เพ่งหน้าตาหรือทรวดทรงของคนบันเทิงหลายๆ คนให้ถ้วนถี่ แน่นอนว่าทุกคนสวยหล่อมองได้ไม่เบื่อกันทั้งนั้น แต่ภายใต้ความอวบอึ๋มและสวยหล่อของพวกเขา เกิดขึ้นได้เพราะ 'มีดหมอ' หรือการศัลยกรรม
ไม่ต้องแปลกใจ...หากจมูกของดาราคนนั้นคนนี้จะโด่งงอนสวยได้รูปกว่าจมูกของหลายๆ คน อย่าอิจฉาตาสองชั้น หรืออย่ามองหน้าอกหน้าใจของดาราทรงโต
เขาเหล่านี้ล้วนพึ่งมีดหมอเพื่อโอกาสที่ดีกว่าในวงการบันเทิง ที่รูปลักษณ์ภายนอกเป็นใบเบิกทางชั้นดี ดึงดูดให้งานไหลมาเทมา
อีกด้านหนึ่ง หนุ่มสาวยุคใหม่จำนวนไม่น้อยที่อยากก้าวไปเป็นดาวเจิดจรัสบนฟากฟ้าบันเทิง ก็กำลังหายใจเข้าออกเป็นการศัลยกรรมเช่นกัน เพียงแต่ว่าวัยรุ่นแทบไม่รู้เลยว่าการลงทุนเสริมหล่อเติมสวยของพวกเขา จะนำพาให้ได้เป็น 'ดาว' ดังหวัง หรือจะส่งผลให้ชีวิตดับวูบเพราะพิษศัลยกรรมหรือไม่?
เพื่อนใครศัลยกรรมบ้างหรือเปล่า?
นิลรัตน์ วาสนาพงษ์ นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนวัดนวลนรดิศ ชูสองมือบอกว่า 'เพื่อนหนูไงคะทำศัลยกรรม'
“แค่ฉีดสีผิว ทำตัวให้ขาวขึ้น ไม่ได้ผ่าตัดอะไร พอดีตอนนี้เขานิยมคนขาวๆ หน้าตาเกาหลีๆ เพื่อนคงอยากเป็นอย่างนั้น อยากสวยไงคะ ไม่ได้ทำเพราะอยากเข้าวงการบันเทิง ทำแล้วเพื่อนบอกว่าตอนนี้ผิวหนังยังคงปกติดีอยู่นิ”
เธอมองว่าการทำศัลยกรรมในช่วงวัยนี้เร็วเกินไป
“ถ้าอยากทำก็ทำตอนที่ทำงานมีเงินใช้แล้วดีกว่า เพราะถ้าเกิดอะไรหรือผิดพลาดประการใดขึ้น ก็สามารถที่จะรับผิดชอบตัวเองได้ และถ้าทำก็ควรจะบอกผู้ปกครองก่อน”
แม้การทำศัลยกรรมจะไม่ได้อยู่ในหัวของ รัชนีพร ตระกูลสุนทร และ ธิดา อินพรหม เลยแม้แต่น้อย แต่สองสาววัยโจ๋ ชั้น ม.5 โรงเรียนวัดราชโอรส ก็วิพากษ์วิจารณ์การทำศัลกรรมในหมู่ขาโจ๋ร่วมเจเนอเรชันได้อย่างน่าสนใจ
“ถ้ารับผิดชอบตัวเองได้แล้วศัลยกรรมไปคงไม่เป็นอะไรมาก หากศัลยกรรมไปแล้วแย่กว่าเดิม คงไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไป ที่สำคัญ ควรพอใจและภูมิใจในสิ่งที่เรามีและเป็นอยู่” รัชนีพรแสดงความเห็น
