xs
xsm
sm
md
lg

ห้างสรรพสินค้า ในวันเวลาที่เปลี่ยนผ่าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ในช่วงนี้ หลายคนคงอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ ที่จู่ๆ ศูนย์การค้าที่ไปเดินเป็นประจำทุกเสาร์-อาทิตย์นั้นก็มีใครไม่รู้บังอาจเอาป้ายมาปิดหน้าประตูไว้

'ห้ามเข้า!!'

แค่นั้นไม่พอ หลังจากนั้นอีก 1-2 วัน พวกนี้ยังฮึกเหิมหนักขึ้น เพราะเล่นเอาแผ่นสังกะสีใบใหญ่ห่อหุ้มด้วยผ้าใบสีเขียวมาคลุมตัวห้างไว้อีก ราวกับศูนย์การค้านั้นเป็นอาชญากรตัวสำคัญต้องกักขังเอาไว้ไม่ให้ผู้คนได้พบเห็น

ด้วยความสงสัยมากๆ สืบไปสืบมาก็เลยรู้ว่าเรื่องนี้นั้นมีที่มาที่ไป ซึ่งจะเป็นอะไรซะอีก หากไม่ใช่เพราะห้างเหล่านั้นมันเก่าแก่ ทรุดโทรม ราวกับซากโบราณที่ไม่เคยมีการบูรณะปฏิสังขรณ์เสียเลย แถมยุคนี้ยังมีห้างใหม่ๆ ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด

จากสภาพเช่นนี้เองเหล่าผู้บริหารห้างสรรพสินค้าที่ดี คงจะตระหนักว่า หากยังปล่อยให้ขุมทรัพย์ของตัวเองดูเจริญลงแบบนี้ มีหวังได้ม้วนเสื่อกลับบ้านแน่นอน ดังนั้นจึงต้องขออนุญาตตัวเองปิดปรับปรุงห้างชั่วคราว เพื่อที่จะได้เปลี่ยนแปลงทัศนียภาพเสียใหม่ให้มันดูเจริญหูเจริญตา

แน่นอนพอเจอมุกนี้เข้าไป บรรดานักเดินห้างถึงกับเซ็งจิตขึ้นมาทีเดียว เพราะเล่นปิดกันง่ายๆ แล้วอย่างนี้เวลาว่างๆ จะไปเดินเล่นที่ไหนกันแทนล่ะ

เห็นบรรยากาศแบบนี้ก็เลยอดสงสัยไม่ได้ว่า...ตกลงแล้วห้างสรรพสินค้านั้นจำเป็นหรือผูกพันกับชีวิตของคนเราอะไรนักหรือ ทั้งๆ ที่คนก็เยอะ สินค้าก็แพง แต่ยังนิยมไปเดินให้ลำบากกันอีก

ห้างฯ นั้นมาแต่หนไหน

หากจะไปแล้ว ห้างสรรพสินค้าหรือศูนย์การค้านั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ของสยามประเทศเลย เพราะถือกำเนิดตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว โดยในปี 2367 นายโรเบิร์ต ฮันเตอร์ พ่อค้าชาวสกอต ซึ่งรู้จักกันในฐานะแมวมองผู้ปลุกปั้นฝาแฝดอิน-จัน ได้ขอเช่าตึกสูงของสมเด็จเจ้าพระยามหาประยุรวงศ์ บริเวณหน้าวัดประยุรวงศาวาส ธนบุรี เพื่อประกอบกิจการที่เรียกว่าห้างสรรพสินค้า หรือสถานที่สำหรับซื้อของของคนเมือง ซึ่งได้รวบรวมสินค้านานาชาติมาไว้ที่เดียวกัน ทั้งผ้าฝรั่ง ผ้าแขก ยาฝรั่ง อย่าง ควินิน แถมตอนหลังยังแอบขายฝิ่นอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังมีลักษณะเป็นรากหญ้า ซึ่งมีคตินิยมของไทย และกลัวเกรงของจากฝรั่ง จึงทำให้ห้างสรรพสินค้าในยุคนั้นยังไม่เป็นที่นิยมมากมายนัก แม้จะมีผู้หาญกล้ามาเปิดห้างอีกมายมาก เช่น นายหลุยส์ ที. เลียวโนเวนส์ ซึ่งเป็นห้างแถวสี่พระยา หรือ นายเอช. เอ็น. แอนเดอร์เสนซึ่งทุนหนากว่า เพราะเปิดทั้งห้างและโรงแรมโอเรียนเต็ล โฮเต็ลในเวลาเดียวกัน แต่ผลประกอบการก็อยู่ในขั้นพออยู่พอกินเท่านั้น

