xs
xsm
sm
md
lg

ย้าย ‘ยักษ์’ สุวรรณภูมิ ยักย้ายความเชื่อและศรัทธา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สหัสสเดชะ
แม้จะเคยได้รับการจัดอันดับให้อยู่ 1 ใน 10 ของสนามบินนานาชาติเมื่อไม่นานมานี้ อีกทั้ง 'แอร์พอร์ตลิงค์' หรือรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิก็เพิ่งจะเปิดทดลองใช้ไปหมาดๆ แต่ดูเหมือนข่าวคราวล่าสุดของสนามบินที่เป็นความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งชาติอย่างสนามบินสุวรรณภูมิ จะกลับเป็นประเด็นปัญหาขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง

หากแต่คราวนี้ว่าด้วยเรื่องของ ‘ยักษ์’ ที่เป็นสัญลักษณ์ตัวแทนต้อนรับประชาสัมพันธ์นักท่องเที่ยวภายในสนามบิน

ประติมากรรมรูปปั้นยักษ์ 12 ตน ที่ยืนเรียงรายอยู่บริเวณทางเดินภายในอาคารเทียบเครื่องบินชั้น 2 ที่ถูกจำลองมาจากยักษ์ในวัดพระแก้ว เพื่อแสดงออกให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ น่าเกรงขาม เหมือนดังว่าตั้งให้เป็นผู้คุมประเทศ และเป็นการเชื้อเชิญว่าไปดูยักษ์ของจริงกันได้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว)ก็ว่าได้ จึงเสมือนว่ายักษ์ทั้ง 12 ตนทำหน้าที่เป็นประชาสัมพันธ์ไปในตัวด้วย

เรื่องมันมาถึงว่าเมื่อทางการท่าฯ มีแนวคิดที่จะย้ายยักษ์ทั้ง 12 ตนจากบริเวณชั้น 2 ไปไว้ยังชั้น 4 ของอาคารสนามบินสุวรรณภูมิ โดยมีกระแสข่าวลือว่าเพื่อเป็นการแก้เคล็ด เพราะจุดเดิมยังไม่ถูกหลักฮวงจุ้ยที่ดี

โดยในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2552 ที่ผ่านมาการท่าฯได้จัดพิธีบวงสรวงเทพเทวาและย้ายยักษ์กันขึ้น ณ สนามบินสุวรรณภูมิ

โดยทาง นิรันดร์ ธีระณาทศิลป์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสนามบินสุวรรณภูมิ ให้เหตุผลในการย้ายครั้งนี้ว่า การตั้งยักษ์อยู่ในอาคารผู้โดยสารชั้นใน ทำให้ไม่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว เพราะต่างเร่งรีบที่จะไปเอากระเป๋าเดินทางขึ้นเครื่องบิน

อีกอย่างจุดที่ตั้งยักษ์เป็นมุมที่ค่อนข้างอับทำให้ผู้โดยสารเห็นไม่ถนัด เมื่อย้ายออกมาตั้งบริเวณเช็กอินผู้โดยสารจะทำให้นักท่องเที่ยวมองเห็นยักษ์ทั้ง 12 ตน ที่มีความสูงกว่า 6 เมตร ได้อย่างชัดเจน ซึ่งจะทำให้นักท่องเที่ยวได้เห็นศิลปวัฒนธรรมของไทยด้วย

เมื่อยักษ์กับคนต้องมาอยู่ร่วมกัน

แม้จะเป็นเพียงแค่รูปปั้นที่ไร้ชีวิต แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าประติมากรรมรูปยักษ์ทั้ง 12 ตน ที่ยืนเรียงรายอยู่บริเวณทางเดินภายในอาคารผู้โดยสารสนามบินสุวรรณภูมิชั้น 2 สร้างความรู้สึกหลากหลายให้กับผู้ที่พบเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ต้องทำงานอยู่ภายในสนามบินแห่งนั้นทุกวัน

ก่อนหน้านี้ เคยมีข่าวว่าพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่จุดที่มีการตั้งรูปปั้นยักษ์ทั้ง 12 ตนนั้น เกิดความไม่สบายใจต่อการนำยักษ์มาไว้ในสนามบิน ยิ่งช่วงที่สุวรรณภูมิมีปัญหารุมเร้า จึงมีการโยงสาเหตุว่าอาจเกี่ยวข้องกับการที่การท่าฯ นำรูปปั้นยักษ์มาตั้งไว้ผิดที่ผิดตำแหน่ง ไม่เหมาะสมก็เป็นได้

