วันที่ 13 ธันวาคม ปี 2534 คนไทยทั้งประเทศเปี่ยมล้นไปด้วยความสุขความภาคภูมิใจ หลังคณะกรรมการมรดกโลก ขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) เห็นพ้องต้องกันให้ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็น ‘มรดกโลก’
ผ่านมากว่า 18 ปี รูปรอยของอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ในฐานะแหล่งท่องเที่ยวที่พ่วงด้วยคำขลังๆ ว่า ‘มรดกโลก’ ย่อมเปลี่ยนแปลงไปเป็นปกติวิสัย
เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มีข่าวออกมาตามหน้าหนังสือพิมพ์ว่า อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาอยู่ในภาวะเสี่ยงถูกถอดจากมรดกโลก โดยกรรมการมรดกโลกจากไทยรายงานว่า ยูเนสโกแสดงความกังวลภูมิทัศน์เสื่อมทราม มีปัญหาชุมชนบุกรุก และจะเตรียมลงพื้นที่สำรวจข้อเท็จจริงเดือนธันวาคมนี้ เพื่อรวบรวมข้อมูลเสนอรัฐบาลเร่งแก้ไข
นางโสมสุดา ลียะวณิช รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ในฐานะคณะกรรมการมรดกโลก ซึ่งได้ร่วมประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารจัดการมรดกโลกในประเทศไทย กับคณะทำงานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สป.) ได้กล่าวในที่ประชุม หลังจากที่ถูกสอบถามถึงปัญหาแหล่งมรดกโลกของไทย 5 แห่ง ว่า
เมื่อปี 2551 ทางยูเนสโก กรุงเทพฯ มีข้อกังวลว่า อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยามีการพัฒนาพื้นที่ไม่เหมาะสมตามที่คณะกรรมการมรดกโลกกำหนดไว้ เช่น มีภูมิทัศน์ที่ไม่สวยงามเหมือนครั้งขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก และเมื่อปี 2534 มีการบุกรุกของชุมชน เป็นต้น จึงทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าอาจจะถูกถอดจากมรดกโลกได้
อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ของประเทศไทย จะกลายเป็น ‘มรดกโลก’ แห่งที่ 2 ของโลก ซึ่งจะถูกถอดออกจากเกียรติยศนี้ ต่อจากเมืองเดรสเดน เอลเบ ฝั่งตะวันออกของเยอรมนีหรือไม่?
การปฏิรูปและบริหารจัดการของทั้งภาครัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของพระนครศรีอยุธยาน่าจะเป็นผู้ที่รู้คำตอบดีที่สุด และรัฐบาลก็ต้องเข้าไปแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนที่สุด เพราะถือเป็นเรื่องหน้าตาหรือภาพลักษณ์ทางศิลปวัฒนธรรมของประเทศชาติอีกด้านหนึ่ง ซึ่งทั่วโลกให้การยอมรับยกย่องและเชิดชู
อุทยานฯ 'เปลี่ยน' ไปแค่ไหน? ในสายตาคนกรุงเก่า
การพิสูจน์ถึงอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา แห่งนี้ว่า มีเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง? สมควรแล้วหรือที่จะถูกถอดจากการเป็นมรดกโลก? ในสายตาคนท้องถิ่น
เบื้องต้น เมื่อเดินดูรอบๆ อุทยานประวัติศาสตร์ฯ สิ่งที่เห็นอย่างชัดเจนคือ ภายในอุทยานประวัติศาสตร์ฯ จะมีเชือกกั้นพร้อมข้อความแจ้งเตือนห้ามแผงลอยและร้านค้ามาตั้งขายของข้างในอุทยานฯ โดยพ่อค้าแม่ค้าก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ตามจุดต่างๆ จะมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยควบคุมดูแลความสงบเรียบร้อย