ส่วนธิดามองว่า คนที่เห็นคนสวยๆ หรือเวลาส่องกระจกจะเห็นปมด้อย คงคิดที่อยากจะทำศัลยกรรมบ้าง เพื่อแก้ไขในสิ่งนั้น ถ้าทำแล้วดีก็ควรทำ แต่ถ้าทำแล้วมีแต่ผลเสียก็ไม่น่าทำ จะเป็นโทษเปล่าๆ แต่เรื่องแบบนี้ห้ามไม่ได้ เป็นสิทธิส่วนบุคคล ถ้าคิดทำ เงินพร้อม พ่อแม่ไฟเขียวอนุญาต และมั่นใจก็ทำไปเถอะ
“ศัลยกรรมเพื่อความมั่นใจ เดินไปไหนมีแต่คนชม และบางทีหน้าตาดีขึ้นอาจจะได้ทำงานในวงการบันเทิงหรืองานที่ใช้หน้าตา ไม่ใช่งานที่ใช้กำลังกาย ถ้าทำก็ต้องได้รับคำยินยอมจากผู้ปกครองก่อน ถ้าท่านไม่อนุญาตก็บอกเหตุผลไปตรงๆ ว่าทำแล้วมันมีประโยชน์อย่างไร”
พึ่งมีดหมอเพื่อก้าวไปเป็นดาว
สาธิต เจริญสุข เจ้าของบริษัทโมเดลลิ่ง ‘ฟลายเดย์ เอเยนซี’ (Flyday Agency) บอกเล่าว่า วัยรุ่นที่ต้องการก้าวสู่วงการบันเทิง ผ่านมีดหมอมากันแทบทุกราย ศัลยกรรมยอดฮิตที่เหล่าวัยโจ๋นิยมทำคือ เสริมจมูกกับกรีดตา โดยสาเหตุที่พวกเขาศัลยกรรมเพราะ 'หน้าตาจะดูดีและโดดเด้งยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ในหน้าจอโทรทัศน์'
“อย่างศัลยกรรมจมูก เวลาถ่ายภาพออกมาจะเห็นเหลี่ยมมุมที่สวยงามโดดเด่นกว่าเด็กที่ไม่มีดั้ง เด็กผู้หญิงทำมากกว่าเด็กผู้ชายนะ ตอนนี้เด็กที่ทำอายุน้อยลงกว่าเมื่อก่อนเยอะมากเลยครับ เด็กสุดที่ผมเห็นเนี่ย 16 ปีเองครับ”
1-2 ปีก่อน ศัลยกรรมยังไม่ฟีเวอร์ เด็กจะไม่ทำกันมากเท่าที่ควร เพราะจะโดนแอนตี้จากคนรอบข้าง แต่ตอนนี้สังคมยอมรับคนที่ทำศัลยกรรมมากขึ้น เด็กเลยแห่ไปทำอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง
พอบรรดาขาโจ๋รู้ว่าหมอศัลยกรรมคนใดหรือคลินิกแห่งไหนขึ้นชื่อในการเสริมแต่งอวัยวะส่วนไหน พวกเขาจะตามๆ กันไปทำ
“หากรู้ว่าดาราคนนี้ทำจมูกสวย พอรู้ว่าใช้บริการจากที่ไหน ก็จะไปทำกันเยอะเป็นพิเศษ”
หน้าตาดีเพราะศัลยกรรมจะทำให้ได้รับโอกาสในวงการบันเทิงมากกว่าคนที่ปล่อยให้หน้าตาเป็นไปตามธรรมชาติหรือไม่? ชายหนุ่มตอบว่ามีส่วนถูก แต่ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์
“น้องในสังกัดฯ คนหนึ่ง ก่อนศัลยกรรม งานที่ได้ไม่ค่อยเวิร์คเลยนะ ได้เล่นเป็นแค่ตัวประกอบ ค่าตัวครั้งละ 2,000-3,000 บาท พอศัลยกรรมเท่านั้นแหละ งานเข้าเลยครับ มีโฆษณาเข้ามาเกือบ 30 ตัวเลย”
