จะว่าไปแล้วสนามบินสุวรรณภูมิน่าจะเป็นสนามบินที่คนไทยควรจะภูมิใจในความยิ่งใหญ่และทันสมัยมากที่สุด แต่ที่ผ่านมา ถ้าหากไปถามนักเดินทางถึงความพึงพอใจที่มีต่อสนามบินแห่งนี้ เชื่อว่ากว่าครึ่งคงบอกว่ามาตรฐานการบริการของที่นี่ 'สอบตก'
แต่ก็นับเป็นนิมิตหมายอันดีที่ปีนี้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) มีจุดมุ่งหมาย ที่จะทำให้สนามบินสุวรรณภูมิติดอันดับท่าอากาศยานที่มีการให้บริการดีเด่น 1 ใน 10 ของโลก ซึ่งในการดำเนินการนั้น ย่อมมีขั้นตอนมากมาย โดยในเบื้องแรก ทอท. ได้ทำการย้ายรูปปั้นยักษ์เป็นการชิมลางไปก่อนหน้าแล้ว และไม่นานมานี้ ทาง ทอท. ก็ได้ออกมาแถลงการณ์ถึงความคืบหน้าในการทำให้สนามบินของเราติดอันดับโลก
นั่นก็คือตราสัญลักษณ์ หรือ โลโก้ใหม่ถอดด้าม ที่ได้รับการคัดสรรมาอย่างดีแล้วว่า สวยงามและมีความหมายที่ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ย!!!
ตราสัญลักษณ์มาก่อนการบริการ?
กรณีที่สนามบินสุวรรณภูมิแห่งนี้ไม่ต้องมีโลโก้ สมชัย สวัสดีผล ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นคนแรก ในฐานะผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) เคยให้สัมภาษณ์ในนิตยสาร Positioning ไว้ว่า เป็นเรื่องปกติของสนามบินที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ๆ ไม่จำเป็นต้องมีป้ายชื่อหรือโลโก้ ให้เห็น แต่จะใช้วิธีจดจำรูปลักษณ์ของตัวอาคารสนามบิน
“มองเห็นตัวอาคารของสนามบินเป็นรูปคลื่น ก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นสนามบิน สุวรรณภูมิ ในต่างประเทศเขาก็ไม่มีชื่อ หรือโลโก้ ให้เห็น”
แต่ล่าสุดในวาระที่สนามบินสุวรรณภูมิเปิดให้บริการมา 3 ปีเต็ม เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2553 นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) เปิดเผยว่า จากการที่ท่าอากาศยานนานาชาติ (Airports Council International : ACI) ทสภ. ได้จัดประกวดตราสัญลักษณ์ขึ้น เพื่อจะนำมาใช้เป็นสื่อในการเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดี มีผู้สนใจเข้าส่งผลงาน 635 ผลงาน
และคัดเลือกจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากสถาบันการศึกษา บริษัทเอกชนเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการ โดยเกณฑ์การตัดสินผลงาน พิจารณาจากรูปแบบ และสี ที่สื่อถึงความหมายของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิที่แปลว่า “แผ่นดินทอง” และความเป็นท่าอากาศยานนานาชาติ โดยมีการออกแบบที่ดูทันสมัย จดจำง่าย และสะท้อนความเป็นไทยด้วย
สำหรับตราสัญลักษณ์ที่ได้รับการคัดเลือกให้ได้รับรางวัลชนะเลิศในครั้งนี้ เป็นผลงานการออกแบบโดย นายเถาไท สุขศิริธาดา ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปแบบเชิงนามธรรมแสดงถึงการบินที่พุ่งทะยานขึ้น สื่อถึงความเจริญก้าวหน้าอย่างไม่หยุดนิ่ง เพื่อก้าวสู่ความเป็นผู้นำในธุรกิจด้านการขนส่งทางอากาศ ซึ่งจะได้รับเงินรางวัลจำนวน 100,000 บาท และรับประทานโล่จาก พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ
นอกจากนี้ยังได้มอบรางวัลชมเชยอีก 6 รางวัล รางวัล ๆ ละ 10,000 บาท พร้อมโล่และประกาศเกียรติบัตร และรางวัลสนับสนุน อีก 8 รางวัล ซึ่งจะได้รับเงินรางวัล ๆ ละ 2,000 บาท พร้อมโล่และประกาศเกียรติบัตร และทสภ. ยังได้มีการคัดเลือกผลงานที่มีการออกแบบที่สวยงามที่เข้ารอบสุดท้ายอีก จำนวน 52 ผลงาน เพื่อนำไปจัดแสดงนิทรรศการในอาคารผู้โดยสารอีกด้วย โดยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จประทานโล่รางวัลให้แก่ผู้ชนะเลิศ พร้อมทรงเปิดนิทรรศการการแสดงผลงานการประกวดตราสัญลักษณ์ในวันที่ 26 มกราคม นี้ ณ ทสภ. เวลา 15.00 น.