จนกระทั่งในยุคที่วัฒนธรรมตะวันตก เริ่มเผยแพร่ในหมู่คนสยามมากขึ้น ห้างจึงได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความทันสมัย ความหลากหลาย เป็นรูปแบบการใช้ชีวิตชนิดใหม่ของคนเมือง พอถึงวันหยุดเมื่อใด ห้างฯ ก็กลายเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ที่ทุกคนนึกถึงเสมอ เพราะนอกจากจะเป็นแหล่งรวมสินค้าแล้ว มันมีหน้าที่สำคัญในฐานะของแหล่งพบปะสังสรรค์ และเป็นเครื่องมือในการสะท้อนชีวิตที่ดีของคนในแต่ละยุคอีกด้วย โดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่น ซึ่งถือเป็นวัยที่รักสนุก และแสวงหาความบันเทิงอย่างสูง

ที่เห็นๆ และคุ้นเคยกันก็คงจะอย่างยุค 2499 อันธพาลครองเมือง ที่แถบวังบูรพาภิรมย์ถือเป็นจุดสุดพีกของบรรดาวัยโจ๋ทั้งหลาย เพราะนอกจากจะมีโรงหนัง 3 พี่น้อง คิงส์ ควีน และแกรนด์แล้ว ที่นี่ยัง ห้างสรรพสินค้าที่ว่ากันว่าทันสมัยที่สุดในประเทศอย่าง เซ็นทรัล วังบูรพาอีกด้วย และนี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้วัยรุ่นจากทั่วพระนครมารวมตัวกันที่นี่ จนเป็นที่มาของคำว่า 'โก๋ หลังวัง'

ห้างฯ ในรอยต่อของกาลเวลา

อย่างไรก็ตาม การเล่าเช่นนี้อาจจะยังไม่ซึมซับเท่าใดนัก ดังนั้นจึงถือโอกาสพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญในเรื่องห้าง อย่าง วัฒน์ อดีตหัวหน้ากองบรรณาธิการนิตยสารฉบับหนึ่งที่เคยผ่านชีวิตคนเดินห้างมามากกว่า 30 ปี เพื่อเติมเต็มบรรยากาศความผูกพันระหว่างคนกับห้างให้มากขึ้น

โดยวัฒน์เล่าว่า หากย้อนไปเมื่อ 30-40 ปีก่อน ย่านที่ถือเป็นแหล่งนำสมัยมากที่สุดในยุคนั้น คงต้องยกให้ย่านราชดำริจนยาวไปถึงย่านราชประสงค์ เพราะนอกจากจะเป็นแหล่งรวมตัวของนักธุรกิจ นักเที่ยวและนักเรียนนอกแล้ว ยังถือเป็นจุดศูนย์รวมของความบันเทิงทุกประเภท ทั้งผับ เธค โดยมีห้างไทยไดมารูเป็นศูนย์กลาง

“ตอนที่ผมเป็นนักเรียน นุ่งขาสั้น ตอนนั้นย่านราชดำริ ก็มีไทยไดมารู ซึ่งถือว่าเป็นห้างประวัติศาสตร์ เพราะถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ในการต่อต้านสินค้าญี่ปุ่น โดยในช่วงก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 พวกนักศึกษาจะใช้ห้างนี้เป็นแหล่งชุมนุมต่อต้านการใช้สินค้าญี่ปุ่น เนื่องจากไดมารูนำเข้าและขายสินค้าญี่ปุ่นเยอะมาก”

พอมาถึงยุคทศวรรษที่ 1980 แถวราชประสงค์ก็มีโอกาสต้อนรับดินแดนสยามสแควร์ ซึ่งเริ่มบูมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีห้างเกิดขึ้นมากมาย ทั้งสยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ ฯลฯ

