ขณะที่กำลังเกิดความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างไทยกับกัมพูชา ข่าวล้อมกรอบเล็กๆ ที่ปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ว่าด้วยละครไทยที่กำลังออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ของไทย ถูกนำไปดัดแปลงขายในฝั่งกัมพูชาในเวอร์ชันภาษากัมพูชา อาจดูไม่สลักสำคัญเท่าไหร่ แต่หากวิเคราะห์ดูให้ดีแล้ว จะพบว่ามันสะท้อนถึงอิทธิพลของสื่อบันเทิงไทยที่มีต่อกัมพูชามายาวนาน
นานเสียจนขนาดประเด็นพิพาทนครวัด เขาพระวิหาร หรืออดีตนักการเมืองไทยที่กลายเป็นนักโทษหลบหนีคดีคนหนึ่ง ก็ไม่อาจลบล้างอิทธิพลความชื่นชอบที่คนกัมพูชามีต่อสื่อบันเทิงของไทยได้
เพราะถึงแม้ว่าชาวกัมพูชาจะชาตินิยมเพียงใด แต่ในยุคหนึ่งรายการโทรทัศน์ที่มีเรตติ้งอันดับ 1 ของทีวีกัมพูชาคือละครไทย ยิ่งน้ำเน่ากันเท่าไหร่ คนกัมพูชายิ่งติดเท่านั้น
ดาวพระศุกร์ฉบับฮุนเซน
ท่ามกลางความขัดแย้งที่คุกรุ่น แม้ผู้นำของสองประเทศจะตอบโต้กันไปมาไม่เว้นแต่ละวัน มินับความสัมพันธ์ทางการทูตที่ง่อนแง่นเสี่ยงจะพังทลายได้ทุกเมื่อ แต่สายสัมพันธ์เชื่อมคนกัมพูชากับสื่อบันเทิงแดนสยามอย่างละครไทย ยังคงมีฐานความนิยมเหนียวแน่น
ความนิยมที่มีต่อละครและดาราไทยของคนกัมพูชามีมากและมีมานานแค่ไหน หากยังจำกันได้ เมื่อหลายปีก่อน สมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีประเทศกัมพูชา ถึงขนาดเคยออกมาสั่งแบนละครที่มีนักแสดงสาวชาวไทยผู้หนึ่งเป็นนางเอก และประกาศสั่งบอยคอตทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับดาราไทยคนนี้
นักแสดงที่ตกเป็นเหยื่อละครการเมืองครั้งนั้นคือ กบ-สุวนันท์ คงยิ่ง หรือที่รู้จักกันดีในกัมพูชาว่า ‘เนียง ปเคย์ ปริก’ (Neang Pkay Prick) หรือแปลในภาษาไทยว่า ‘ดาวประกายพฤกษ์' ที่มีความหมายว่าเป็นดาวจรัสแสง เหมือนกับตัวละครในเรื่อง ‘ดาวพระศุกร์’ อันโด่งดังที่เธอรับบทเป็นนางเอก จนแฟนละครกัมพูชาติดกันงอมแงม กลายเป็นดาราขวัญใจชาวกัมพูชาทุกเพศทุกวัย มีแฟชั่นรูปเธอติดอยู่บนเสื้อผ้าและสินค้าหลากหลาย
เบื้องหลังความโกรธเกรี้ยวของผู้นำกัมพูชาคราวนั้น เกิดขึ้นหลังจากมีสื่อมวลชนกัมพูชารายงานว่า ดาราสาวชาวไทยได้กล่าวหาว่ากัมพูชาขโมยหรือช่วงชิงปราสาทหินนครวัดไปจากประเทศไทย และเธอปฏิเสธที่จะเดินทางไปเยือนกัมพูชา จนกว่ากัมพูชาจะมอบนครวัดคืนให้ประเทศไทย เมื่อสมเด็จฯ ฮุนเซนได้รับทราบข่าวดังกล่าว ถึงกับมีคำสั่งห้ามออกอากาศละครทีวีเรื่อง ‘ลูกไม้ไกลต้น’ ที่ดาราสาวแสดงนำทันที และกล่าวอย่างมีอารมณ์ฉุนเฉียวว่า นางเอกสาวชาวไทยอย่าได้สำคัญตนผิดไป เพราะเธอไม่มีค่าเท่ากับต้นหญ้าที่ขึ้นอยู่รอบนครวัดด้วยซ้ำ
