ช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา นอกจากเรื่องปีใหม่แล้ว ก็เห็นจะมีแต่ข่าวนักการเมืองและข้าราชการจากกระทรวงสาธารณสุขส่อทุจริตที่ดูจะมาแรงแซงโค้งข่าวอื่นๆ ความแรงที่ว่านี้ ส่งผลให้รัฐมนตรีว่าการฯ นายวิทยา แก้วภราดัย ที่เฝ้ารอการนั่งเก้าอี้เสนาบดีมานานหลายปีต้องยอมแสดงความรับผิดชอบด้วยการประกาศลาออกจากตำแหน่ง
ส่วนคู่หูอย่าง นายมานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ จากพรรคภูมิใจไทย ที่แม้จะทรงคุณวุฒิจนเป็นรัฐมนตรีได้แล้ว แต่หากเป็นเรื่องการลาออก กลับไม่สามารถตัดสินได้ด้วยตัวเอง เลยต้องขอเวลาปรึกษาผู้ใหญ่ในพรรคก่อนว่าจะทำอย่างไรดี
หากจะว่าไปแล้ว เรื่องการแสดงความรับผิดชอบหรือสปิริตของผู้บริหารประเทศ ถือเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง แต่ที่ผ่านมา กลับมีน้อยครั้งมากที่จะเกิดผลในทางปฏิบัติ จนผู้ที่ติดตามข่าวสารเริ่มเอือมระอา เพราะลุ้นไปก็เหนื่อยเปล่า ซึ่งเหตุผลสำคัญก็คงจะเหมือนที่อดีตนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งที่ตอนนี้กลายเป็นคนกัมพูชาไปแล้วเคยกล่าวว่า ประชาธิปไตยของเรานั้นล้าหลังเทียบไม่ได้กับต่างประเทศเลย
แต่ไม่รู้ว่าท่านอดีตนายกฯ ผู้นั้นจะลืมไปหรือเปล่าว่าที่ประชาธิปไตยของประเทศอื่นๆ ก้าวหน้าก็เพราะนักการเมืองของเขาต่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม และไม่ยึดติดกับตำแหน่งเท่ากับนักการเมืองไทย
มองญี่ปุ่น-เกาหลีใต้
ยิ่งถ้าเทียบดีกรีความรับผิดชอบของนักการเมืองแล้ว คงไม่ต้องไปไกลถึงฝั่งตะวันตกที่อดีตผู้นำยกย่องว่าเป็นเจ้าแห่งประชาธิปไตย เพราะแค่ในเอเชียก็มีตัวอย่างให้เห็นๆ แล้ว โดยเฉพาะประเทศที่เริ่มระบอบนี้พร้อมๆ กับประเทศไทย อย่าง ‘ญี่ปุ่น’ ซึ่งว่ากันว่าจิตสำนึกของนักการเมืองเขาแรงกว่าสยามประเทศเยอะหลายเท่า ลาออกกันเป็นรายไตรมาส ซึ่งเรื่องนี้ส่วนหนึ่งคงจะมาจากวัฒนธรรมบูชิโดหรือเกียรติยศศักดิ์ศรีของนักรบที่มีมาแต่โบราณนั่นเอง
อย่างในปี 2550 เจ้าหน้าที่ตำรวจพบ นายโทชิคัตซึ มัตสุโอกะ รัฐมนตรีกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และการประมงของญี่ปุ่นหมดสติอยู่ในบ้านพักของสมาชิกสภานิติบัญญัติ และเสียชีวิตในเวลาต่อมา สำนักข่าวรายหนึ่งระบุว่า เขาผูกคอตาย เพราะถูกกล่าวหาว่าพัวพันกับกรณีเงินหาเสียงเลือกตั้งและการทุจริตโครงการประมูล และยังถูกกล่าวหาว่า ใช้จ่ายค่าน้ำและค่าสาธารณูปโภคอื่นๆ เป็นเงินจำนวนมากที่อาคารสำนักงานของเขาซึ่งไม่ต้องเสียค่าเช่า