ซึ่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) บอกว่า ทอท. ได้มีนโยบายที่มุ่งพัฒนาให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางอากาศในภูมิภาคเอเชีย โดยตั้งเป้าหมายที่จะให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมินั้น เป็นท่าอากาศยานที่มีการให้บริการดีเด่นติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก ภายใต้โครงการจัดอันดับคุณภาพการบริการของสภาท่าอากาศยานนานาชาติ (Airports Council International : ACI) ซึ่งความคิดในเรื่องของการออกแบบโก้เพื่อสร้างความเป็นเอกลักษณ์นั้น ได้ถูกทำเป็นหมุดหมายในการเริ่มต้นพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรรณภูมิ ซึ่งก่อนหน้านี้ ทางการท่าฯก็ได้มีการย้ายยักษ์เพื่อปรับภูมิทัศน์ภายในสนามบินไปแล้ว
อาจจะฟังดูงงๆ เพราะหลายคนคงนึกไม่ถึงว่า การพัฒนาสนามบินให้กลายเป็นเป็นท่าอากาศยานที่มีการให้บริการดีเด่น มันมาเกี่ยวอะไรกับการย้ายยักษ์และออกแบบโลโก้
ถอดรหัสโลโก้นำโชค
ในสายตาของนักออกแบบ กรรณิการ์ จิตต์บรรจง กราฟิกดีไซเนอร์อิสระ ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโลโก้ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิว่า
“โลโก้ชิ้นนี้เมื่อดูโดยรวมแล้วก็มองออกว่า เป็นโลโก้ของสนามบิน ทั้งตัวสัญลักษณ์ การออกแบบ รูปแบบตัวอักษร สีที่ใช้อย่างสีน้ำเงินสื่อถึงความน่าเชื่อถือเป็นทางการ และสีทองก็ทำให้ดูดีมีระดับ ถ้าพูดถึงรูปแบบตัวอักษรรที่ใช้ก็อ่านง่ายดี สรุปคือแง่ของการใช้งานก็ถือว่าผ่าน” กรรณิการ์กล่าว
และเมื่อถามว่า โลโก้ชิ้นนี้สามารถสื่อให้เห็นถึงความเป็นสนามบินอันดับหนึ่งในเอเชียได้หรือไม่ กราฟิกดีไซน์ บอกว่า
“ในเรื่องนี้ตัวโลโก้ไม่ได้สื่อออกมา ถ้าถามว่ามีลักษณะสื่อถึงเครื่องบินหรือสนามบินไหม? ตรงจุดนี้ มันแสดงออกมาได้ชัดว่ามีลักษณะอย่างนั้นอยู่ การดีไซน์และตัวอักษรที่ใช้ก็แสดงถึงความโฉบเฉี่ยว รวดเร็วว่องไวดูแล้วเหมือนบินได้ รวมทั้งมีความเป็นไทยอยู่ด้วยในส่วนที่เป็นสีทอง”
แต่ในเรื่องของความลงตัวนั้น กรรณิการ์ให้ความเห็นว่า ลักษณะเส้นที่ใช้ถือได้ว่ามีความลงตัว แต่ว่ามันออกจะดูเหงาๆ เนื่องจากตัวอักษรที่ใช้ยังดูโดดเดี่ยวมีลักษณะของช่องว่าง ตัวสัญลักษณ์ตัวหนังสือถูกแยกออกจากกันชัดเจน ควรที่จะอยู่รวมกันให้มีความกลมกลืนมากกว่านี้”
ในด้านรูปแบบเป็นอันเรียบร้อยว่าใช้ได้ แล้วในด้านความหมาย ตามหลักฮวงจุ้ยล่ะ จะพุ่งทะยานจริงหรือ?