ซึ่งก็สอดคล้องกับคำกล่าวของ ธราพงศ์ ศรีสุชาติ ผู้อำนวยการสำนักโบราณคดี ว่า
“ตอนนี้เราก็พยายามจัดระเบียบร้านค้าร้านขายให้มันอยู่ข้างนอกเขตที่เป็นเขตใจกลาง จัดให้หลบๆ นิดหนึ่ง ไม่ให้อยู่ในจุดที่เป็นมลพิษทางสายตา”
ต่อมาเราจับเข่าคุยกับชาวบ้าน ที่อาศัยและทำมาหากินอยู่ในบริเวณอุทยานฯ
วิรุณ ศรีอุดม เด็กหนุ่มมัธยมฯ ที่มักมาพักผ่อนในอุทยานฯ เป็นประจำ พยักหน้าบอกว่าเขาและกลุ่มเพื่อนวัยโจ๋ทราบข่าวที่อุทยานฯ เสี่ยงต่อการถูกถอดจากการเป็นมรดกโลก
“ประมาณ 2 ปีก่อน รถเข็นและแผงลอยยกโขยงกันมาตั้งขายในบริเวณพื้นที่อุทยานฯ กันอย่างเป็นล่ำเป็นสันนเลยล่ะครับ รถก็เข้ามาจอดกันเต็มไปหมด มันดูรกหูรกตานะ แต่ตอนนี้เจ้าหน้าที่ใช้เชือกกั้นไม่ให้เข้ามาขายแล้ว”
ถามถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับอุทยานฯ วิรุณบอกไม่ค่อยสังเกตเห็นสักเท่าไหร่
“สภาพแวดล้อมต้นไม้ใบหญ้าก็ไม่ได้ลดลงนะ พอหญ้าขึ้นสูงก็มีคนมาตัดอยู่เรื่อยๆ สิ่งก่อสร้างในอุทยานฯ ก็มีเท่าเดิม ดูๆ แล้วสภาพแวดล้อมก็ยังสวยงามอยู่ครับ ขยะอาจเพิ่มขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก เพราะนักท่องเที่ยวมีเยอะขึ้น แต่อุทยานฯ ก็จัดเจ้าหน้าที่ดูแลความสะอาดนะ คนขายของก็เยอะขึ้น ดูสิมีแต่คนขายของแต่ไม่ค่อยมีคนซื้อเลย (หัวเราะ)”
ไม่ต่างจาก ปรางค์ชนก พรมาลัย สาวออฟฟิศที่พักอาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงอุทยานฯ ที่ทราบข่าวดังกล่าวเป็นอย่างดี
“ชาวบ้านก็ขายของกันในอุทยานฯ มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่คะ ตอนนี้เจ้าหน้าที่ก็จัดระเบียบร้านขายของที่ระลึก แผงลอยและรถเข็นขายของเรียบร้อยแล้วค่ะ เขาจึงย้ายไปขายที่ด้านหลังพระวิหารมงคลบพิตรซึ่งเป็นพื้นที่หนึ่งของอุทยานฯ กันหมด”
นอกจากนั้น ปรางค์ชนกฟันธงว่า 'อุทยานฯ ยังเหมือนเดิมเกือบทุกกระเบียดนิ้ว' “สิ่งก่อสร้างก็เท่าเดิม ไม่มีสร้างใหม่ ต้นไม้ก็เท่าเดิม ขยะก็มีเจ้าหน้าที่จัดการ คนที่มาขายของ ขับรถรับจ้าง หรือดูแลความเรียบร้อยของอุทยานฯ ส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่”
ส่วน สมบัติ พรหมรักษา ชายสูงวัยผู้ทำมาหากินด้วยการปั่นสามล้อรับส่งนักท่องเที่ยวในบริเวณอุทยานฯ สารภาพตามตรงว่า ไม่รู้ข่าวที่อุทยานฯ จะกลายเป็นอดีตมรดกโลก คำบอกเล่าของเขาไม่ต่างจากวิรุณ เรื่องที่ก่อนหน้านี้ ภายในอุทยานฯ มีรถเข็นและแผงลอยอยู่เต็มไปหมด
“ตอนนั้นในอุทยานฯ มีทั้งพ่อค้าแม่ค้า คนที่มาซื้อของ และคนที่เอารถมาจอด วุ่นวายไปหมดเลย”
ส่วนความเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ของอุทยานฯ สามล้อใจดีกล่าวเป็นชุดจนฟังแทบไม่ทัน