ครั้งนั้นสำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า สมเด็จฯ ฮุนเซนด่ากราดบรรดาผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ของกัมพูชา ที่ฉายละครและรายการโชว์ของไทยมากเกินไป ซึ่งขณะนั้นมีสถานีโทรทัศน์ของกัมพูชาอย่างน้อย 4 ช่องที่ออกอากาศละครและรายการโชว์ของไทย รวมทั้งทีวีช่อง 5 ของกัมพูชาที่กำลังฉายละครของกบ-สุวนันท์ในเวลานั้นด้วย
ผลจากการที่ละครทีวีไทยเป็นที่นิยมในหมู่ชาวกัมพูชามาก ทำให้สมเด็จฯ ฮุนเซนถึงกับตำหนิอย่างรุนแรงว่า ชาวกัมพูชาบางบ้านแขวนรูปนางเอกหนังไทยไว้ตามผนังบ้าน แทนที่จะเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของกษัตริย์ของกัมพูชาหรือพ่อแม่ สักวันหนึ่งคนไทยจะดูถูกคนกัมพูชาเหมือนหมาแมว
น่าสังเกตว่า เหตุการณ์ดังกล่าวบังเอิญเกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 2 ของกัมพูชาในปี 2546 อย่างประจวบเหมาะพอดี ซึ่งสมเด็จฯ ฮุนเซนได้หยิบยกนำประเด็นนี้ไปหาเสียง ส่งผลให้เกิดกระแสเรียกร้องให้ต่อต้านละครโทรทัศน์จากไทย สินค้าไทย ลามไปถึงธุรกิจร้านค้าของคนไทย ก่อให้เกิดการจลาจลเผากิจการของคนไทย รวมไปถึงมีความพยายามจะทำร้ายคนไทยที่อยู่ในกัมพูชาทั้งหมด
ละครการเมืองโอละพ่อฉากนี้จบลงด้วยการที่สถานทูตไทยและธุรกิจไทยในกัมพูชาถูกเผาทำลายวอดวาย แต่อย่างนั้น ละครไทยก็ยังไม่เคยตายไปจากใจของแฟนละครชาวกัมพูชา ถึงจะแผ่วความนิยมลงไปบ้างก็ตาม
แฟนละครกัมพูชาหัวใจไทย
ปอ หญิงสาวชาวกัมพูชาผู้หนึ่งเปิดเผยว่า แถบชายแดนประเทศกัมพูชาส่วนใหญ่มักจะติดจานดาวเทียม ทำให้สามารถรับสัญญาณทีวีไทยได้ทุกช่อง ดังนั้น คนกัมพูชาจึงติดละครและรายการทีวีไทยกันมาก ส่วนตามเมืองใหญ่เมื่อก่อนนั้นทางช่อง 5 กัมพูชาเคยซื้อลิขสิทธิ์ละครไทยหลายเรื่องไปออกอากาศโดยพากย์เป็นภาษากัมพูชาทั้งหมด
แต่หลังจากที่เกิดเหตุการณ์เผาสถานทูตไทย ทำให้ละครไทยไม่ได้ถูกสั่งเข้าไปฉายอีก ดังนั้น จึงมีคนหัวใสแอบนำละครไทยไปบันทึกเทปขณะออกอากาศในเมืองไทย แล้วนำมาพากย์ภาษากัมพูชาทับผลิตเป็นแผ่นวีซีดีและดีวีดีขายกันอย่างแพร่หลายในกัมพูชา