ในขณะที่ผู้โดยสารที่ต้องเดินทางผ่านยักษ์เพื่อไปขึ้นเครื่องบินนั้น ก็มีมุมมองแตกต่างกันไป บ้างมองว่าเป็นความหมายในทางที่ดี เพราะยักษ์เหล่านี้ทำหน้าที่เหมือนยามเฝ้าประตู เมื่อนำมาตั้งอยู่ตรงทางที่นักท่องเที่ยวกำลังจะเข้าประเทศก็เหมือนกับกั้นไม่ให้สิ่งไม่ดี หรือคนไม่ดีไม่ให้เข้าประเทศ

แต่บางคนก็เห็นว่า ตำแหน่งที่ตั้งของรูปจำลองยักษ์ตรงบริเวณจุดเดิมนั้นอยู่ในมุมอับ ร้านค้าก็รุกล้ำเข้ามาจนดูไม่สง่า

ทางด้านโกเมจ แจ้งกระมล หัวหน้าพนักงานต้อนรับของสายการบินไทย แสดงความเห็นว่า การที่มีคนทำงานในสนามบินหลายคนเชื่อว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับสุวรรณภูมินั้น เป็นเพราะอาถรรพณ์ของรูปปั้นยักษ์ หากมองในแง่จิตวิทยาแล้ว ก็เป็นไปได้ว่าเกิดจากความไม่สบายใจของคนเหล่านั้น จึงคิดเชื่อมโยงไปเอาเอง

“มันผิดตั้งแต่เรื่องของสภาพองค์ประกอบโดยรวม ซึ่งจุดเด่นของสนามบินคือ ความรวดเร็ว สะดวกสบาย แต่ที่นี่มันไม่ใช่ มันใหญ่ ชักช้าและไม่สะดวก และไม่เกี่ยวกับเรื่องยักษ์ สนามบินต่างประเทศเขาจะเน้นใหญ่แต่ไม่ได้ใหญ่ยักษ์ คือ เน้นสะดวกรวดเร็วในการขนถ่ายผู้โดยสาร ของเราไปรวมอยู่กระจุกเดียว ผิดวัตถุประสงค์ เราเน้นความใหญ่ของสถานที่ แต่เราไม่ได้เน้นเซอร์วิส เพราะฉะนั้นยักษ์ไม่มีผล”

ส่วนเหตุผลที่จะย้ายรูปปั้นยักษ์ออกมาไว้บริเวณเช็กอินผู้โดยสารชั้น 4 ด้านนอก โกเมจเห็นว่า ตรงจุดด้านนอกนั้นจะเหมาะกับผู้โดยสารที่ไม่เร่งรีบมากกว่าชั้นใน เพราะหากผู้โดยสารผ่านพิธีการต่างๆ ในขั้นตอนการเช็กอินและหมดภาระกังวลไปแล้ว น่าจะมีโอกาสได้เห็นและได้ถ่ายรูปด้วยมากกว่า

จากประสบการณ์ในการเดินทางไปต่างประเทศของเขา โกเมจบอกว่าหลายสนามบินก็มีการใช้สัญลักษณ์หรือโลโก้ต้อนรับเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สนามบิน ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นโลหะที่โคเปนเฮเกน, สัญลักษณ์สนามบินที่เกาหลี ฯลฯ ดังนั้น การที่ประเทศไทยจะใช้รูปปั้นประติมากรรมยักษ์มาดึงดูดนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาสนามบินสุวรรณภูมิบ้าง ก็ทำได้ไม่ผิด แต่ถ้าจะสื่อถึงสัญลักษณ์ของวัดพระแก้วก็น่าจะใช้รูปอื่นมากกว่า เช่น กินนรีที่เป็นตัวแทนของความสวยงาม เป็นตัวแทนของเทพ แล้วก็เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เมืองอื่นเขาไม่มี