“โลโก้ตัวนี้มีข้อดีคือ เส้นสามเส้นที่วิ่งขึ้นไป เป็นตัวแทนของ 'ฟ้า-คน-ดิน' ที่ลอยขึ้นไปสัมพันธ์กันข้างบน ซึ่งจากซ้ายไปขวา หรือขวาไปซ้ายนั้นก็มีผลต่างกัน กรณีนี้จากขวาไปซ้ายก็หมายถึงเป้าหมายที่ไปทางยุโรป – อเมริกา ส่วนสองเส้นด้านขวาเป็นการเทกบาลานซ์ ถ่วงสมดุลว่าไม่ให้ไปตะวันตกมากไปยังมีเอกลักษณ์ของตะวันออกด้วย”
อาจารย์มาศ เคหาสน์ธรรม ซินแสชื่อดังผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์ฮวงจุ้ย กล่าวถึงโลโก้ใหม่ของสนามบินสุวรรณภูมิ ว่า
“ถ้าทั้งสองเส้นด้านขวาเป็นสีทองนั้นนับว่าถูกต้อง แต่ถ้าเป็นสีเหลืองน้ำตาลมันจะไม่ดีเพราะ 3 เส้นทางซ้ายเป็นสีน้ำเงินนั้นเป็นธาตุน้ำ ขัดกับสีเหลืองน้ำตาลที่เป็นธาตุดิน แต่ถ้าเป็นสีทองก็จะถือว่าพอไปกันได้
“ส่วนตัวหนังสือคำว่า ‘สุวรรณภูมิ’ นี้เป็นสีเดียวกันกับเส้นสามเส้น ทำให้น้ำมากเกินไปจริงๆ แล้วมันควรจะมีอะไรที่มันเด่นขึ้นมา จะเปลี่ยนสีก็ได้ หรือจะทำให้ตัวอักษรตัวใดตัวหนึ่งเด่นขึ้นมาก็ได้ ไม่มีความโดดเด่นออกมาเท่าที่ควร ไม่มีความเป็นโลโก้หรือสัญลักษณ์อยู่มากพอที่จะให้คนจำได้ ในทางฮวงจุ้ยนั้น ในหยินต้องมองหาหยางและในหยางต้องมองหาหยิน ถ้ากลืนกันหมดก็จะไม่มีความโดดเด่น”
และเมื่อถามต่อไปว่า การเปลี่ยนโลโก้ของสุวรรณภูมินั้น จะสามารถทำให้สนามบินแห่งนี้ดีขึ้นในทางปฏิบัติหรือไม่นั้น ซินแสก็กล่าวว่ามันต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง
“ชีวิตคนหรือความสำเร็จทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัย หนึ่ง คือชะตามนุษย์ จะต้องมีการกระทำที่ เหมาะสมกับความเป็นจริง สอง คือชะตาฟ้าคล้ายๆ กับดวงของสถานที่นั้นๆ สาม คือชะตาดิน ที่ว่าด้วยเรื่องขององศาทิศทาง จริงๆ แล้วฮวงจุ้ยนั้นเน้นที่เรื่องของชะตาดินมากกว่า โลโก้นั้น คล้ายๆ กับเป็นชื่อเรียกของคน
“ทั้งสามสิ่งสำคัญเหมือนกันหมด ถ้าเทียบกับการว่ายน้ำ ชะตาคนก็คือว่ายน้ำเป็นไหม ถ้าว่ายไม่เป็นดวงดีแค่ไหนตกน้ำไปก็ซวย มันต้องมีก่อน ส่วนชะตาฟ้า เทียบแล้วเหมือนกับว่าที่ที่เราไป เป็นที่ที่ไม่ทวนน้ำ เราก็ว่ายสบายหน่อย ส่วนชะตาดินคือสนามพลังของสิ่งแวดล้อมว่าจะช่วยเราแค่ไหน เวลาเราว่ายน้ำมีทุ่นให้เกาะ มีเสื้อชูชีพหรือเปล่า
“ชะตาคนเป็นตัวตั้ง ชะตาฟ้ากับดินเป็นตัวที่มาคูณ ถ้าตัวตั้งเป็นศูนย์ เอาอะไรมาคูณก็ได้ศูนย์ ถ้าคนทำงานไม่ดีบริการไม่ดี เช็กอิน เลต ฯลฯ ฮวงจุ้ยดีแค่ไหนก็ไม่ช่วยอะไร หรือบางทีถ้าตัวตั้งติดลบ เอาอะไรมาคูณก็ยิ่งร้าย”
ตั้งเป้าทะยานสู่ฟ้า แต่มาตรฐานดิ่งเหว?