แต่เขาไม่ฟันธงว่า ทุกคนที่ศัลยกรรมจะ 'รุ่ง' ในวงการบันเทิง โดยมองว่าขึ้นกับโหงวเฮ้งด้วย บางคนรูปหน้าดีอยู่แล้ว แค่ศัลยกรรมนิดๆ หน่อยๆ เพื่อแก้รูปหน้า หรือเอาไฝออก โหงวเฮ้งก็ดีขึ้น มีงานเป็นกอบเป็นกำก็มีตัวอย่างให้เห็น
“ศัลยกรรมเหมือนเป็นการเสี่ยงดวง บางคนทำกับหมอคนนี้ออกมาดูดี แต่อีกคนไปทำออกมาไม่สวยก็มี แล้วแต่ดวง บางคนอยากเข้าวงการบันเทิง ลงทุนไปศัลยกรรมแต่ความสามารถด้านการแสดงไม่มี ก็ไม่มีสิทธิ์โลดแล่นในวงการมายา บางคนไปทำมานิดๆ หน่อยๆ ถ่ายรูปออกมาสวยหล่อกว่าพวกไปทำมาเยอะๆ ก็มี
“สมัยก่อน ผมแอนตี้เด็กที่ทำศัลยกรรม ทำไปทำไม? ตอนนี้เข้าใจแล้วครับว่า วัตถุประสงค์ในการศัลยกรรมของบางคนก็เพื่อโอกาสในการทำงานที่ดีกว่า ผมว่าใครจะศัลยกรรมหรือไม่เป็นสิทธิส่วนบุคคล ถ้าทำแล้วสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง ก็ทำไป ไม่ว่ากัน แต่ต้องเลือกคลินิกที่ถูกฎหมายนะ คลิกนิกเถื่อนไม่สนับสนุน”
ไม่ยากเกินสายตาโมเดลลิ่งอย่างสาธิตที่จะมองออกว่า ใครสวยตามธรรมชาติหรือสวยด้วยมีดหมอ แม้จะทำกับหมอศัลยกรรมฝีมือดีขนาดไหนก็ตาม อันไหนของจริง อันไหนของเทียม มันดูกันออก
“ดารารู้ว่าตัวเองมีจุดบกพร่องตรงไหน แล้วจึงไปศัลยกรรมหลังจากเข้าวงการ แต่เด็กรุ่นใหม่ที่อยากเข้าวงการนี่สิ ยังไม่ทันไรเลย ไปศัลยกรรมมาอย่างเต็มที่ก่อนซะละ เด็กวัยรุ่นอายุน้อยๆ ที่รูปร่างและร่างกายยังโตไม่เต็มที่ แล้วอยากศัลยกรรมเพื่อมาโชว์เพื่อนๆ หรือคนรอบข้าง ไม่ควรทำอย่างยิ่ง” สาธิตเตือนน้องๆ ว่าที่ดาราหน้าใหม่ทั้งหลายด้วยความหวังดี
คิดสักนิด ก่อนหล่อสวยด้วยมีดหมอ
นายแพทย์กรีชาติ พรสินศิริรักษ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาศัลยกรรมตกแต่ง โรงพยาบาลยันฮี คอนเฟิร์มว่า ศัลยกรรมบูมเพราะปัจจัยหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นสื่อสารมวลชน ผู้ปกครองที่อยากให้ลูกหลานสวยดูดี จึงให้ทำศัลยกรรม ซึ่งส่วนมากเป็นเด็กผู้หญิง เด็กผู้ชายก็มีบ้าง ส่วนใหญ่เสริมจมูก รวมทั้งสังคมให้ค่าการศัลยกรรมว่าเป็นเรื่องเล็ก ศัลยกรรมจึงแรงแบบฉุดไม่อยู่ในเมืองไทย