ความเชื่อหรือศิลปะ

ตามตำนานของไทยเชื่อว่า ยักษ์คือตัวแทนของฝ่ายอสูรที่อยู่ตรงข้ามกับเทพบนสวรรค์ ในวรรณคดีหลายเรื่องก็มักจะปรากฏการต่อสู้ระหว่างฝ่ายยักษ์กับเทวดาเสมอ เมื่อเส้นบางๆ ระหว่างความเชื่อและศิลปกรรมดั้งเดิมของไทยเกี่ยวพันกันจนแทบจะแยกไม่ออก ฉะนั้นเราจึงได้เห็นพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบวงสรวงบูชาเทพเทวา รวมทั้งเทพฝ่ายอสูรอย่างยักษ์ด้วย

พระราชครูวามเทพมุนี หัวหน้าพราหมณ์ กองพระราชพิธี สำนักพระราชวัง อธิบายถึงสาเหตุการย้ายยักษ์ของการท่าอากาศยานสุวรรณภูมินั้น มาจากเหตุผลหลัก 2 อย่างคือ ตำแหน่งของยักษ์ที่วางนั้นไม่โดดเด่นเท่าที่ควร เนื่องจากตั้งอยู่ในอาคารผู้โดยสารชั้นใน ดังนั้นเวลาที่คนเดินผ่านไปผ่านมาก็ไม่ได้สังเกตเท่าที่ควร เพราะฉะนั้นหากย้ายมาอยู่ตรงบริเวณที่เช็กอินของผู้โดยสารก็จะทำให้เป็นที่สังเกตได้มากขึ้น

ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็เนื่องจากยักษ์ทั้ง 12 ตนนั้น มีฐานะเป็นพญายักษ์ เป็นยักษ์ใหญ่ เป็นยักษ์เจ้าเมือง มีที่มาจากเรื่องรามเกียรติ์ ดังนั้นการที่มาอยู่ในห้อง ผู้ปฏิบัติหน้าที่ภายในสนามบินจำนวนมากก็เลยรู้สึกไม่สบายใจ เพราะฉะนั้นทุกคนก็เลยมีความคิดว่าน่าจะย้ายยักษ์ไปไว้ที่อื่นดีกว่า

“ช่วงที่การท่าฯ สร้างยักษ์เหล่านี้เขาไม่ได้มาปรึกษาผม เพราะว่าช่วงที่เขาสร้าง เขาก็คิดแค่ว่า อยากแสดงให้เห็นถึงศิลปะอันใหญ่โต เพื่อดึงดูดฝรั่งที่เข้ามา เมื่อเห็นแล้วจะได้รู้สึกว่านี่มันเป็นอะเมซิ่งยักษ์ แต่ช่วงหลังๆ เหมือนมีปัญหาติดขัดหลายอย่าง เขาก็เลยรู้สึกไม่ดี เห็นว่าน่าจะย้าย เขาก็เลยมาปรึกษาผมว่าควรจะจัดการอย่างไร และก็ขอผมให้ช่วยทำพิธีย้ายยักษ์ให้”

พระราชครูฯ กล่าวต่ออีกว่า หากถามว่าการย้ายยักษ์ครั้งนี้ต้องทำอะไรพิเศษหรือไม่ บอกได้เลยว่าไม่มี เพราะเป็นเพียงแต่การทำพิธีในฐานะของช่าง ซึ่งควรจะต้องมีการบอกกล่าว บวงสรวง และขออนุญาตเคลื่อนย้ายเท่านั้นเอง

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การย้ายยักษ์ไม่ใช่จะย้ายไปตรงไหนก็ได้ เพราะยักษ์แต่ละตัวนั้นมีความยิ่งใหญ่ และประวัติความเป็นมา ดังนั้นการย้ายแต่ละครั้งจึงต้องหาตำแหน่งที่เหมาะสมในการวางด้วย

“เราต้องให้เกียรติ เพราะยักษ์ทุกตนมีฐานะเป็นกษัตริย์ เป็นผู้ยิ่งใหญ่ ดังนั้นไม่ว่าคุณจะรู้สึกไม่เคารพ หรือนับถือเขาก็ตาม คุณก็ไม่สามารถจะเอาเขาไปวางไว้ตรงไหนก็ได้ และต้องไม่ลืมว่า เมืองไทยมีวัฒนธรรม มีการยกย่องให้เกียรติไม่ว่าเขาจะอยู่ในฐานะไหน กรณีของยักษ์ก็เหมือนกัน หากไปศึกษาดูก็จะพบว่าแต่ละตนเขาก็มีหลักของเขาอยู่ อย่างทศกัณฐ์ ไม่ว่าเวลาจะรบหรือทำอะไร เขาก็จะมีวิธีของเขา”