ส่วนในปีที่แล้วก็มีกรณี นายโชอิจิ นากางาวะ นักการเมืองของดาวรุ่ง และรัฐมนตรีคลังสมัยรัฐบาลนายกรัฐมนตรีทาโร อาโซะ ที่ทำเรื่องเสียชื่อประเทศในการแถลงข่าวการประชุม จี 7 ที่ประเทศอิตาลี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากระหว่างแถลงข่าว เขามีอาการมึนเมาอย่างเห็นได้ชัด โดยเขาอ้างว่ามาจากพิษของยาแก้ไข้ แต่คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อ จึงตัดสินใจลาออก และต่อมาในเดือนตุลาคมก็มีผู้พบเขาเสียชีวิตอยู่ในบ้านพักในกรุงโตเกียว
ถัดมาอีก 2 เดือนก็ถึงคิวของ นายโคอิชิ ฮิราตะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังญี่ปุ่น ที่ยื่นหนังสือลาออกจากกรณีการขายหุ้นของบริษัท ชิโยดะ อูเตะ ซึ่งบิดาของเขาเป็นผู้ก่อตั้งให้แก่บริษัทซีโร่ ซิสเต็ม และทำให้ราคาหุ้นของ บริษัท ซีโร่ ซิสเต็ม เพิ่มขึ้นเกือบ 1 เท่า เรื่องนี้ไม่ถือว่าผิดกฎหมาย แต่ขัดต่อจริยธรรมของนักการเมืองญี่ปุ่นที่ห้ามมิให้นักการเมืองขายหุ้นขณะที่ดำรงตำแหน่ง
ส่วนเดือนมิถุนายนก็มี นายโยชิทาดะ โคโนอิเกะ รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรีฝ่ายกิจกรรมการเมือง และเป็นคนสนิทของทาโระ อาโซะ ที่ขอลาออกเนื่องจากเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับผู้หญิง เพราะเมื่อต้นปีที่แล้ว เขาพาผู้หญิงที่มิใช่ภรรยาเข้าไปในบ้านพักของสมาชิกสภาสูง ถัดจากนั้นมาสามสี่เดือน เขาถูกกล่าวหาว่าใช้เงินภาษีของประชาชนซื้อตั๋วรถไฟแบบไป-กลับ เพื่อไปเที่ยวบ่อน้ำแร่กับผู้หญิง ในข่าวไม่ได้ระบุว่าเป็นเงินจำนวนเท่าไหร่ แต่ราคาตั๋วคาดว่าาสูงสุดไม่เกิน 5 พันบาท สุดท้าย เขาตัดสินใจลาออกโดยอ้างเรื่องสุขภาพ
ไม่แค่เพียงประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น เพื่อนบ้านอย่าง 'เกาหลีใต้' ก็ถือว่ามีสปิริตสูงไม่แพ้กัน ที่เป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก ก็อย่าง นายโรห์ มู ฮุน อดีตประธานาธิบดีที่โดดหน้าผาฆ่าตัวตาย พร้อมกับทิ้งจดหมายไว้ เนื่องจากอับอายที่ภรรยาและหลานชายมีส่วนในคดีเกี่ยวกับการรับสินบน ทั้งที่ตัวเขาได้ชื่อว่าเป็นผู้นำประเทศที่ซื่อสัตย์คนหนึ่ง
ย้อนมองตัวเองในประวัติศาสตร์การเมืองใกล้ๆ
เห็นตัวอย่างจากต่างประเทศกันแบบจะจะเช่นนี้ พอหมุนกลับมาดูที่สยามประเทศก็อดเหนื่อยใจไม่ได้ เพราะดูเหมือนบรรดา ฯพณฯ ทั้งหลายหาได้มีความสนใจกันเป็นแบบอย่างที่ดีแม้แต่น้อย แถมบางคนยังใช้ช่องว่างทางกฎหมายเกาะเก้าอี้ของตัวเองต่อไป