“ต้นไม้ดอกไม้นี่ปลูกเต็มพื้นที่เลยนะ เมื่อก่อนยังปลูกไม่เยอะเท่านี้เลย ดูเสาไฟฟ้ารูปหงส์ที่เพิ่งนำมาตั้งสิสวยเชี่ยว แต่ก่อนไม่มีนะ เขาเอามาตั้งเพื่อความสวยงามแท้ๆ พวกมือบอนกลับขโมยสายไฟเอาไปขายเสียเกลี้ยงเลยครับ ทุกต้นเลยนะ เรื่องขยะอีก เดี๋ยวนี้เยอะขึ้น ทั้งนักท่องเที่ยวทั้งชาวบ้านขยันทิ้งกันจัง บางทีเขวี้ยงถุงทิ้งลงพื้นหน้าตาเฉย เราก็ไม่รู้จะทำไง นักท่องเที่ยวจากบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เขารักษาความสะอาดดีเยี่ยมเลยล่ะ แค่ก้นบุหรี่ยังเก็บไปทิ้งถังขยะเลย ไม่ทิ้งเรี่ยราดเหมือนคนไทยและนักท่องเที่ยวฝรั่งหรอก”
เจาะวงในถึงปัญหาที่แท้จริง
จากการสอบถามคนในพื้นที่ดังที่กล่าวมานั้น ทำให้เราได้รับรู้ความเป็นจริงข้อหนึ่งว่าผู้คนในท้องถิ่น หรือคนไทยหลายๆ คนอาจจะยังขาดความเข้าใจเกี่ยวกับ ความหมายที่แท้จริงของมรดกโลก ซึ่งความจริงแล้วมันไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว
การรักษาไว้ซึ่งความเป็นมรดกโลกนั้น ไม่ได้หมายความถึงแค่การจัดระเบียบร้านค้า การรักษาความสะอาด การตกแต่งพื้นที่ให้สวยงามให้ถูกใจนักท่องเที่ยว แต่มันคือ ‘การรักษากายภาพของอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาให้อยู่ในสภาพใกล้เคียงของแท้ดั่งเดิมมากที่สุด โดยที่ไม่ถูกรบกวนจากสิ่งแปลกปลอม’ ซึ่งแท้จริงแล้วสิ่งแปลกปลอมนั้นอาจเป็นสาธารณูปโภคต่างๆ ถ้าเช่นนั้นเสาไฟฟ้ารูปหงส์ การปลูกต้นไม้ดอกไม้ ก็อาจจะอยู่ในเกณฑ์สิ่งแปลกปลอมด้วยก็เป็นได้
ซึ่งในขณะนี่เราได้รับการยืนยันจาก ธราพงศ์ ศรีสุชาติ ผู้อำนวยการสำนักโบราณคดีให้การยืนยันว่า อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยายังอยู่ในสภาพปกติ ยังไม่มีการแจ้งเตือนมาอย่างเป็นทางการจากคณะกรรมการมรดกโลก
แต่ทว่า การที่คณะกรรมการมรดกโลกยังไม่มีการตักเตือนมาอย่างเป็นทางการไม่ได้หมายความว่า สถานการณ์จะไม่น่าเป็นห่วง คุณ ธราพงศ์ ได้กล่าวเพิ่มเติมถึงปัญหาที่แท้จริง
“สิ่งที่เราเป็นกังวลอยู่ก็คือว่า ในสภาพที่เป็นกายภาพปัจจุบันมีปัญหา ซึ่งอยู่ในข่ายที่จะโดนถอดถอนถ้ามีการตรวจสอบ ถ้าเปรียบเทียบจากประเทศอื่น ปัญหาที่เป็นอยู่ตอนนี้คือ ปัญหาด้านการบริหารจัดการพื้นที่ มันมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาอยู่มนเขตพื้นที่เช่น ร้านค้าร้านขายเข้ามารกรุงรังสร้างความไม่เป็นระเบียบ และมีการก่อสร้าง
สาธารณูปโภคขนาดใหญ่เข้ามาในเขตเมืองเก่า อย่างเช่นถนนขนาดใหญ่ การขยายถนน การขุดขยายคลองที่เคยมีอยู่เดิมมาแต่สมัยโบราณของทางหน่วยงานท้องถิ่น”
“ทางกรมศิลปากรไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ และได้มีการทำจดหมายแจ้งไปยังหน่วยงานท้องถิ่นแล้ว ซึ่งทางกรมศิลปากรเกรงๆ เรื่องนี้อยู่ เพราะเป็นเกณฑ์เดียวกับที่ประเทศอื่นโดนตักเตือนให้อยู่ในภาวะอันตราย คือถ้าโดนถอดถอนเข้าจริงจะลำบาก แล้วจะเสียชื่อเสียเสียงอย่างมาก”
และตัวอย่างของกรณีการโดนถอดถอนจากการเป็นมรดกโลกนั้นก็มีให้เห็นอยู่ คือกรณีของเมืองเดรสเดน เอลเบ ฝั่งตะวันออกของเยอรมนี เมืองเดรสเดนได้ถูกขึ้นทะเบียนมรดกโลกเนื่องจากเป็นสถานที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะบริเวณในหุบเขาแม่น้ำเอลเบที่มีความยาวเกือบ 20 กิโลเมตร มีโบราณสถานที่สำคัญ ปราสาท และมีเกาะแก่ง ซึ่งมีความสวยงามมาก แต่เนื่องจากการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเอลเบ ที่มีขนาดกว้างเท่ากับ 4 เลน เพื่อที่แก้ไขปัญหาการจราจรที่แออัด ทำให้สะพานดังกล่าวถือเป็นสิ่งแปลกปลอม และขัดต่อเอกลักษณ์ของพื้นที่นั้น และในที่สุดเมืองเดรสแดนจึงถูกถอดถอนออกจากความเป็นมรดกโลก