ขณะเดียวกัน ด้วยที่ยักษ์ถือเป็นสัญลักษณ์ของความโกรธ โลภ หลง เพราะฉะนั้น พระราชครูฯ ก็เลยเสนอการท่าฯ ว่าน่าจะมีการเพิ่มองค์ประกอบบางอย่างเพิ่มเติมเข้าไป เพื่อให้ได้ความหมายที่ดี โดยเฉพาะมณฑป บุษบกที่ประดิษฐานของพระพุทธเจ้า จากนั้นก็ค่อยจัดวางยักษ์ทั้งหมดหันหน้าไปทางพระพุทธองค์

โดยพระราชครูฯ ได้ความคิดเรื่องนี้มาจากยักษ์ที่อยู่บริเวณวัดพระแก้ว โดยหลายคนอาจจะเข้าใจว่า ยักษ์เหล่านั้นมีหน้าที่เฝ้าประตู แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เพราะความจริงยักษ์ทุกตนกำลังรับฟังธรรมะจากพระพุทธเจ้าอยู่ต่างหาก โดยสังเกตได้จากการที่ยักษ์แต่ละตนนั้นต่างก็หันหน้าเข้าหาพระแก้วมรกตกันหมด

ซึ่งแนวคิดนี้ ทางการท่าฯ ได้ตอบรับและนำไปปฏิบัติตามเรียบร้อยแล้ว

“เราอยากให้ทุกคนได้เห็นว่าศูนย์รวมที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ ยักษ์ อสูร หรือเปรต ก็คือพระธรรม เพราะพระธรรมนั้นสามารถช่วยทำให้เราละความโกรธ โลภ หลงได้”

พระราชครูวามเทพมุนีให้ข้อคิดฝากทิ้งท้ายว่า ความหมายของยักษ์จริงๆ นั้น ไม่ใช่แค่อย่างที่เราเห็นเท่านั้น เพราะแม้แต่มนุษย์เองก็สามารถเป็นยักษ์ได้ หากไม่สามารถละสิ่งเหล่านี้ คือ ความโกรธ โลภ หลงออกไปจากหัวใจได้

การเมืองไทยโยงเรื่องยักษ์

เหตุการณ์วุ่นๆ ระหว่างไทยกับกัมพูชา เมื่อนายกรัฐมนตรีเขมร ฮุนเซน เชิญ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีความจากเมืองไทยไปเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดข้อพิพาทคุระอุระหว่างกัน อลงกรณ์ รัชวงษ์ นักโหราศาสตร์ชื่อดัง แสดงความคิดเห็นว่า การย้ายยักษ์ในสนามบินสุวรรณภูมิสามารถโยงเข้ากับดวงบ้านดวงเมืองได้

“คือเหมือนเป็นเรื่องการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นภายในประเทศ ซึ่งสัญลักษณ์ของยักษ์คือการปกป้องรักษา การย้ายสถานที่ตั้งของยักษ์ก็เหมือนเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดเรื่อง เหมือนเป็นการเตือนให้รู้ว่า ต้องเพิ่มความระมัดระวังในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคำพูดของผู้นำประเทศ ทั้งฝ่ายบ้านเราและประเทศคู่กรณีที่มีปัญหากันอยู่”

ในปี 2553 นักโหราศาสตร์คนเดิมบอกว่า ประเทศไทยจะถูกสาดโคลนจากคนที่อยู่ภายนอกประเทศ อาจจะเป็นการรื้อฟื้นคดีความเรื่องเก่าๆ เช่น กรณีเขาพระวิหาร จนอาจจะทำให้เกิดเป็นคดีความและความขัดแย้งกันเกิดขึ้นอีกครั้ง