ภาพโลโก้ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ที่เปรียบเสมือนปีกสยายพุ่งสู่ฟากฟ้า และการประกาศเจตนารมณ์ว่า สนามบินแห่งนี้ พร้อมจะก้าวสู่การเป็นสนามบินที่มีคุณภาพติดอันดับ 1 ใน 10 ของสนามบินระดับโลกนั้น คล้ายจะเป็นเพียงแค่เรื่องฟุ้งฝันและคงไม่มีวันเป็นจริงได้ในชั่วระยะเวลาอันใกล้ ตราบใดที่มาตรฐานและคุณภาพของสนามบินยังอยู่ในระดับที่ไม่น่าพึงพอใจ
ซึ่งเรื่องอย่างนี้ มันเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ได้เสียที่ไหน เพราะใครก็ตามที่เคยไปใช้บริการสุวรรณภูมิ ก็คงต้องเคยประสบข้อติดขัดกันบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ รถเข็นที่เกือบจะอยู่ในสภาพซาก และมีน้อยจนน่าสงสัยว่ามันหายไปไหนหมด ไหนจะเรื่องของแท็กซี่เอย กระเป๋าดีเลย์เอย ซึ่งข้อเสียเหล่านี้นั้น ยังนับว่าเล็กน้อย หากนำไปเปรียบกับข่าวการร้าวของรันเวย์สนามบินภายหลังจากเปิดให้บริการได้เพียง 4 เดือนเท่านั้น
คงจะไม่มีที่ไหนนอกจากประเทศไทยที่สนามบินที่เพิ่งสร้าง จะเกิดการแตกร้าวขึ้น แถมยังเป็นการร้าวที่ส่วนที่สำคัญที่สุดอย่างรันเวย์อีกต่างหาก ซึ่งรอยร้าวเหล่านี้นั้นน่าจะเกิดจากวัสดุก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน ระบบการจัดการไม่มีประสิทธิภาพ มีความบกพร่องในการออกแบบ และผู้รับเหมาถมพื้นที่ไม่ถูกต้อง หรือจะพูดรวมๆ ก็คือมันเป็นผลพวงจากการคอร์รัปชันนั่นเอง
นอกจากความฉาวโฉ่ที่ยากจะลืมเลือนในกรณีรันเวย์ร้าวและทุจริตจัดซื้อเครื่อง CTX แล้ว สนามบินสุวรรณภูมิก็ยังคงมากด้วยปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในกระบวนการก่อสร้างอื่นๆ ซึ่งนับเป็นมูลเหตุของมาตรฐานที่ไร้คุณภาพ ไม่ว่า กรณีทุจริตโครงการปรับปรุงระบบสายพานลำเลียงกระเป๋า, งวงช้าง หรือสะพานเทียบเครื่องบินมีปัญหาทางโครงสร้าง,ห้องน้ำไม่เพียงพอและสกปรก, ระบบปรับอากาศจ่ายความเย็นไม่เพียงพอ, ระบบ CCTV ไม่เพียงพอและไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่, พบรอยแตกกว่า 100 จุด ในอาคารที่พักผู้โดยสารและอาคารเทียบเครื่องบินของท่าอากาศยาน และหลังคารั่ว
