เฟซบุ๊ค Anti Prof. Dr. Utumporn Jamornmann! (สมาคมคนต่อต้าน ศ.ดร.อุทุมพร จามรมาน) ที่วิจารณ์การออกข้อสอบของศาสตราจารย์ด็อกเตอร์คนนี้อย่างดุเด็ดเผ็ดมัน เกี่ยวกับประเด็นการออกข้อสอบแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน หรือโอ-เน็ต ตามหลักสูตรแกนกลาง พ.ศ.2551 ของสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทศ.

โดยเมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2553 นักเรียนที่สมัครเข้าสอบโอ-เน็ตต่างตกตะลึงกับข้อสอบแนวแปลกประหลาดที่ไม่คิดว่าจะเจอในการสอบครั้งนี้ เมื่อข้อสอบหลายข้อต่างทำเอาคนทำข้อสอบต้องตกอยู่ในสภาวะอารมณ์ประหลาดใจ หดหู่ งงงวย พร้อมกับคำถามว่า ออกข้อสอบอะไรมา...!!!

จนกลายเป็นประเด็นร้อนถึงขั้นเด็ก ม.6 มีการออกมาร้องเรียนผ่านสื่อว่า ข้อสอบยากและกลายเป็นประเด็นฮอตของกลุ่มนักเรียนชั้น ม.6 ผู้ปกครอง รวมถึงใครต่อใครที่ได้อ่านข้อสอบพวกนี้...ชวนกันวิจารณ์กันสนั่นทั้งเว็บไซต์

ข้อสอบมหามึน

ตัวอย่างข้อสอบที่นำมาให้ดู เช่น วิชาสุขศึกษา ข้อ 27 ถามว่า

คำถาม : พัชรภรณ์เป็นนักเรียนชั้น ม.3 ของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ในวันแม่ปีนี้ พัชรภรณ์ได้มีโอกาสกราบคุณแม่ด้วยพวงมาลัยคล้องมือ ในช่วงเย็น ซึ่งเป็นมื้ออาหารสำคัญของครอบครัว เธอจะจัดอาหารให้คุณแม่เป็นพิเศษ ซึ่งคุณแม่เกิดวันศุกร์ชอบรับประทานอาหารไทยและผลไม้ไทยชนิดที่มีแคโรทีนสูง เพราะช่วยบำรุงสายตาและสมอง แต่คุณแม่มีปัญหาด้านสุขภาพมีคอเลสเตอรอลสูงและความดันโลหิตสูง พัชรภรณ์ควรจัดผลไม้และตกแต่งโต๊ะอาหารอย่างไร โดยเลือกในหมวดชนิดของดอกไม้ หมวดผลไม้ และหมวดสีผ้าปูโต๊ะ

คำตอบ: หมวดชนิดของดอกไม้ ได้แก่ ดอกบัว ดอกรัก ดอกมะลิ ดอกกุหลาบ ดอกกล้วยไม้ ดอกดาวเรือง ดอกซ่อนกลิ่น ดอกกุหลาบมอญ ดอกคูน ดอกสุพรรณิการ์

หมวดผลไม้ ได้แก่ แตงโม มะละกอสุก มะม่วงดิบ กระท้อน ชมพู่ เงาะ ลำไย ลิ้นจี่ องุ่น มังคุด

หมวดสีผ้าปูโต๊ะ ได้แก่ แสด ฟ้า เขียว แดง ดำ ชมพู เหลือง เทา น้ำเงิน น้ำตาลเข้ม

จากตัวอย่างข้อสอบข้อนี้ ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ม.6 หรือผู้ใหญ่เลยวัย ม.6 มาแล้วต่างมึนๆ พอกันว่า ไม่รู้จะตอบคำถามนี้ว่าอย่างไร ถ้าแม่เกิดวันศุกร์ แต่ไม่ได้ชอบสีฟ้า อาจจะชอบสีชมพูลายคิตตี้ สีเหลืองลายเซเลอร์มูน หรือไม่ชอบดอกไม้เลยก็ได้...จึงกลายเป็นความสงสัยของบรรดาคนทำข้อสอบและคนที่ได้เห็นข้อสอบว่าออกมาเพื่ออะไร และใครเป็นคนออก

ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมาในแวดวงนักเรียนและผู้ปกครอง โดยส่วนใหญ่จะออกมาในด้านลบมากกว่า

ซึ่งงานนี้ ศ.ดร.อุทุมพร ออกมาบอกว่า เป็นเพราะผู้ปกครองหยิบบางส่วนของข้อสอบมาวิจารณ์โดยไม่ได้ดูทั้งหมด ทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ ทั้งนี้ จากที่ลงพื้นที่ตรวจสนามสอบและได้สอบถามนักเรียนว่าข้อสอบยากเกินไปหรือไม่ บางคนก็บอกว่าเข้าใจดี แต่บางคนก็บอกว่ายาก ซึ่งมีทั้งสองส่วน ด้วยเหตุผลที่อยากให้เด็กไทยรู้จักการเชื่อมโยง เลยมีการออกข้อสอบที่หลากหลาย

“รูปแบบข้อสอบที่หลากหลายเช่นนี้ ครูควรนำไปสอบเด็กด้วยซ้ำ เด็กจะได้คุ้นเคยและฝึกคิดวิเคราะห์ ไม่ใช่คุ้นแต่ข้อสอบท่องจำ ถ้าจะให้ สทศ. ออกข้อสอบแค่ท่องจำ ทำได้ง่ายมาก แต่ สทศ. ทำไม่ได้ เพราะไม่สร้างสรรค์ สังคมกำลังบ่นว่าการศึกษาไทยแย่ เพราะเด็กคิดวิเคราะห์ไม่เป็น แต่เมื่อ สทศ. พยายามหาทางแก้ไข โดยใช้แนวข้อสอบที่ต่างไปจากเดิม กลับมาโวย สทศ.”

แนวคิดของ สทศ. ที่อยากให้เด็กไทยมีความคิดที่รู้จักการเชื่อมโยงและรู้จักการวิเคราะห์ หลุดจากแบบแผนที่ฝึกการท่องจำเพียงอย่างเดียวเหมือนแต่ก่อน แต่จากข้อสอบที่ สทศ. ออกมาดูเหมือนว่าคำตอบที่ถูกต้องนั้นไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียวเหมือนกับข้อสอบที่เด็กไทยคุ้นเคยกันมาก่อน เพราะข้อสอบบางข้อไม่สามารถตัดสินได้ว่าอะไรถูกหรืออะไรผิด เช่น

โจทย์วิชา สุขศึกษาและพลศึกษา (จงเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว)
คำถาม: นักเรียนอยากคบเพื่อนแบบใด
1.เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
2.เอาใจเขามาใส่ใจเรา
3.อัธยาศัยดี
4.มีน้ำใจ


แล้วข้อสอบข้อนี้ใครจะตัดสินได้ว่าคำตอบไหนเป็นคำตอบที่ถูกต้อง เพราะบางคนอาจจะอยากคบเพื่อนแบบมีน้ำใจหรือเพื่อนที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ซึ่งก็แล้วแต่รสนิยมของแต่ละคน เมื่อเห็นข้อสอบออกมาแบบนี้แล้ว ก็เชื่อว่าคนทำก็คงคิดมากเหมือนกัน ในใจหลายคนคงอยากจะตอบถูกทุกข้อ แต่ดันไม่มีในคำตอบเสียอย่างนั้น แต่ข้อสอบนี้ต้องการตัวเลือก 'ที่ถูกต้อง' เพียงข้อเดียวซึ่งแน่นอนว่าคนตัดสินว่าคำตอบไหนถูกต้อง ก็หนีไม่พ้นคนออกข้อสอบ จึงเป็นเหตุให้เด็กนักเรียนชั้น ม.6 ออกมาแสดงความไม่พอใจกับการวัดระดับความรู้ในครั้งนี้กันสนั่นเมือง

