พูดถึง 'หมอดู' คราวใด หลายๆ คนคงต้องนึกถึงคู่แฝดอย่าง 'หมอเดา' ใช่ไหม เพราะอย่างที่ทุกคนทราบ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของอนาคตที่คงมีแต่ฟ้าเท่านั้นที่รู้
แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม เรื่องดูหมอหรือหมอดู สำหรับคนไทยแล้ว ก็ไม่ต่างกับเรื่องการพนันสักเท่าไหร่ เพราะถึงจะรู้ว่าความเสี่ยงสูง แต่เจอทีไรก็อดกระโจนเข้าหาไม่ได้
เห็นได้จากข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่ระบุว่าธุรกิจหมอดูนั้นฟูเฟื่อง แหวกกระแสขาลงของรัฐบาลเสียเหลือเกิน อย่างปี 2552 ปีเดียวก็กวาดรายได้เข้ากระเป๋าไปถึง 2,550 ล้านบาท สูงขึ้นกว่าปี 2551 ถึง 700 ล้านบาท
ไม่เพียงแค่นั้น หากเปิดไปตามหน้าจอโทรทัศน์ สิ่งที่เห็นก็คือ รายการยอดนิยมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรายการทอล์กโชว์หรือเกมโชว์ ต่างเอาบรรดาคุณหมอออกมาเขย่าดวงกันให้เพียบ ซึ่งมีทั้งแบบปกติที่อาศัยดวงดาว หรือแบบแปลกๆ ที่หลายคนยอมรับว่า เกิดมาตั้งนานก็เพิ่งเคยได้ยินศาสตร์ที่ว่านี้ตอนเปิดดูทีวีนั่นแหละ
กระแส 'คุณหมอ' มาแรง
แน่นอนการดูหมอนั้น ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ไม่รู้จะทำนายได้จริงสมคำกล่าวอ้างหรือไม่ แต่ก็มีผู้คนจำนวนมากให้ความสนใจ แถมยังมีการแตกยอดธุรกิจออกไปอีกมากมาย อย่างเช่น ธุรกิจทำบุญสะเดาะเคราะห์ ธุรกิจหนังสือพยากรณ์ดวงชะตา รวมไปถึงธุรกิจสื่อสารประเภทอินเทอร์เน็ตและออดิโอเท็กซ์ที่ให้บริการดูหมอ
จากข้อมูลโดยศูนย์วิจัยแห่งเดิมนั้น บ่งชี้ให้เห็นว่า คนกรุงฯ เริ่มหันมาพึ่งบริการนี้มากขึ้น เนื่องจากประสบปัญหาต่างๆ ในชีวิต ทั้งเรื่องการงาน การเงิน และหัวใจ โดยความถี่ที่ใช้บริการหมอดูเฉลี่ยนั้นสูงถึง 5.23 ครั้งต่อปี และส่วนใหญ่เสียค่าใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า 200-1,000 บาทต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับความเชื่อถือในตัวหมอดูแต่ละคน
เมื่อมูลค่าการตลาดสูงขนาดนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่วงการธุรกิจหมอดูจะนำการตลาดมาใช้เรียกลูกค้า ดูง่ายๆ อย่างหมอดูจอมคอนเฟิร์ม ระยะหลังต้องรีแบรนด์ตัวเองมาเป็นคนส่องกรรมแก้กรรมตามกระแสตลาดบ้าง หรือหมอดูบางคนก็คิดค้นนวัตกรรมแปลกๆ ขึ้นมาเรียกลูกค้าได้อย่างน่าทึ่ง เช่น หมอดูกระดองเต่า หมอดูขยำกระดาษ หมอดูหลังมือ หมอดูผลไม้ หมอดูถ้วยกาแฟ หมอดูแบงก์ 20 หรือแม้แต่การดูดวงสัตว์เลี้ยง (สะเทือนถึงเจ้าของ) ยังสร้างความตื่นตัวให้กับประชาชนอย่างมาก เห็นได้เวลารายการโทรทัศน์นำหมอดูเหล่านี้มาออก เรตติ้งของรายการจะสูงขึ้นทันที