“หากถามว่า เสน่ห์ของสยามฯ คืออะไร คงจะเป็นเพราะพื้นที่นี้ไม่มีวันตาย แม้บางครั้งอาจจะวูบๆ ไปบ้าง แต่ก็ฟื้นขึ้นได้ทุกที ยิ่งตอนนี้ มีสยามพารากอนเกิดขึ้นมาอีก ก็ยิ่งชัดเจน โดยเฉพาะความเป็นศูนย์กลางของแฟชั่น”

เมื่อเอ่ยถึงราชประสงค์ ก็ต้องนึกถึงห้างเกษรพลาซ่า ซึ่งวัฒน์ก็ไม่พลาดที่จะสะท้อนเอกลักษณ์ที่เด่นชัดของห้างสำหรับคนมีฐานะ ซึ่โงฝั่งแน่นกับห้างแห่งนี้มานานนับ 30 ปี

“คุณมองว่าห้างเกษรฯ ในวันนี้ จับกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ใช่ไหม แต่ในความเป็นจริงแล้ว ห้างเกษรเขาไฮเอนด์มาตั้งแต่ก่อนยุค’80 แล้วล่ะ เพราะเกษรฯ เกิดขึ้นในยุคที่ราชประสงค์ยังบูมๆ เพราะเป็นย่านที่นักเรียนนอกเขานิยมไป 'ที เบรก' กันตอนพักกลางวัน เรียกได้ว่ายุคนั้น มันเป็นยุคเก๋ไก๋ที่สุดแล้ว เพราะฉะนั้น เกษรฯ ก็ขายของนอกมาตั้งแต่ยุคนั้น จนถึงยุคนี้ สินค้าแบรนด์เนมจึงกลายเป็นเอกลักษณ์ของเกษรฯ เรื่อยมา”

นอกจากนี้ วัฒน์ยังพูดถึงบรรดาห้างสรรพสินค้า อย่างมาบุญครอง เซ็นเตอร์ ห้างพาต้า และตั้งฮั่วเส็งอีกด้วย

“มาบุญครองเฟื่องฟูขึ้นมาหลังยุคแรกๆ ของ สยามสแควร์ เสน่ห์ของมาบุญครองฯ เหรอ พูดง่ายๆ มันก็คือร้านโชว์ห่วยขนาดใหญ่ ที่มีเอกลักษณ์เรื่องสินค้าสำหรับผู้หญิง ส่วนพาต้าก็เคยทันสมัยอยู่ยุคหนึ่ง แต่เพราะไม่ปรับปรุงเพิ่มเติม เมื่อไม่ปรับปรุงแล้ว ทุกวันนี้ก็เหมือนห้างร้าง แม้จะยังมีพาต้าปิ่นเกล้าที่ยังเปิดอยู่ แต่ก็เหมือนห้างร้าง ส่วนตั้งฮั่วเส็ง เมื่อไปเทียบกับห้างอื่นๆ เช่น สยามพารากอน ตั้งฮั่วเส็งก็กลายเป็นร้านโชว์ห่วย ต่างจากเมื่อก่อน ที่โอ้โฮ! ตั้งฮั่วเส็งเก๋มาก เก๋จะตาย”

ฤดูสู่ความเปลี่ยนแปลง

ความผูกพันของคนไทยกับห้างนั้น ไม่ได้เพียงแค่บรรยากาศเท่านั้น ปัจจัยทางด้านสังคมก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ลักษณะและรูปแบบของห้างสรรพสินค้าเริ่มเขยิบมาข้างหน้า

ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ ก็คือแต่เดิมเวลาพูดถึงห้างสรรพสินค้า ภาพที่ทุกคนนึกถึงก็คือสถานที่ที่มีสินค้ามากมายให้เลือกสรร หรืออย่างที่รู้จักกันในตอนนี้ว่า ซูเปอร์มาร์เกต

แต่พอถึงระยะหนึ่ง ทุกคนก็มีโอกาสได้สัมผัสกับห้างที่ขายสินค้าเฉพาะประเภท เช่นแถวพาหุรัด ก็มีห้างที่ขายสินค้ากีฬาโดยเฉพาะที่ชื่อ ห้างไนติ้งเกล โอลิมปิค ส่วนห้างแมวดำขายเสื้อยืด เสื้อกล้ามเป็นหลัก แต่ถ้าเป็นยุคนี้ก็จะเป็นห้างที่เน้นสินค้าเทคโนโลยี เช่น พันธุ์ทิพย์ พลาซา เสรีเซนเตอร์ และล่าสุด ดิจิตอลเกทเวย์
ไม่เพียงแค่นั้น ทุกวันนี้ลักษณะของห้างยังมีการปรับตัวเพื่อให้เข้ามาอยู่ใกล้ชิดกับลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการนำอะไรหลายๆ อย่างที่เคยอยู่แยกกันมารวมในตัวห้าง