หรือข้อสอบข้อ 28 วิชาสุขศึกษา

คำถาม : อาหารไทยชนิดเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ ถ้านักเรียนจะจัดอาหารเช้าให้ชาวต่างประเทศที่มาเที่ยวเมืองไทย และเป็นวันครบรอบวันแต่งงานของเขา จะจัดอาหารไทยและโต๊ะอาหารอย่างไร โดยเลือกตอบในหมดอาหาร หมวดชนิดของดอกไม้ และหมวดสีผ้าปูโต๊ะ

คำตอบ: หมวดอาหาร ได้แก่ ข้าวผัดทะเล ข้าวต้มปลากะพง ข้าวต้มทะเล ข้าวห่อหมกปลาช่อน ผัดไทยกุ้งสด ราดหน้าปลาหมึก โจ๊กหมูใส่ไข่ ข้าวต้มหอยนางรม ข้าวไข่เจียวหมูสับ ข้าวผัดปู

หมวดชนิดของดอกไม้ ได้แก่ ดอกบัว ดอกรัก ดอกมะลิ ดอกกุหลาบ ดอกกล้วยไม้ ดอกดาวเรือง ดอกซ่อนกลิ่น ดอกกุหลาบมอญ ดอกคูน ดอกสุพรรณิการ์

หมวดสีผ้าปูโต๊ะ ได้แก่ แสด ฟ้า เขียว แดง ดำ ชมพู เหลือง เทา น้ำเงิน น้ำตาลเข้ม

เด็ก ม.6 VS ข้อสอบโอ-เน็ต

“หรือบางข้อถามว่า ถ้านักเรียนจะต้องนำอาหารมาให้ชาวต่างประเทศกิน จะเอาอาหารที่มีชื่อเสียงของประเทศไทยอะไรไปให้ฝรั่งกินในวันครบรอบวันแต่งงานของเขา ซึ่งข้อสอบก็จะให้หมวดอาหารมาประมาณ 10 ข้อ หรือถามว่า นักเรียนจะใช้ดอกไม้อะไรในการจัดโต๊ะ ใช้ผ้าปูโต๊ะสีอะไร ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าฝรั่งเขาจะกินอะไร อาหารไทยเขาแค่ให้ข้อมูลมาว่าเป็นอาหารไทยที่มีชื่อเสียงที่ฝรั่งรู้จัก หนูก็จะเลือกต้มยำกุ้ง แต่ในหมวดมันไม่มีต้มยำกุ้งให้เลือก หนูก็เลยไม่รู้ว่าจะตอบอะไร

“อย่างดอกไม้ เขาให้มา 10 ชนิด ผ้าปูโต๊ะก็มีทั้งสีชมพูและสีขาว แต่หนูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตอบสีอะไร ไม่เคยเรียนมาแบบนี้ หนูก็ตอบไปว่าข้าวผัดทะเล ดอกกุหลาบ ใช้ผ้าปูโต๊ะสีชมพู ยากน่ะ หนูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถามไปทำไม แล้วข้อหนึ่งมี 3 คำถาม แล้วเราต้องตอบให้ถูกหมดทั้ง 3 คำตอบ ถ้าเราตอบผิดสัก 1 ข้อ แปลว่าคะแนนข้อนั้นเราก็ไม่ได้เลย”


นั่นคือสุ้มเสียงบ่นของ มนต์นภา ขำสกุล นักเรียนชั้น ม.6 จากโรงเรียนสตรีวัดอักษรสวรรค์ หลังผ่านการสอบโอ-เน็ต ดังที่เป็นข่าวคราวก่อนหน้านี้ นักเรียนจำนวนหนึ่งไม่เข้าใจว่าอะไรคือวัตถุประสงค์ในการออกข้อสอบทำนองนี้

อย่าง พิชญ์สินี ทองเมืองหลวง นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนเดียวกันกับมนต์นภา ก็บอกว่า

“ข้อสอบบางข้อก็ไม่มีอยู่ในหลักสูตร อย่างวิชาศิลปะก็จะมีพวกเพลง มีอะไรที่ไม่เคยเรียนมาก่อน อย่างพวกวงออเคสตราประมาณนี้ เราไม่เคยรู้ อย่างบัลเล่ต์เงี้ย โรงเรียนเราไม่ได้สอน เป็นโรงเรียนรัฐบาล เหมือนเขาออกข้อสอบมาไม่ใช่เพื่อเด็ก ม.6 ทุกคน แต่เป็นเฉพาะบางกลุ่ม บางโรงเรียนเท่านั้น”