อย่างกรณีของหมอดูกระดองเต่าที่หลังจากออกทั้งสื่อทีวีและนิตยสารต่างๆ มากมาย ล่าสุดได้รับเชิญให้ไปเป็นพิธีกรในรายการ 'เซียนเต่าเขย่าดวง' ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม หรือแม้แต่รายการเกี่ยวกับการสแกนกรรม ที่เห็นทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตก็เคยออกอาละวาดตามหน้าจอเคเบิลทีวีอยู่พักใหญ่เช่นกัน
จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ธนกร สินเกษม ในฐานะนายกสมาคมโหรแห่งประเทศไทยฯ มองว่ามูลเหตุสำคัญที่ทำให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ คงเพราะผลของการสร้าง 'กระแส' ที่สื่อมวลชนจำนวนหนึ่งมักหยิบยกเรื่องเหล่านี้มาออกอากาศ จนกลายเป็นที่ฮือฮาของคนดู และทำให้บรรดาหมอดูบางคนที่พอเห็นว่า หากใครสร้างจุดขายด้วยการทำอะไรแปลกๆ แล้วมีชื่อเสียงก็เลยอยากจะทำบ้าง ทั้งที่จริงๆ แล้ววิชาเหล่านี้แทบไม่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์โหราศาสตร์เลย และหากศึกษาให้ดีๆ จะพบว่าวิชาทางโหราศาสตร์ที่อยู่ในตำราทั้ง 153 วิชานั้น ไม่ว่าจะเป็นการดูลายมือ ดูโหงวเฮ้ง หรือดูไพ่ยิปซี ต่างก็เชื่อมโยงกับเรื่องดวงดาวทั้งนั้น
“เรื่องพวกนี้ดูไม่ค่อยมีหลักเกณฑ์เท่าไหร่ เพราะที่ถูกเรื่องโหราศาสตร์ก็ควรเชื่อมโยงกับดวงดาว อย่างเวลาหมอดูไพ่ เขาก็จะตีไพ่ต่างๆ เป็นดวงดาว แต่วิชารูปแบบใหม่ๆ นั้นเท่าที่ดูก็จะมักจะอยู่นอกตำรา และดูไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไหร่ เพราะไม่มีหลักเกณฑ์ และไม่เชื่อมโยงกับดวงดาว
“ยุคนี้ใครทำตัวประหลาดหรือทำตัวแปลกๆ ก็มักจะดัง แล้วสื่อมวลชนก็ชอบเอาพวกนี้มาออก อย่างเซียนเต่า เขย่ากระดองที่พอมีสื่อเสนอ คนก็เลยสนใจ กลายเป็นกระแสขึ้นมา ส่วนหมอดูที่เก่งๆ แต่ไม่ทำตัวแปลกก็ไม่ดัง
“ผมมองว่า ทุกวันนี้ การหารายได้จากหมอดูไม่ใช่เรื่องยาก ขอให้กระแสดีไว้ก่อน ซึ่งผลที่ตามมาก็คือ แทนที่หมอดูจะแข่งกันทางด้านวิชาการ กลับกลายเป็นการหาอะไรที่แปลกๆ ใหม่ๆ ซึ่งถ้าเปรียบไปก็เหมือนกับตลาดน้ำที่อัมพวา พอออกหน้าจอสัก 2-3 ครั้ง ก็ทำให้เป็นที่นิยม ซึ่งคนที่น่าสงสารที่สุด คือคนที่ไปดูตามกระแส เพราะไม่รู้ว่าแม่นจริงหรือเปล่า และลองคิดดูต่อไป หากมีคนเชื่อในกระแสมากๆ หมอดูพวกนี้ก็รับเละ เพราะฉะนั้นผมมองว่าหากสื่อมวลชนจะเสนอใครขึ้นมา ควรต้องตรวจสอบก่อนว่าแม่นจริงหรือเปล่า”