วุฒิชัย กฤษณะประกรกิจ นักเขียนและบรรณาธิการนิตยสาร อธิบายว่าสำหรับชีวิตคนเรานั้น ห้างนั้นมีความลึกซึ้งมากกว่าที่ทุกคนเข้าใจ เพราะถือเป็นพื้นที่ของการประกอบกิจกรรมไลฟ์สไตล์ เนื่องจากทุกวันนี้ชีวิตคนเราจำเป็นต้องมีสถานที่ที่มากกว่า 'บ้าน' และ 'ที่ทำงาน'

“ปัจจุบันศูนย์การค้ากลายเป็น วัน-สต็อป-ช็อปปิ้ง คือไปที่เดียวแล้วได้ทำทุกอย่าง ทั้งดูหนัง กินข้าว หรือร้องคาราโอเกะ ส่งผลให้ธุรกิจค้าปลีกแบบเก่า ที่มีเฉพาะแค่ห้างสรรพสินค้าขนาดพื้นที่เล็กๆ เอาไว้แค่ไปซื้อของอย่างเดียวแล้วก็กลับ เริ่มลดความนิยมลง”

และคงเป็นเพราะสาเหตุนี้กระมัง ทำให้ทุกวันนี้มีห้างเยอะขึ้น แข่งขันกันมากขึ้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ที่ห้างในปัจจุบันต้องหาทางเพื่อความอยู่รอด หากใครไม่สามารถปรับตัวได้ ก็ต้องล่มสลายไปตามยุคสมัย

ดังเช่นห้างเล็กๆ หลายแห่ง เช่น โรบินสัน ซึ่งแต่ก่อนก็เป็นห้างเอกเทศ แต่ภายหลังก็มีปัญหาทางธุรกิจขั้นรุนแรง จนต้องควบรวมเซ็นทรัล ส่วนห้างเมอร์รี่คิงส์ หรือห้างบางลำพูตอนนี้บางสาขาก็ต้องควบรวมกับห้างที่ใหญ่กว่า ขณะที่อีกไม่น้อยที่ปิดตัวไปแล้ว

ขณะที่ห้างใหญ่ๆ เองก็ใช่ว่าจะนิ่งนอนใจอยู่ได้ อย่าง ห้างเซ็นทรัล เองตอนนี้ก็เตรียมปิดปรับปรุงสาขาลาดพร้าวนานถึง 6 เดือน โดยใช้งบลงทุน 2.1 พันล้านบาท ไม่เท่านั้นยังเตรียมจะปรับปรุงอีก 3 สาขาได้แก่ ปิ่นเกล้า ภูเก็ต หาดใหญ่ และที่ผ่านมาก็เคยปรับปรุงสาขาชิดลมเมื่อปี 2549 เพื่อให้รับกับความทันสมัยมาแล้ว

ตามมาด้วยเสรีเซ็นเตอร์ ที่กำลังจะปรับเปลี่ยนชื่อเป็น 'Paradise Park' และในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาได้ปรับและเพิ่มพื้นที่ในส่วนของเสรีชอปปิ้ง สตรีท ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับขายเสื้อผ้าแฟชั่น จาก 1,400 ตารางเมตร เป็น 2,000 ตารางเมตร เพื่อให้เหมือนกับแพลทินัม มอลล์ และปีที่ผ่านมาได้ปรับพื้นที่ในส่วนของเสรี ไอที เซ็นเตอร์ เพื่อให้ดูทันสมัยและเป็นระบบมากขึ้น ส่วนศูนย์การค้าไอทีมอลล์ก็ใช่ย่อยเพราะมีการปรับปรุงในส่วนของศูนย์การค้าใหม่ เพื่อแยกหมวดหมู่ร้านค้าให้ชัดเจน เพิ่มศูนย์บริการลูกค้าแบรนด์ไอทีต่างๆ ให้ครบทุกแบรนด์ชั้นนำ
……….