“เมื่อก่อนนี้คนกัมพูชาจะดูหนังไทยทุกบ้าน เขาติดละครไทยกันมาก ติดดาราไทย ทุกบ้านจะมีรูปดาราไทยที่เขาชื่นชอบ โดยเฉพาะกบ-สุวนันท์ ถ้ามีหนังใหม่ที่กบแสดง ทุกบ้านทุกช่องเขาดูหมด แม้กระทั่งรูปในร้านทำผมก็จะมีทุกรูปของกบ ถ้ากบทำผมทรงไหนเขาก็ทำตามทรงนั้น หรือกบใส่เสื้อผ้าอะไรเขาก็จะใส่ตามชุดนั้น”
แต่ทุกวันนี้ความนิยมในละครไทยเริ่มลดลงจากเมื่อก่อน โดยมีหนังเกาหลีเข้ามาแทนที่ ปอบอกว่า ชนวนเหตุที่ทำให้เกิดรอยร้าวของแฟนละครชาวกัมพูชาที่มีต่อละครไทย ส่วนหนึ่งก็สืบเนื่องมาจากกรณีจราจลเผาสถานทูตคราวนั้น ที่คนกัมพูชาส่วนใหญ่ยังเชื่อว่า คนไทยยังต้องการทวงนครวัดคืนจากกัมพูชา แม้จะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม
“คนกัมพูชาคิดว่าไทยชอบพูดว่านครวัดเป็นของไทย แล้วคนในเมืองเขาค่อนข้างจะต่อต้าน ตอนที่มีข่าวกบคนค่อนข้างเชื่อ เพราะสถานทูตไทยไม่ออกมาพูดอะไร แล้วนักศึกษาก็ออกมาพูดปลุกระดม คนก็พูดกันปากต่อปาก เดี๋ยวนี้แทบไม่มีใครพูดถึงกบอีกเลย ความนิยมหายไปเกือบ 80-90 เปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ตั้งแต่เด็กอายุประมาณสักขวบสิบปีขึ้นไปจะติดพวกละครเกาหลี ตอนนี้หนังจีนกับเกาหลีมาแรงมาก”
การผลิตรายการโทรทัศน์ไทยเวอร์ชันกัมพูชา มีทั้งแบบถูกกฎหมายที่คนไทยไปลงทุน อาทิ กลุ่มบริษัทไทยนครพัฒนาที่ได้รับสัมปทานทีวีช่อง 5 จากกระทรวงกลาโหมกัมพูชาถึง 30 ปี โดยได้เข้าหุ้นกับบริษัท กันตนา เทกโอเวอร์กิจการต่อมาจากเจ้าของสัมปทานเดิมอย่าง ไอบีซีแคมโบเดีย ของกลุ่มชินวัตร ที่ประสบปัญหาขาดทุนและถูกกล่าวหาเรื่องเข้าไปแทรกแซงการเมืองภายในของกัมพูชาในขณะนั้น นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจละครไทยแบบผิดกฎหมายโดยคนกัมพูชาที่แอบอัดจากหน้าจอโทรทัศน์ไทย แล้วไปพากย์เสียงปล่อยตามเว็บไซต์ยูทิวบ์โดยไม่เสียค่าลิขสิทธิ์อีกทางหนึ่ง
ถึงแม้ว่าภายหลังนักธุรกิจไทยหลายรายที่ไปลงทุนในกัมพูชาจะพากันถอนตัว รวมทั้งผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ไทยบางรายด้วย แต่ก็มีความพยายามที่จะรื้อฟื้นให้ละครไทยเข้าไปเผยแพร่ในกัมพูชาอีกครั้ง โดยเฉพาะในช่วงประมาณ 3-4 ปีก่อน ที่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชายังอยู่ในขั้นดี ฝ่ายกัมพูชายังได้สนับสนุนให้ละครไทยเข้าไปออกอากาศในกัมพูชาได้ ไม่นานมานี้รัฐบาลไทยยังมีแนวคิดจะให้เอกชนทำละครร่วมไทย-กัมพูชา เพื่อกระชับความสัมพันธ์และสร้างความรู้สึกที่ดีของคนทั้งสองประเทศด้วยซ้ำ แต่ทุกอย่างก็ต้องมาสะดุดลงเพราะปัญหาทางการเมืองเสียก่อน
ทำไมละครไทยถึงครองใจกัมพูชา?