ในขณะที่ ภาคินันท์ สุทธิสาร เจ้าของฉายา 'หมอจอร์จขยำกระดาษ' ซึ่งถือเป็นหมอดูศาสตร์ใหม่ที่ดูดวงจากการให้คนเขียนวัน-เดือน-ปีเกิด แล้วขยำกระดาษ จากนั้นเขาก็จะอ่านดวงจากรอยยับของกระดาษ กลับมองเรื่องในมุมที่แตกต่างออกไป โดยกล่าวยืนยันว่าสิ่งที่เขาทำไม่ได้ต้องการสร้างกระแส เพราะไม่ได้เรียกให้คนมาดูดวงหรือเรียกนักข่าวให้มาทำข่าว แต่เขาเชื่อว่าสิ่งที่ทำนั้นบังเอิญไปตรงกับความสนใจของตลาดและสื่อมวลชนพอดีเท่านั้น
“การดูดวงของผม ไม่ได้ดูที่ดวงดาว เป็นคนละแบบครับ การที่เราเรียนรู้ตรงนี้ ถามว่าอิงกับดวงดาวไหม ผมคิดว่าเป็นคนละเรื่องราว อย่างเวลาที่เราเห็นภาพในจิตแล้ว เราก็ต้องวิเคราะห์ ไม่ใช่การพูดออกไปพร่ำเพรื่อ ผมย้ำเสมอว่าเวลาเห็นอะไรแล้ว ให้เอามานั่งวิเคราะห์ เพราะบางทีมันก็เป็นความทรงจำที่ยังค้างคาอยู่ หรือเป็นเรื่องราวในอนาคต เกี่ยวกับเรื่องงาน การเรียน ความรัก ไม่ได้เกี่ยวกับดวงดาวเลย”
ส่วนในแง่คนดูอย่าง 'น้ำ' นักศึกษาปริญญาโทที่ชื่นชอบการดูดวงเป็นชีวิตจิตใจ เพราะดูมาตั้งแต่เรียนมัธยมฯ มองปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็นแฟชั่นมากกว่า และโดยส่วนตัวเชื่อว่า คนส่วนใหญ่ที่ชอบดูหมอจริงๆ ก็น่าจะเชื่ออะไรที่เป็นหลักเป็นการมากกว่าอะไรที่ดูลอยๆ
“เราเป็นพวกโอลด์ แฟชั่นนะ ไพ่ยิปซีนี่ก็ว่าแปลกแล้ว ปกติจะเลือกดูดวงไทยหรือดวงจีนมากกว่า อย่างน้อยก็มีหลักวิชา มีมาตรฐาน แปลกๆ อย่างกระดองเต่านี่ไปดูเล่นๆ มากกว่า จริงอยู่มันอาจจะมีหลักวิชาของมัน แต่มันก็ไม่ได้รับการยอมรับในวงกว้างนะ”
รักษา 'กระแส' ให้ต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ถึงนักพยากรณ์หลายคนจะบอกว่าการพยากรณ์ของตนนั้นไม่ได้เป็นกระแส แต่ก็มีไม่น้อยที่พยายามสร้างชื่อเสียง หรือธุรกิจของตัวเองอย่างต่อเนื่อง ที่เห็นก็คงเป็นรายการโทรทัศน์ที่บรรดาหมอๆ ได้รับเกียรติให้เข้าไปพยากรณ์กลางจอ หรือแม้แต่ธุรกิจบริการดูดวงผ่านโทรศัพท์1900-xxx-xxx ที่สร้างรายได้จำนวนมหาศาลให้แก่บรรดาหมอดูหลายๆ คน จนบางคนถึงกับร่ำรวยซื้อรถซื้อบ้านใหม่ได้ทีเดียว
อย่างกรณีของน้ำก็เช่นกัน เธอเล่าว่าธุรกิจหมอดูตอนนี้เข้าถึงตัวของผู้ใช้บริการมากขึ้นทุกที แทนที่จะนั่งรอลูกค้าเหมือนแต่ก่อน