หลายๆ คนมักมองว่า ห้างสรรพสินค้าถือตัวแทนของความฟุ่มเฟือย เป็นเครื่องมือของระบบทุนนิยม ซึ่งหวังมาปอกลอกหลอกเอาเงินในกระเป่าของทุกคน แต่หากอีกแง่หนึ่ง ห้างสรรพสินค้าก็ถือเป็นเครื่องมือในการสะท้อนสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยได้ดีที่สุด เพราะตลอดช่วง 50 ปีมานี้ ห้างก็ยังคงเป็นตัวเลือกต้นๆ ของสถานที่ซึ่งคนคิดที่จะไปเสมอ แม้ว่าในช่วงนั้นสภาพบ้านเมืองจะดีหรือร้ายสักแค่ไหนก็ตาม
..........

สืบเนื่องมาจาก...ห้างฯ

คำกล่าวที่ว่า ห้างสรรพสินค้าเป็นแหล่งที่ทันสมัยที่สุดในเมืองไทยคงจะไม่เกินเลยไปจากความจริงเท่าใดนัก เพราะของหลายๆ อย่าง ที่คุณอาจจะไม่เคยพบไม่เห็นมาก่อน ไม่แน่คุณจะพบว่าเป็นครั้งแรกที่ห้างฯ ก็ได้ ไม่เชื่อลองดูรายชื่อเหล่านี้ดูก็ได้

1. บันไดเลื่อน เมื่อก่อนหากนึกถึงบันไดเลื่อนก็ต้องอยู่คู่กับห้างฯ เพราะที่อื่นคงยาก บันไดเลื่อนเกิดขึ้นครั้งแรกที่ไทยแดนมารู

2. ลิฟต์แก้ว ถ้าย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน บรรยากาศคนเคยไปเดินห้างแล้วรอขึ้นลิฟท์แก้วมีให้เห็นในสมัยห้างฯ โรบินสันราชดำริ ซึ่งเมื่อก่อนห้างฯ นี้เคยมีตัวชูโรงคือ 'ลิฟท์แก้วแห่งแรกของเมืองไทย'

3. ลานสเกต บางห้างนำลานสเกตเข้ามาเรียกลูกค้าวัยรุ่น ซึ่งห้างฯ แรกที่ทำแบบนี้คืออิมพิเรียลเวิลด์ลาดพร้าว ปัจจุบันหลานห้างฯ ได้นำลานสเก็ตเข้ามาไว้เป็นตัวชูโรง เช่น เอสพลานาด เซ็นทรัลเวิลด์

4. นกเพนกวิน ใครจะไปคิดว่าสัตว์ที่ต้องอยู่ขั้วโลกเป็นนกเพนกวินจะมากางปีกหาบินในเมืองไทยที่ร้อนตับแตกได้ แต่สุดท้าย ห้างพาต้าปิ่นเกล้าก็ทำลายความเชื่อเดิมๆ ได้สำเร็จ สร้างความฮือฮากับเด็กที่ต้องเข้าคิวกันดูสัตว์หายากชนิดนี้กันเป็นแถว

5. โอเชี่ยนเวิลด์ ตื่นเต้นตกใจกันหมด เมื่ออยู่ๆ ก็มีข่าวว่ากรุงเทพฯ จะมีฝูงปลาทะเลมาอยู่กลางห้าง แน่นอนหลายคนไม่เชื่อ แต่สุดท้ายข่าวลือก็เป็นจริง เมื่อสยามพารากอนสร้างอุโมงค์ทะเลใหญ่ที่เรียกว่า อควาเรียมสำเร็จเป็นแห่งแรกในเมืองไทย จากความสำเร็จครั้งนี้ทำให้ทุกวันนี้โรงเรียนต่างๆ ต้องพาเด็กๆ ไปเที่ยวสวนสัตว์ทะเลแทนเขาดินซะแล้ว เพราะนอกจากอากาศจะเย็นกว่าแล้ว ยังหรูกว่าตั้งเยอะ
..........
เรื่อง : ทีมข่าว Click
ภาพ : ทีมภาพ Click




กำลังโหลดความคิดเห็น