รศ.ดร.กาญจนา แก้วเทพ อาจารย์ประจำภาควิชาสื่อสารมวลชน คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้สื่อบันเทิงไทยสามารถเข้าสู่ประเทศกัมพูชาค่อนข้างมากน่าจะเป็นเพราะปัจจัยทางด้านการปกครองเป็นหลัก เพราะหากสังเกตประเทศที่ปกครองหรือเคยปกครองในระบบสังคมนิยม สื่อโทรทัศน์ก็มักจะมีลักษณะเป็นสื่อของรัฐค่อนข้างสูง ประกอบกับขาดวิธีคิดและเงินสนับสนุนที่เพียงพอ เนื่องจากอิทธิพลของสื่อโฆษณาเข้ามาได้อย่างจำกัด ทำให้ประเทศเหล่านี้ไม่สามารถผลิตรายการเองได้
หนทางที่คนประเทศเหล่านั้นจะสามารถเสพสื่อบันเทิงได้ง่ายที่สุดก็คือดึงสื่อสำเร็จรูปที่อยู่ในประเทศที่อยู่ใกล้เคียงกันมาออกอากาศซ้ำในประเทศตัวเอง โดยอาจจะใช้วิธีพากย์เสียงทับลงไป ซึ่งที่ตามมาหลังผู้ชมได้เสพสื่อเหล่านี้อย่างต่อเนื่องหลายๆ ปีก็จะเริ่มติดนิสัยชอบรับสื่อจากประเทศเหล่านั้น
“ปัจจัยที่สำคัญมากๆ อย่างหนึ่งที่น่าจะทำให้สื่อไทยได้รับความนิยม น่าจะเป็นเพราะเรามีรากฐานทางวัฒนธรรมที่ใกล้เคียง อย่างกัมพูชา ลาว ไทย เราเรียกรวมๆ ว่าเป็นอุษาคเนย์ ดังนั้นเราจึงมีความสนใจร่วมกัน อย่างชีวิตครอบครัว ความเชื่อ แม่น้ำโขง นาค เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลย หากเขาจะสามารถรับสื่อตรงนี้ได้ง่าย
“ขณะเดียวกัน ไทยเองก็ค่อนข้างชอบที่จะเอาสื่อไปออกที่นั่น เพราะถือว่าเราได้ประโยชน์ เนื่องจากเราไม่เสียอะไรเลย ของที่นำไปออกก็ไม่ได้ผลิตใหม่สำหรับคนที่โน่น แต่มันเป็นการเอาไปรีรันซ้ำ”
ไม่เพียงแค่นั้น แม้แต่การที่มีบริษัทไทยหลายบริษัท อย่างเช่น กันตนา ไปลงทุนเปิดกิจการสถานีโทรทัศน์ที่นั่น ก็คือเป็นช่องทางหนึ่งที่ช่วยกระจายความบันเทิงไทยไปสู่ชาวกัมพูชา
อย่างไรก็ตาม การไปตั้งสถานีโทรทัศน์ที่นั่น ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะสามารถผลิตรายการอะไรเพื่อป้อนให้ผู้ชมเท่านั้น แต่ผู้ผลิตเองก็ต้องทำงานพื้นฐาน อย่างการศึกษารสนิยมของคนที่นั่นเป็นอย่างไร ตลาดสนใจสิ่งไหน ซึ่งหากจะเปรียบก็เหมือนกับช่วงที่ฮอลลีวูดขยายตลาดจากประเทศตะวันตกมาเป็นทั่วโลก