ในส่วนของความเห็นจากทางฝั่งนักโบราณคดี รองศาสตราจารย์ สายันต์ ไพรชาญจิตร์ คณบดีคณะโบราณคดีมหาวิทยาลัยศิลปากร ได้ให้ความเห็นว่า
“สำหรับเรื่องนี้ ผมดูแล้วอยุธยาของเรา ยังไม่เห็นเข้าเกณฑ์ที่จะถูกถอดออกจากมรดกโลกนะ แต่มันน่าจะมีประเด็นคงอยู่ตรงการปล่อยปละละเลยมากกว่า ปล่อยให้มีการใช้พื้นที่อย่างไม่เป็นระเบียบ ซึ่งถ้าเรานับตามการอนุรักษ์ตามเกณฑ์ของมรดกโลกก็อาจจะดูน่าเกลียดขึ้นเรื่อยๆ คือมันผิดไปจากของเดิมที่เป็นอยู่มาก
“ซึ่งกฎเกณฑ์ของมรดกโลกคนไทยยังไม่ค่อยรู้เรื่องว่ามันว่ายังไง คงต้องเอาเรื่องนี่มาคุยกันซักทีว่า มันอย่างไร วิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง จริงๆ ก็คงดีถ้าปฏิบัติตามนั้นได้ แต่ว่าคนที่ควรจะรับรู้มากที่สุดควรจะเป็นคนในพื้นที่ และประชาชนและถ้าลือกันไปว่า จะต้องถอดถอนมันมีกติกาอย่างไร ใครจะเป็นคนประเมิน”
ดังนั้นการแก้ปัญหาน่าจะอยู่ที่การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับคนในท้องที่ หรือหน่วยงานท้องถิ่น ถ้าต้องการที่จะให้อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาเป็นมรดกโลกต่อไป รองศาสตราจารย์ สายันต์ชี้ว่า การที่อุทยานประวัติศาสตร์ฯแห่งนี้ได้รับเกียรติยศให้เป็นมรดกโลกนี่เอง ที่เป็นตัวสร้างความห่างเหินกับคนในท้องถิ่น ตัวโบราณสถานที่แท้จริงแล้วเป็นของพวกเขา ไม่ได้เป็นของคนทั้งโลกหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง หรือเป็นเพียงแหล่งท่องเที่ยวอันมีชื่อเสียง เป็นแหล่งทำรายได้ให้กแก่ประเทศ จนเกิดแนวความคิดของการปรับปรุงพื้นที่ให้ถูกใจนักท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว จนลืมรากเหง้าที่แท้จริง
“มรดกโลกมันก็คล้ายๆ กับการขยายอาณานิคมทางวัฒนธรรมอยู่ในที เพราะตัวยูเนสโกเป็นองค์กรของมหาอำนาจ แล้วก็ใช้มรดกโลกเข้ามามีสิทธิ์มีเสียงในแหล่งธรรมชาติและแหล่งทางวัฒนธรรมทั้งโลก เพราะหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศมหาอำนาจเขาไม่มีสิทธิในทรัพยากรต่างๆ ของประเทศอื่นเลย เพราะทุกประเทศเป็นอิสระแล้ว เขาจึงต้องหาทางมาครอบครองในรูปแบบอื่น แต่จริงๆ แล้ว ก็ไม่ได้ถึงขั้นครอบครอง แต่เหมือนกับว่าเราจะทำอะไรก็ต้องบอกเขาก่อน หรือว่าเราทำไปแล้วเขาไม่ชอบเขาก็อาจจะลงโทษคุณได้ โดยการถอดถอนหรืออะไรก็แล้วแต่ ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับเราว่าจะสนใจหรือเปล่า”
แต่อย่างไรก็ตาม ในเมื่ออุทยานประวัติศาสตร์อยุธยาได้รับเกียรติยศไปแล้ว ดังนั้นมันจึงจำเป็นที่จะต้องรักษาเกียรติยศของความเป็น ‘มรดกโลก’ นี้ไว้ให้ได้ เพราะการถูกถอดเกียรติยศก็หมายความว่าประเทศจะต้องเสียชื่อเสียงและอาจจะกระทบกระเทือนไปถึงรายได้ของประชาชน
.....................