“เดี๋ยวนี้นั้นนิยมการจัดปาร์ตี้ดูหมอกัน โดยจะเรียกหมอดูมาที่บ้านแทนการรวมตัวไปหา และไม่ก็ไปนัดเจอกันตามร้านอาหาร ล่าสุดก็เพิ่งไปดูที่โอบองแปงมา หมอที่เรียกมานั้นเป็นหมอที่เพื่อนบอกว่าแม่น แต่ที่ผ่านมา ดูมาตั้งหลายครั้งยังไม่เจอหมอคนไหนทายแม่นเลย (หัวเราะ) คือหมอพวกนี้ถ้ามีลูกค้าเกิน 3 คนขึ้นไปเขาก็มาแล้ว เทรนด์อีกอันที่น่าสนใจก็คือตามเคาน์เตอร์เครื่องสำอางในห้างฯ ใหญ่ๆ นั้น ถ้าเราซื้อครบเท่านั้นเท่านี้ ก็จะมีการสมนาคุณเป็นการพาไปดูหมอกับหมอดูดังๆ ที่นัดยากๆ”
ในขณะที่นายกสมาคมโหรฯ มองว่าเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องของยุคสมัยทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นทางเลือกของคนที่ไม่มีเวลาไปดูหมอ เพราะฉะนั้นจึงต้องหาช่องทางที่สะดวกที่สุดในการดู เช่นทางโทรทัศน์ เว็บแคม และต่อไปก็อาจจะมีผ่านระบบ 3-จีก็เป็นได้ ขณะเดียวกัน ก็ยอมรับว่าเรื่องนี้ก็ถือเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการต่อยอดทางหนึ่งของบรรดาหมอดูที่มีกระแสแล้ว
“มันก็พัฒนาไปตามสเต็ปของมันนะ แต่บางทีการดูแบบนี้ค่อนข้างเสี่ยงนะ เพราะขนาดเห็นหน้าบางคนก็ยังไม่แม่นเลย (หัวเราะ) แต่หากจะไปกันจริงๆ ผมว่าหมอดูเก่งๆ ไม่ต้องสร้างกระแสหรอก คนก็ไปดูกันเยอะ”
ดูหมออย่างไรให้ถูกวิธี
สำหรับปัญหาหมอดูแปลกๆ ที่เกลื่อนเมืองมากขนาดนี้ ธนกรกล่าวว่า ในฐานะสมาคมฯ คงทำอะไรไม่ได้มาก เพราะหมอดูเหล่านี้ ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นสมาชิกของสมาคมฯ ที่ทำได้ก็คงเป็นการเตือนประชาชนให้มีวิจารณญาณมากกว่า และคิดอยู่เสมอว่าสิ่งไหนควรเชื่อ สิ่งไหนไม่ควรเชื่อ
“วิธีดูหมอว่าแม่นจริงหรือเปล่า ผมคิดว่าคนที่ดูย่อมรู้นะ ทายมา 10 ข้อถูกหมดเลย อันนี้เฉียบ แม่นจริง แต่ถ้าทาย 10 ข้อไม่ถูกเลยก็ไม่รู้จะไปดูทำไม (หัวเราะ)”
ส่วนหมอจอร์จนักดูกระดาษ กล่าวว่า เรื่องอย่างนี้ทุกคนต้องคิดให้ดี และปฏิบัติตามหลักกาลามสูตร
“ผมจะพูดเสมอว่าเวลาผมพูดอะไรไป อย่าเพิ่งเชื่อนะ อาจผิดก็ได้ เพราะถ้าคนดูสนใจ ผมจะไม่กล้าพูดอะไรเลย ให้มานั่งวิเคราะห์ มานั่งพูดคุยกันว่าผมเห็นเป็นภาพข้อมูลอย่างนี้ๆ นะ ถ้าตรงแล้วค่อยเชื่อ ผมจะไม่ชอบอะไรที่ผัวะลงไปเลย เพราะว่าดวงเราสามารถปรับเปลี่ยนได้ การดูดวงเหมือนการวางแผนชีวิต คือถ้าเรารู้ว่าจะหกล้มก็อย่าวิ่ง เดินเอา ล้มก็เจ็บนิดหน่อย แต่ที่ดูแล้วมานั่งกังวลหรือเครียด หรือให้สะเดาะเคราะห์หรือแก้กรรม ใช้เงินเยอะๆ ผมว่านั่นโดนหลอกแน่นอน”
ขณะที่น้ำกล่าวว่า สำหรับเธอแล้วการดูหมอเป็นเพียงแค่ตัวช่วยตัดสินใจเท่านั้น เพราะสุดท้ายแล้ว ตัวเองต่างหากที่ต้องเป็นคนตัดสินใจว่าจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร ไม่ใช่ให้หมอดูมาบอก
……..