“เดี๋ยวนี้เราสังเกตได้เลยว่าละครไทยหลายเรื่องมักจะมีความเชื่อมโยงกับคนกัมพูชา โดยเฉพาะละครซึ่งเป็นเรื่องแต่ง เช่น ผู้ร้ายเป็นคนกัมพูชา ผีเป็นผีกัมพูชา ถือเป็นส่วนเสี้ยวหนึ่งที่เราเริ่มใส่เข้าไป เริ่มคำนึงถึงคนดูกลุ่มนี้มากขึ้น”
เมื่อถามต่อไปถึงผลกระทบของสื่อบันเทิงไทยที่มีต่อคนกัมพูชานั้นมีมากน้อยอย่างไรบ้าง รศ.ดร.กาญจนากล่าวว่า เรื่องนี้ถือเป็นการสร้างทัศนคติเรื่องวัตถุนิยมให้คนที่นั่นมากเหมือนกัน
“สิ่งที่มีผลกระทบส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องวิธีคิด ส่วนเรื่องชาติไม่ค่อยมีผลเท่าไหร่ คือเราต้องเข้าใจก่อนว่า ที่กัมพูชาความเป็นทุนนิยมเขามีน้อยกว่าเรามาก ความทันสมัยหรือความเจริญทางด้านวัตถุก็น้อยกว่า แต่เวลาเสพสื่อไทย จะพบเลยว่าพระเอกนางเอกไทยส่วนใหญ่ไม่ต้องทำมาหากิน ขับรถคันเบ้อเร่อเลย เป็นวิถีชีวิตแบบในเมือง ซึ่งภาพแบบนี้มันไม่ต่างกับสมัยก่อนที่ละครโทรทัศน์เข้าไปในชนบท ซึ่งเวลาคนดูแล้วก็รู้สึกอยากเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ สิ่งที่ตามมาก็คือ คนที่นั่นก็จะเริ่มบริโภคนิยมมากขึ้น เริ่มมีทัศนคติเกี่ยวกับความเจริญมากขึ้น”
แต่ทั้งนี้ ภาพของความเจริญที่แฝงเข้าไปในสื่อนั้นจะต้องไม่เกินไปกว่าสภาพความจริงในสังคมของเขามากนัก ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่สามารถทำความเข้าใจกับสิ่งที่ถูกนำเสนอได้ อย่างเมื่อครั้งที่ รศ.ดร.กาญจนาเดินทางไปกัมพูชาเมื่อ 6-7 ปีที่แล้ว สิ่งหนึ่งที่พบก็คือ ละครไทยที่ฉายนั้นเก่ามาก ล่าหลังกว่าไทยเป็น 10 กว่าปี จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ละครอย่าง ‘ดาวพระศุกร์’ ฉบับที่สุวนันท์ คงยิ่ง เป็นนางเอกถึงเพิ่งไปโด่งดังในกัมพูชา ทั้งๆ ที่เคยฉายในประเทศไทยเป็นเวลานานมาแล้ว
……….
ถึงแม้ว่าครั้งหนึ่งผู้นำกัมพูชาจะเคยวิจารณ์ละครไทยว่าน้ำเน่าและไร้สาระ (ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นความจริงและเถียงไม่ได้) แต่อย่างน้อย…ในความไร้สาระก็ยังมีข้อดีอยู่ นั่นคือ ในขณะที่ผู้นำประเทศเตรียมชักธงรบเข้าใส่กัน แต่ประชาชนคนธรรมดาของทั้งสองประเทศก็ยังคงมีความสุขร่วมกันได้ ผ่านการรับชมละครทีวีไทยที่ใครๆ หาว่า ‘น้ำเน่า’ แต่เข้าถึงหัวอกของชนชั้นรากหญ้าทั้งสองประเทศ
………....................