“ช่วงปิดเทอมเดือนตุลาฯ และเมษาฯ เด็กจะมาศัลยกรรมเยอะเป็นพิเศษ พอลูกสอบเข้ามหา'ลัยได้ แม่พามาศัลยกรรมให้เป็นรางวัลก็มีนะ เด็กสุดนี่อายุ 13 มาทำตาสองชั้นครับ ผู้ปกครองพามาเลย ซึ่งการทำตาก็สามารถทำได้โดยที่ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรอยู่แล้ว แต่ถ้าถามว่าจริงๆ แล้วอยากทำให้รึเปล่า หมอไม่อยากทำนะ แต่ในเมื่อเป็นความต้องการของผู้ปกครอง เราก็ห้ามไม่ได้ครับ”
นายแพทย์กรีชาติบอกไม่ต่างจากสาธิตในเรื่องที่ว่า จมูกและตาคืออวัยวะยอดฮิตที่วัยรุ่นเลือกทำศัลยกรรมให้ดูดีขึ้น พร้อมแนะว่าการทำจมูกอายุควรจะเกิน 15-16 ปี เพราะใบหน้าจะโตเต็มที่ จมูกจะไม่ยาวกว่านั้นแล้ว
ผลเสียของการทำศัลยกรรมในวัยที่ร่างกายยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่ มี 2 ประการ คือ กระดูกบริเวณใบหน้าจะเติบโตช้าลงหรือเติบโตช้ากว่าปกติ เนื่องจากการทำศัลยกรรมจะไปรบกวนอวัยวะส่วนนั้นๆ และอวัยวะที่ทำศัลยกรรมไปแล้วอาจจะออกมาไม่ดีไม่สวย เนื่องจากอวัยวะยังไม่โตเต็มที่ ขนาดยังไม่เหมาะสม
“ทำจมูกตอนอายุ 13 ซึ่งจมูกยังไม่โตเต็มที่ จะทำให้จมูกสั้นกว่าปกติได้ โดยเราไปขูด ไปทำช่อง และรบกวนเยื่อหุ้มกระดูก หรืออีกกรณีคือเมื่อโตขึ้นหรือจมูกยาวขึ้น ตัวซิลิโคนที่ใส่เข้าไปมันจะสั้นกว่า จมูกก็จะดูไม่สวย แต่สำหรับตาไม่ค่อยมีปัญหา การทำตาสองชั้น ไม่ค่อยมีข้อจำกัดทางอายุครับ”
นอกจากนั้น ผู้เชี่ยวชาญศัลยกรรมยังกล่าวเพิ่มเติมถึงการศัลยกรรมในอวัยวะส่วนอื่นด้วย เช่น หน้าอกควรรอให้อายุครบ 16 ปีบริบูรณ์ก่อนจึงทำ หรือการเสริมคางควรรอให้อายุถึง 18 ปี ส่วนใครอยากตัดกรามต้อง 'ร้องเพลงรอ' ไปให้อายุถึง 22 ปีโน่นเลย
ทั้งนี้ทั้งนั้น การทำศัลยกรรมที่ถูกต้องปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายในระยะยาว ควรทำกับโรงพยาบาลที่เชี่ยวชาญ และที่สำคัญไม่ควรใช้วิธีฉีดซิลิโคนเหลว
“เดี๋ยวนี้ซิลิโคนเหลวมีเยอะแยะไปหมด ราคาถูกด้วย ส่วนมากจะบอกว่าเป็นคอลลาเจน เป็นไขมันเทียมบ้าง หลอกกันทั้งนั้น พวกนี้ฉีดเข้าไปแล้วเซลล์ร่างกายส่วนนั้นจะเสียและไม่สามารถแก้ไขได้ อย่าเอาง่าย เอาประหยัด หรือผู้ปกครองไม่อนุญาตแล้วแอบไปทำเอง ซึ่งหมอศัลยกรรมส่วนมากจะไม่เห็นด้วยเนื่องจากมันแก้ไขยากมากครับ”
……….