เช่น 3 อดีตรัฐมนตรี นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี นางอุไรวรรณ เทียนทอง และ นายอนุรักษ์ จุรีมาศ ในสมัย นายสมัคร สุนทรเวช ที่ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่งคดีหวยบนดินไปให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณา ทำให้ผู้มีรายชื่อต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที แต่ทั้งสามที่เคยอยู่ในรัฐบาลทักษิณและสมัคร ไม่ยอมหยุดทำงานโดยอ้างว่า ตอนนี้ไม่ได้อยู่ตำแหน่งเดิมแล้ว เพราะฉะนั้นทำงานต่อได้ (ขยันทำงานแบบนี้! ขอยกนิ้วให้)
หรืออย่างกรณีของนายเนวิน ชิดชอบ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในรัฐบาลนายชวน หลีกภัย ก็เคยถูก นายการุณ ใสงาม สมาชิกวุฒิสภาฟ้องร้องในคดีหมิ่นประมาท และถูกพิพากษาให้จำคุก แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ก่อน ในตอนนั้นมีเสียงเรียกร้องให้นายเนวินแสดงความรับผิดชอบเยอะมาก แถมประเด็นนี้ยังเกี่ยวพันกับข้อบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ปี 2540 ที่ระบุว่าหากรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งทันทีหากต้องโทษจำคุก แต่นายเนวินไม่ยอมสละตำแหน่งและขอสู้คดีให้ถึงที่สุด จนในที่สุดก็สามารถรักษาเก้าอี้ไว้ได้จนหมดสมัย
ส่วน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเองก็เคยถูกเรียกร้องให้แสดงความรับผิดชอบจากกรณีการทุจริตในสนามบินสุวรรณภูมิ แต่นายสุริยะไม่ยอม แถมยังมีการปล่อยไก่ในสภาฯ เมื่อถูกยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่ครั้งนั้นนายสุริยะตอบคำถามแบบอ่านสคริปต์ แม้กระทั่งคำว่า “พุทโธ่!” จนคนจำนวนมากถามถึงศักยภาพและวุฒิภาวะของนักการเมืองผู้นี้ว่าจะมีดีแค่เงินหรือเปล่า
นอกจากนี้ก็ยังมี นายมนตรี พงษ์พานิช อดีตหัวหน้าพรรคกิจสังคมและรัฐมนตรีหลายสมัย ที่ถือต้นตำรับกลยุทธ์วิชาการเมืองจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการเขียนข้อความบนมือ การสร้างบิ๊กโปรเจ็กต์จำนวนมากที่อนุมัติไปก่อน แต่ทำได้หรือไม่เอาไว้ว่ากันทีหลัง ซึ่งผลงานอันเลื่องลือของนายมนตรีจนถึงทุกวันนี้ เห็นจะไม่พ้นโครงการโฮปเวลล์ที่เสาตอหม้อยังคงค้างเติ่งจนถึงทุกวันนี้
รัฐมนตรีอีกคนที่ได้ถูกกล่าวขานมากที่สุด นายสันติ ชัยวิรัตนะ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย สมัย พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่เคยถูกกดดันให้ออกจากตำแหน่งจากกรณีถนนควายเดินที่เขาสั่งตัดถนนเข้าบ้านตัวเอง จนถูกฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งแม้จะผ่านมาได้ แต่สุดท้ายก็ไม่รอดกระแสสังคม เพราะหลังจากนั้นไม่นานก็ถูกปรับออกจากตำแหน่ง