ทีวีเขมร
ปัจจุบันนี้ในกัมพูชามีสถานีโทรทัศน์แบบฟรีทีวี ดำเนินการอยู่ 7 สถานีด้วยกัน โดยมี 3 ช่องที่นักธุรกิจไทยเข้าไปลงทุน ได้แก่
สถานีโทรทัศน์ ช่อง 3 เดิมทีเป็นสัมปทานของรัฐบาลรัสเซีย แต่หลังจากนั้นก็ถูกโอนถ่ายมาให้บริษัท K.C.S Cambodia ของตระกูล มาลีนนท์ หรือกลุ่ม BEC เจ้าของกิจการไทยทีวีช่อง 3 เป็นผู้ผลิต เนื้อหาส่วนใหญ่ก็เน้นในเรื่องของความบันเทิงเป็นหลัก ตามถนัดของผู้รับสัมปทาน
สถานีโทรทัศน์กองยุทธพลเขมระภูมินทร์ ช่อง 5 เปิดดำเนินการตั้งแต่ปี 2538 บริหารโดยกิจการโดยบริษัท มิก้า มีเดีย จำกัด ซึ่งเป็นการรวมทุนกันระหว่างบริษัทกันตนา และไทยนครพัฒนา เดิมทีสถานีนี้ถือเป็นแหล่งร่วมสื่อบันเทิงไทยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นละคร ดนตรี และกีฬา แต่หลังเกิดเหตุการณ์เผาสถานทูต รวมถึงเผาสถานีด้วย ทางสถานีจึงสั่งยกเลิกรายการบันเทิงไทย และหันมาผลิตแต่เฉพาะรายการภายในเท่านั้น
สถานีโทรทัศน์ ช่อง 7 เป็นสถานีโทรทัศน์ที่ดำเนินการโดยทางรัฐบาลกัมพูชาเอง รายการส่วนใหญ่พูดภาษาฝรั่งเศสเป็นหลัก และมีเนื้อหาในเชิงโปรโมตผลงานของรัฐบาลเป็นหลัก ซึ่งหากเทียบเป็นโทรทัศน์ไทยแล้ว ก็เทียบได้กับช่อง 11 ที่มักนำเสนอแต่ข่าวรัฐบาลอย่างเดียว
สถานีโทรทัศน์ ช่อง 9 หากจะว่าไปแล้วสถานีช่องนี้ดูจะไม่ค่อยแพร่หลายเท่าที่ควร เพราะเดิมทีเป็นช่องที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของพรรคฟุนเซนเปกของเจ้ารณฤทธิ์ ดังนั้นการเผยแพร่ส่วนใหญ่จึงมักจำกัดอยู่ในพื้นที่ที่เจ้ารณฤทธิ์เรืองอำนาจเท่านั้น แต่หลังจากที่สมเด็จฯ ฮุนเซนมีอำนาจมากขึ้น สถานีโทรทัศน์ช่องนี้จึงไม่แตกต่างกับช่องอื่นๆ เท่าใดนัก
สถานีโทรทัศน์ ช่อง 11 ก็ถือเป็นอีกช่องหนึ่งที่รัฐบาลกัมพูชามอบสัมปทานให้แก่ประเทศอื่นๆ เป็นผู้ผลิตรายการ โดยเนื้อหาที่น่าสนใจของช่องนี้ก็คือ รายการจากประเทศออสเตรเลีย
สถานีโทรทัศน์ ช่อง CTN ถือเป็นอีกช่องที่รายการค่อนข้างหลายทั้งฟุตบอล ละคร ข่าว แถมยังมีการแตกย่อยเป็นช่องต่างๆ อีกมากมาย เพื่อส่งไปออกอากาศผ่านสัญญาณดาวเทียม
สถานีโทรทัศน์ ช่อง TVK ดำเนินการโดย บริษัท แคมโบเดียน ดีทีวี เน็ทเวอร์ค จำกัด ในเครือชินคอร์ป ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าสมเด็จฯ ฮุนเซน เป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ของช่องนี้ ผลงานล่าสุดที่เพิ่งผ่านสายตาก็คือ การสัมภาษณ์สมเด็จฯ ฮุนเซน และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หลังเข้ารับตำแหน่งที่ปรึกษา
……….....
เรื่อง : ทีมข่าว Click