นั่นล้วนเป็นปัญหาที่เกิดจากกระบวนการสร้างเป็นส่วนใหญ่ทั้งสิ้น นอกเหนือไปจากนี้การบริการด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสนามบินก็ยังพบเจอปัญหามากมายไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระบบแท๊กซี่ในสนามบิน ที่มีการปล่อยให้แท็กซี่เถื่อนเข้ามาปะปน จนทำให้บรรดาแท็กซี่สนามบินต้องออกมาก่อม๊อบ หรือจะเป็นเรื่องของการดูแลรักษาความปลอดภัยทรัพย์สินของผู้มาใช้บริการ ทำให้สนามบินสุวรรณภูมิมีกรณีรถเข็นและกระเป๋าถูกขโมยอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งผู้เสียหายจะตามไปดูภาพจากกล้องวงจรปิดก็กลับไม่มีให้ดู เนื่องจาก CCTV ของที่นี่มีไม่ทั่วถึงนั่นเอง
ยังมีอีกเยอะที่ต้องปรับปรุง
“ผมทำงานอยู่ในนี้ร้อนมาก คือว่าง่ายๆ ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน แต่โครงสร้างเป็นกระจกทั้งหมดกลางวันร้อนมากครับ” ถิรวัตร วงศ์ฝั่น เจ้าหน้าที่การโดยสาร ของบริษัท บางกอกไฟล์ทเซอร์วิส ผู้ซึ่งทำงานอยู่ใน ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าว
ซึ่งเหตุผลของการเลือกกระจกมาเป็นส่วนประกอบหลักโครงสร้างของสนามบินสุวรรณภูมิ นั้นมาจากความต้องการที่จะทำให้สนามบินแห่งนี้เป็นสนามบินที่ประหยัดพลังไม่ต้องเปิดไฟมาก แต่ในทางกลับกันต้องเปิดแอร์ให้แรงขึ้นเพื่อสู้กับความร้อนของแสงอาทิตย์แทน ประหยัดพลังงานเป็นที่สุด
“ในส่วนปัญหาเล็กๆ น้อยๆ อีกหลายจุดเท่าที่ผมเห็น คือทางสนามบินได้ย้ายจุดตรวจสัมภาระมาอยู่ที่ด้านหลังตรวจคนเข้าเมืองแล้วเพื่อความสะดวกรวดเร็วของ ผู้โดยสาร แต่เท่าที่ผมเห็นก็ยังวุ่นวาย แล้วก็ช้าอยู่เหมือนเดิม สร้างปัญหาให้ผู้โดยสารมาก”
“นอกจากนั้นผู้โดยสารที่ต้องเปลี่ยนเครื่อง อย่างเช่น ใครที่มาจากลอนดอนแล้วจะต้องเปลี่ยนเครื่องไปภูเก็ตก็ต้องเดินเป็นระยะทางร่วมกว่า 1 กิโลเมตร” ถิรวัตรกล่าว
ความเห็นของถิรวัตรที่กล่าวมาข้างต้น ก็เป็นไปในทำนองเดียวกันกับคำให้การของ ศิลัมภา ด่านชูวงศ์ ประชาชนผู้ใช้บริการสนามบินสุวรรณภูมิ
“ตรวจกระเป๋าเอ็กซเรย์ช้ามาก แล้วเจ้าหน้าที่ก็ยังไม่สามารถสื่อสารกับชาวต่างชาติได้ดี ทำให้ถ้าชาวต่างชาติมีปัญหา เราก็พลอยช้าไปด้วย ห้องน้ำก็ไม่ได้สะอาดมากหากเปรียบเทียบกับภาพรวมที่เหมือนจะดูดีของสนามบิน แล้วไหนจะเรื่องกระเป๋าช้า กระเป๋าหาย อะไรต่อมิอะไรอีกเยอะ”
นอกจากนั้นยังมีเรื่องของระบบการคมนาคม ทั้งภายในสนามบิน และการรับส่งผู้โดยสารระหว่างเมืองและสนามบิน “รถเซตเตอร์บัสยังน้อยไป ผมว่าผู้โดยสารมีทางเลือกในการเดินทางน้อยมากยังดีที่ว่าค่าแท็กซี่บ้านเรามันถูก คือคิดไปไม่ออกไปขึ้นแท็กซี่ง่ายดี แต่มันก็เท่านั้น มันไม่ใช่วิธีการจัดการของสนามบินระดับโลก” ถิรวัตร แสดงความเห็น