ยักษ์ทั้ง 12 ตน

ทศกัณฐ์ ยักษ์ตนนี้ คนไทยจะรู้จักกันดีว่าคือ ยักษ์นนทุกบนสวรรค์ที่จุติมาเป็นโอรสของท้าวลัสเตียน และพระนางรัชดามเหสี มีสิบเศียร ยี่สิบกร และมีอิทธิฤทธิ์มาก เกิดมาใหม่เพื่อมาต่อสู้กับพระรามหรือนารายณ์อวตาร เป็นเจ้าเมืองนครลงกา มีนางอัคคี และนางมณโฑ เป็นเมียเอก นอกจากนี้ยังมีนางสนมอีกจำนวนมาก

ท้าวสหัสสเดชะ เป็นเจ้านครปางตาล มีลักษณะพิเศษ คือ มีกายใหญ่โตสีขาว มีถึง 1,000 พักตร์ 2,000 กร ตาสีแดงดังดวงอาทิตย์ ได้พรจากพระพรหมให้มีตะบองวิเศษที่ชี้ต้นตาย ชี้ปลายเป็น และเมื่อรบกับผู้ใดก็ให้กองทัพอื่นแตกกระจายไป

ท้าวจักรวรรดิ เป็นสหายของทศกัณฐ์ ครองกรุงมลิวัน มีสี่พักตร์ แปดกร

อัศกรรณมารา เป็นเจ้าครองกรุงดุรัม เป็นสหายของทศกัณฐ์ มีกายสีม่วง มี 7 พักตร์ 2 กร

อินทรชิต เดิมมีชื่อว่า รณพักตร์ เป็นโอรสของทศกัณฐ์กับนางมณโฑ มีมเหสีชื่อว่า นางสุวรรณกันยุมา มีบุตรชื่อยามลิวัน กับกันยุเวก ได้บำเพ็ญตบะแก่กล้าจนได้พรจากพระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม

ทศคีรีธรและทศคีรีวัน เป็นโอรสของ ทศกัณฐ์ กับนางคชสาร (ช้าง) จึงมีหน้าเป็นช้างเหมือนแม่ แต่ตัวเป็นยักษ์เหมือนทศกัณฐ์ผู้พ่อ อัศกรรณมาราได้ขอไปเป็นบุตรบุญธรรม ครั้นเดินทางมาเยี่ยมพ่อ ได้รับทราบถึงการศึกกับพระราม จึงอาสาช่วยรบ แต่ทั้งคู่ก็ต้องตายด้วยศรของ พระลักษมณ์

มังกรกัณฐ์ เป็นโอรสของพระยาขร กับนางรัชฏาสูร แห่งนครโรมคัล (พระยาขรเป็นหนึ่งในโอรสท้าวลัสเตียนพ่อทศกัณฐ์) มังกรกัณฐ์ ชาติก่อนคือทรพี ควายป่าที่วัดรอยเท้าและฆ่าพ่อคือทรพาตาย และเมื่อฆ่าพ่อแล้วยังเหิมเกริมเที่ยวท้ารบไปทั่ว จนในที่สุดก็ถูกพาลี (พญาลิงเจ้าเมืองขีดขิน-น้าหนุมาน) ฆ่าตาย และยังถูกพระอิศวรสาปซ้ำให้ต้องตายด้วยศรพระนารายณ์อีกครั้ง

มัยราพณ์ เป็นโอรสของมหายมยักษ์ กับนางจันทรประภา เมื่อมหายมยักษ์ผู้พ่อตายก็ได้ครองเมืองบาดาลสืบมา
 
สุริยาภพ เป็นโอรสของท้าวจักรวรรดิ และนางวัชนีสูร มีหอกเมฆพัทเป็นอาวุธวิเศษ
วิรุญจำบัง เป็นโอรสพญาทูษณ์ครองเมืองจารึกต่อจากพ่อ (พญาทูษณ์เป็นโอรสอีกองค์ของท้าวลัสเตียนพ่อทศกัณฐ์ แต่ต่างมารดากัน)

วิรุฬหก เป็นยักษ์ที่มีวิมานอยู่ใต้แผ่นดินชื่อว่าเมืองบาดาล หรือบางแห่งว่าเมืองมหาอันธการนคร ในปีหนึ่งๆจะเดินทางไปเฝ้าพระอิศวร 7 ครั้ง

..........

เรื่องโดย : ทีมข่าว CLICK
ภาพโดย : บมจ.ท่าอากาศยานไทย
ทศกัณฑ์
มัยราพณ์


กำลังโหลดความคิดเห็น