แต่ที่ถือว่ามือกาวสุดๆ คงต้องยกให้อดีตนายกฯ หน้าเหลี่ยมที่เคยบอกว่าประชาธิปไตยของไทยนั้นล้าหลังนั่นเอง เพราะเขามีกรณีพิพาทเยอะเหลือเกิน ตั้งแต่การเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง การขายหุ้นของครอบครัวโดยไม่เสียภาษี การทุจริตของโครงการต่างๆ จนมีเสียงให้เขาลาออกมายาวนานนับปี แต่ดูเหมือนเสียงเหล่านั้นจะเป็นเพียงแค่เสียงนกเสียงกาเท่านั้น แต่ในที่สุดเขาก็หลุดตำแหน่งกลายเป็นอดีตผู้นำพเนจรเหมือนทุกวันนี้
สปิริตนักการเมืองในสายตานักวิชาการ
ถึงตรงนี้ หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมหนอนักการเมืองไทยที่ถึงมีมาตรฐานทางจริยธรรมแตกต่างกับประเทศอื่นลิบลับ ประเด็นนี้ รศ.ตระกูล มีชัย อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ว่าปัญหาทั้งหมดน่าจะมาจากรากฐานการปกครองของเราที่ค่อนข้างมีปัญหา ที่สำคัญคือนักการเมืองส่วนใหญ่ขาดความตระหนักในความรับผิดชอบของตัวเอง และไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะสร้างความเชื่อมั่นหรือศรัทธาให้เกิดแก่ประชาชนได้เห็นเลย
“ระบบการเมืองไทยไม่มีความรับผิดชอบ นี่คือฐานของนักการเมืองไทย จะเอาไปเปรียบเทียบกับประเทศใกล้บ้านอย่างเกาหลี ญี่ปุ่นไม่ได้ เพราะของเราฐานความรับผิดชอบต่อประโยชน์สาธารณะมันไม่มี เพราะฉะนั้นอย่าไปหวังสิ่งนี้กับนักการเมืองไทยเลย เพราะพวกเขาไม่ยอมรับหรอกว่ามันคือความผิดพลาดของตัวเอง”
อีกประการที่ทำให้เกิดปัญหานี้ คือตัวประชาชนเองให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้ในระดับน้อยมาก ไม่มีการกดดันนักการเมืองเหล่านี้ ว่าไม่สมควรที่จะบริหารประเทศต่อไป เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญคือตัวนักการเมืองกับตัวประชาชน รวมทั้งสื่อมวลชนต้องสร้างแรงกดดันให้นักการเมืองเหล่านี้
“ถ้าเราจะเอาจริงเรื่องนี้ เราต้องนำเสนอไปว่า คนนั้นไม่สมควรที่จะมาบริหารประเทศเพื่อประโยชน์สาธารณะอีกแล้ว ในเมื่อคุณมัวหมอง ถึงแม้ว่าคุณจะอ้างว่าคุณยังไม่ได้โกง แต่คุณคือผู้ที่ต้องมีความรับผิดชอบ คือผู้บริหาร เพราะฉะนั้นคุณต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งเหล่านี้ ถ้าถามหาความรับผิดชอบทางการเมืองของนักการเมืองไทย หาไม่ได้เลย และผมก็ไม่เคยหวังว่าพวกเขาจะมี”
สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหา รศ.ตระกูล เสนอแนะว่า ต้องอาศัยการเมืองใหม่มาไล่การเมืองเก่า เพื่อที่นักการเมืองไร้คุณภาพเหล่านี้จะได้หมดไป ขณะเดียวกันก็ต้องชี้ประเด็นให้ประชาชนเห็นว่า ระหว่างการเมืองเก่ากับการเมืองใหม่นั้นแตกต่างกันอย่างไร ที่สำคัญต้องทำให้ทุกคนเห็นว่าการที่ประเทศเราขาดนักการเมืองเพียงคนเดียวไม่ทำให้บ้านเมืองล่มจมหรือประชาธิปไตยจะล่มสลายไป
……….