หนุ่มสาวอายุ 18 กับการศัลยกรรม
หนุ่มสาววัย 18 ปี นอกจากมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งตามกฎหมายแล้ว รู้ไว้ด้วยว่ายังสามารถทำศัลยกรรมโดยไม่ต้องขออนุญาตผู้ปกครองอีกด้วย ตามคำกล่าวของ นายแพทย์สุกิจ ทัศนสุนทรวงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา ที่ว่าการทำศัลยกรรม หากผู้ทำอายุเกินกว่า 18 ปีขึ้นไปสามารถตัดสินใจทำได้ด้วยตนเอง แต่ถ้าอายุต่ำกว่า 18 ปี จะต้องได้รับการยินยอมจากผู้ปกครอง
อย่างไรก็ตาม ต่อข้อห่วงใยด้านการแพทย์ที่มองว่า ร่างกายของเด็กยังเติบโตไม่สมบูรณ์ เมื่ออายุมากขึ้นการทำศัลยกรรมตั้งแต่ยังเด็กอาจส่งผลทางลบต่อร่างกายได้ เราอยากรู้ว่า ข้อกังวลในกรณีนี้ ทางแพทยสภามีระเบียบหรือจรรยาบรรณทางวิชาชีพเพื่อควบคุมแพทย์ให้คำนึงถึงความเหมาะสมในการทำศัลยกรรมในผู้ที่มีอายุน้อยหรือไม่? นายแพทย์สุกิจ ชี้แจงให้คลายความสงสัยว่า มีเพียงการห้ามตัดลูกอัณฑะตามที่เป็นข่าวไปเท่านั้น
“การทำศัลยกรรมบนใบหน้าคงไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับพวกฮอร์โมน ทางการแพทย์คิดว่าอยู่ที่ความสมัครใจ แต่อะไรที่เกี่ยวกับฮอร์โมน เช่น เต้านม หรือการแปลงเพศ อันนี้ก้ำกึ่งว่าน่าจะไม่สมควรทำ”
นายแพทย์สุกิจทิ้งท้ายว่า กรณีการทำศัลยกรรมในเด็ก แพทยสภายังไม่ทราบข้อมูลว่ามีมากน้อยเพียงใด แต่ถ้าสังคมหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความเป็นห่วง ก็สามารถส่งเรื่องมายังแพทยสภาได้ เพื่อทำการศึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องต่อไปว่ามีความเหมาะสมหรือไม่
รู้ไว้ใช่ว่า
เมื่อเร็วๆ นี้ เว็บไซต์เด็กดีดอทคอมทำโพลในหัวข้อ 'วัยรุ่นกับค่านิยมการทำศัลยกรรมเสริมความงาม' มีวัยรุ่นวัยเฮี้ยวจำนวน 5,074 คน อายุระหว่าง 10-25 ปี เข้าไปตอบโพล
ปรากฏว่า เยาวชนจำนวน 57.77 เปอร์เซ็นต์ สนใจทำศัลยกรรม โดยช่วงอายุตั้งแต่ 18-22 ปี เป็นกลุ่มที่สนใจมากที่สุดถึง 68.88 เปอร์เซ็นต์ เรื่องความปลอดภัยของศัลยกรรม 59.82 เปอร์เซ็นต์ เชื่อมั่นว่าการทำสวยหล่อด้วยมีดหมอนั้นปลอดภัยหายห่วง
อวัยวะที่วัยรุ่นศัลยกรรมกันมากที่สุดเรียงตามลำดับคือ เสริมจมูก 59.25 เปอร์เซ็นต์ รักษาสิว ทำหน้าใส 46.82 เปอร์เซ็นต์ กรีดตาสองชั้น 10.12 เปอร์เซ็นต์ ฉีด-ผ่าตัดปาก 2.89 เปอร์เซ็นต์ เสริมคาง 2.31 เปอร์เซ็นต์ ตัดกรามทำหน้าเรียว 2.31 เปอร์เซ็นต์ และเสริมหน้าอก 1.73 เปอร์เซ็นต์
.........
เรื่อง : ทีมข่าว CLICK
ภาพ : ทีมภาพ CLICK