อย่างที่กล่าวไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า หมอดูก็มักคู่กับหมอเดา ของแบบนี้เชื่อหรือไม่อยู่ที่วิจารณญาณของแต่ละคนเป็นสำคัญ บางคนอาจจะเชื่อหัวปักหัวปำ ขณะที่บางคนก็ดูเพื่อความสนุก แต่ไม่ว่าจะเชื่อแบบไหนก็อย่าลืมเป็นอันขาดว่า เวลาทำอะไรก็ต้องมีสติอยู่เสมอ
ส่วนตัวของหมอดูเองก็เช่นกัน ต้องมีจรรยาบรรณ มีวิชาจริงๆ ไม่ใช่จะหลอกหาผลประโยชน์ไปวันๆ เพราะหากไม่มีจริงแล้วมาอ้าง รับรองไม่นานเกินรอ จุดจบของอาชีพก็คงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม งานนี้ ฟันธงแอนด์คอนเฟิร์ม!!!
.........
เปิดตัวคุณหมอดู 'แบบแปลกๆ'
1. หมอดูดอกไม้ - ทำนายโดยให้ผู้ดูไปเด็ดดอกไม้มาให้ จากนั้นก็ทายโดยดูลักษณะของดอกไม้ที่เด็ดมา
2. หมอดูออรา - อันนี้ไม่มีอะไรมาก ใช้การดูออรา โดยหมอสามารถมองเห็นออรา (ซึ่งไม่รู้ว่าเห็นจริงหรือเปล่า) แล้วทำนายถึงลักษณะนิสัยและอนาคตของลูกค้า
3. หมอดูลายเซ็น - ทำนายจากลายเซ็นต์ ส่วนมากจะมีการแนะนำให้แก้ไขลายเซ็นในบางจุดเพื่อเสริมดวงด้วย
4. หมอดูตัวเลข - มีทั้งทำนายจากเลขโทรศัพท์มือถือ เลขที่บ้าน เลขที่บัตรประชาชน เลขทะเบียนรถ เลขประจำตัวนักศึกษา เลขบัตรเครดิต และอีกสารพัดเลข
5. หมอดูหมากรุกจีน - ใช้หมากรุกจีนในการอ่านโชคชะตา โดยผูกวันเดือนปีและเวลาเกิดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
6. หมอดูเพนดูลัม - การดูชนิดนี้จะใช้อุปกรณ์รูปร่างคล้ายลูกดิ่งในการก่อสร้างมาเป็นอุปกรณ์ โดยส่วนมากจะใช้ดูเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ
7. ดูดวงด้วยตาชั่ง - ใช้ดูเรื่องบุญวาสนา โดยการใช้ตาชั่ง ก้อนเงิน ก้อนทองและเหรียญบาทไทย มาคำนวณและทำนายทายทักตามเกณฑ์โหราศาสตร์จีน
8. ดูดวงจากกาแฟตุรกี - เริ่มจากการดื่มกาแฟที่ชงจากตุรกีให้หมดถ้วย เอาจานรองมาปิดปากแก้ว คว่ำถ้วยลง และพยากรณ์จากกากกาแฟที่ติดแก้วและจาน
***************
เรื่อง : ทีมข่าว CLICK
ภาพ : ธัชกร กิจไชยภณ