แม้หลายคนมักจะบอกว่า การลาออกของนักการเมืองหลายๆ คนในต่างประเทศจะไม่มาจากจิตสำนึกข้างในโดยตรง แต่เป็นเพราะแรงกดดันทางสังคม แต่นั่นก็จะยังเป็นเรื่องดีกว่าการไม่ทำอะไรเลยไม่ใช่หรือ
น่าแปลกที่นักการเมืองไทยมักจะอ้างอยู่เสมอว่า การเข้าสู่วงการเมืองนั้นก็เพราะต้องการเสียสละตัวเองเพื่อประเทศชาติ แต่พวกเขากลับไม่ยอมเสียสละเก้าอี้เพื่อบ้านเมืองและความรู้สึกของในสังคม
ถึงวันนี้ ประเทศไทยอาจจะมีนักการเมืองประเภทนี้อีกมาก แต่เชื่อว่าอีกไม่นาน เมื่อระบอบประชาธิปไตยของเรานั้นเข้มแข็งขึ้น ประชาชนรู้ว่าสิ่งที่ถูกที่ควรนั้นเป็นเช่นไร ในที่สุดนักการเมืองเหล่านี้ก็คงถึงเวลาสูญพันธุ์ไปจากสารบบการเมืองไทยเอง
4 ข้ออ้างในการเกาะเก้าอี้
1. คดียังไม่ถึงที่สุด
ข้ออ้างคลาสสิกเวลานักการเมืองถูกตัดสินไว้ทำผิดในขั้นตอนแรก เช่นถูก ป.ป.ช. ชี้มูลว่าทำผิด หรือถูกศาลสั่งจำคุกแต่ให้รอลงอาญาไว้ ซึ่งบรรดาท่านผู้ทรงเกียรติส่วนใหญ่ก็มักจะยืนกระต่ายขาเดียวขออยู่ในตำแหน่งต่อ พร้อมกับพูดว่า “ถ้าคดีถึงที่สุดแล้วค่อยมาไว้กัน” ตัวอย่างที่เห็นก็อย่างเช่น นายเนวิน ที่เคยถูกศาลชั้นต้นสั่งจำคุก
2. บกพร่องโดยสุจริต
นี่คือข้ออ้างในตำนานของอดีตนายกฯ หน้าเหลี่ยมที่กล่าวกับศาลรัฐธรรมนูญในคดียื่นบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ โดยเขาอ้างว่าสิ่งเกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องทุจริตสักหน่อย แต่เป็นความผิดพลาดในเรื่องธุรการ ซึ่งในที่สุด คนหน้าเหลี่ยมก็รอดพ้นข้อกล่าวหามาได้ จนเป็นที่มาให้นักการเมืองอื่นๆ ใช้เป็นข้ออ้าง เช่นนายไชยา สะสมทรัพย์ที่อ้างว่าลืมแจ้ง หรือ นพ.พฤติชัย ดำรงรัตน์ที่บอกว่าไม่แจ้งเพราะบริษัทที่ตัวเองถือหุ้นอยู่นั้นเจ๊งไปแล้ว
3. ไม่อยู่ในตำแหน่งเดิมแล้ว
อย่างที่ทราบว่า เวลา ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด นักการเมืองที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ก็ต้องหยุดทำงานทันที แต่เรื่องนี้คงไม่เกิดขึ้นกับนักการเมืองไทยอย่างแน่นอน เพราะเก้าอี้รัฐมนตรีก็เหมือนเก้าอี้ดนตรีสลับกันนั่งได้ เพราะฉะนั้นเมื่อนักการเมืองถูกชี้มูลหรือถูกกล่าวหาก็ย้ายเก้าอี้ซะก็หมดเรื่องแล้ว ตัวอย่างที่เห็นๆ 3 รัฐมนตรีจากรัฐบาลสมัคร หรือล่าสุดก็ นายมานิต นพอมรบดี ที่แม้จะไม่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูล แต่พรรคภูมิใจไทยก็มีแนวคิดใหม่จะให้ย้ายไปอยู่กระทรวงอื่นแทน
4. ไม่ผิด ไม่ออก
แม้รัฐมนตรีหลายคนจะถูกกล่าวหาเยอะแยะ แต่ด้วยนิสัยของนักการเมืองที่ถูกสั่งสมมาตั้งรุ่นบรรพบุรุษว่า ต้องยื้อเก้าอี้ให้ถึงที่สุด แม้จะถูกกล่าวหาขนาดไหนก็ตาม จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นรัฐมนตรีบางคนทนนั่งเก้าอี้ต่อไป แม้จะเกิดเรื่องฉาวโฉ่หรือถูกขับไล่รุนแรงขนาดไหน ที่เห็นๆ ก็คงต้องยกให้คนหน้าเหลี่ยมที่ประกาศขอยอมตายคาเก้าอี้นายกฯ (แม้จะไม่เกิดขึ้นตาม) แม้จะถูกขับไล่หรือมีชนักติดตัวเยอะขนาดไหนก็ตาม
……….
เรื่อง : ทีมข่าว CLICK
ภาพ : ทีมภาพ CLICK