ซึ่งเราคงต้องมาดูกันต่อไปว่าเรื่องการคมนาคมนั้น การใช้รถแอร์พอร์ตลิงก์นั้นจะเข้ามาแก้ปัญหาไขข้อดังกล่าวได้หรือไม่ ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ทางการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิต้องปรับปรุงทำอีกมาก เพื่อที่จะนำพา ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของเรา ไปสู่ความเป็นหนึ่ง นอกจากการย้ายยักษ์ และสร้างโลโก้
อย่างไรก็ตามแต่ การออกแบบโลโก้เพื่อสร้างเอกลักษณ์ให้สนามบินสุวรรณภูมินั้นอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ดี ประชาชนผู้เสียภาษี ก็รอคอยด้วยความหวัง ว่าสนามบินของเราจะพุ่งทะยานสู่ฟ้าได้เหมือนกับความหมายที่ตราสัญลักษณ์สื่อออกมา จะเป็นสัญญะแห่งการพุ่งทะยานสู่ความเป็นท่าอากาศยานระดับโลกได้หรือไม่
..........
ตราสัญลักษณ์สนามบินสุวรรณภูมิ
ความหมาย
- รูปร่างโดยรวมของตราสัญลักษณ์ เป็นรูปแบบเชิงนามธรรม แสดงถึงการบินการพุ่งทะยานขึ้น สื่อถึงความก้าวหน้าขององค์กร และการเป็นผู้นำทางการคมนาคม และการขนส่งทางอากาศ ซึ่งเป็นภารกิจหลักที่สำคัญ และยังสื่อถึงความเจริญก้าวหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดนิ่งขององค์กร
- รายละเอียดของตราสัญลักษณ์ สื่อถึงความเป็นท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้อย่างลงตัว เพราะมีมุมมองที่แสดงถึงทัศนียภาพของ ท่าอากาศยานแฝงอยู่ โดยแถบเส้นสีน้ำเงิน 3 เส้นด้านล่างแสดงถึงรันเวย์ของท่าอากาศยาน แถบสีทองด้านบน 2 เส้น แสดงถึงเครื่องบินที่กำลังจอดนิ่งอยู่ ในบางมุมมองแถบเส้นสีน้ำเงินยังดูคล้ายส่วนหลังคาของอาคารของท่าอากาศยานด้วย
- เส้นสายของตราสัญลักษณ์ เป็นการผสมผสานรูปแบบทางศิลปะของไทย และสากล โดยมีส่วนที่แสดงออกถึงความเป็นไทย อันได้รับ
แรงบันดาลใจจากเส้นสายลายไทยมาประยุกต์ใหม่ให้เกิดเป็นความสากล สื่อถึงท่าอากาศยานนานาชาติประจำชาติไทย
ตัวอักษร
ตัวอักษรคำว่า ‘Suvarnabhumi’ ออกแบบขึ้นมาเป็นพิเศษ เพื่อประกอบกับตราสัญลักษณ์ โดยส่วนปลายของตัวอักษรมีการดัดแปลงเพื่อแสดงถึงเอกลักษณ์ความเป็นไทย สื่อถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นท่าอากาศยานประจำชาติไทยได้ชัดเจน
สี
- สีทอง (Copper Gold) เป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรือง สื่อถึงดินแดนสุวรรณภูมิ อันเป็นชื่อของท่าอากาศยาน และแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองขององค์กร
- สีน้ำเงิน (Blue) เป็นสีแทนสัญลักษณ์ของความสุขุม ความรอบคอบ และมิตรภาพ สื่อถึงบุคลิกขององค์กร
……….
เรื่อง : ทีมข่าว CLICK