ไม่ต่างกับ วรสันต์ ทวีศรี นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนสารสาสน์วิเทศ บางบอน ที่แสดงความคิดเห็นต่อข้อสอบโอ-เน็ตครั้งนี้ว่า

“อย่างถามว่าอยากคบเพื่อนที่มีนิสัยอย่างไร คือมันเป็นความคิดของเรา แต่คนอื่นคิดไม่เหมือนเรา แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเราตอบไปถูกไหม เหมือนกับคนออกข้อสอบอยากมีเพื่อนที่มีน้ำใจ แต่ผมอยากมีเพื่อนที่เอาใจเขามาใส่ใจเรา ผมก็ไม่รู้ว่าคนออกข้อสอบจะคิดยังไง แล้วคำตอบก็เหมือนจะถูกทุกข้อ แต่ต้องเลือกคำตอบเดียว”

อาจเป็นความปรารถนาดีของกระทรวงศึกษาธิการที่ต้องการให้นักเรียนใฝ่หาความรู้นอกห้องเรียน และสามารถเชื่อมโยงสิ่งรอบตัวกับการเรียนในห้องเรียน แต่ผลที่ออกมากลายเป็นว่า วิธีตอบข้อสอบเป็นแบบปรนัย แต่วิธีใช้ชีวิตเป็นแบบอัตนัย จึงกลายเป็นช่องว่างขนาดใหญ่ที่ต่อกันไม่ติด และกลายเป็นเสียงบ่นของเหล่านักเรียน

“เพื่อนๆ ที่เดินออกมาจากห้องสอบ ก็มีบ่น หน้าตาแต่ละคนเหมือนโดนของ ‘ข้อสอบ xxx อะไรว่ะ ยากชิบเป๋งเลย จะไปรู้มั้ยล่ะ ว่าฝรั่งจะกินอะไร’ มีคำถามแบบนี้ประมาณ 5 ข้อ ซึ่งเราก็ตอบไม่ถูก” มนต์นภาเล่าบรรยากาศหลังออกจากห้องสอบ

“บ่นทุกคนค่ะ บ่นจริงๆ ยิ่งเรื่องซักผ้ากับผ้าปูโต๊ะนั่นนะคะ ร้ายแรงมาก คือเอาแบบข้อสอบปกติไม่ได้เหรอ” นี่ก็เสียงของพิชญ์สินี

อีกประเด็นที่นักเรียนกลุ่มนี้พูดเหมือนกันคือการตอบข้อสอบ 1 ข้อที่มีชุดคำถาม 3 คำถาม ซึ่งต้องตอบถูกทั้งหมดจึงจะได้คะแนน แต่ถ้าตอบผิดเพียงข้อเดียวก็จะไม่ได้คะแนนเลย

..........

จะด้วยเหตุผลของ สทศ. ที่อ้างว่าอยากให้เด็กไทยได้เรียนรู้และรู้จักการเชื่อมโยง รวมถึงวิเคราะห์สิ่งที่อยู่รอบตัว แต่ด้วยตัวข้อสอบเองที่ออกมาดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ตอบโจทย์นั้นสักเท่าไหร่ ยิ่งโดนกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงจากผู้ที่เกี่ยวข้องด้วยแล้ว

สทศ. ผู้รับผิดชอบเองก็ควรที่จะรับฟังแล้วนำความคิดเห็นที่หลากหลาย แล้วนำไปปรับปรุงเปลี่ยนแปลงข้อสอบหรือวิธีการที่จะสอนให้เด็กไทยรู้จักการเชื่อมโยงหรือวิเคราะห์สิ่งรอบตัว เพื่อที่จะก้าวไปเป็นอนาคตที่สำคัญของชาติต่อไป

************

เรื่อง: ทีมข่าว CLICK
ภาพ: พลภัทร วรรณดี





กำลังโหลดความคิดเห็น