เมื่อถึงวันเพ็ญเดือนสิบสอง หรือ วันลอยกระทง คุณนึกถึงอะไร?
กระทงหลากแบบที่ลอยในท้องน้ำ โคมลอยเหลืองอร่ามเหนือท้องฟ้าเมืองล้านนา หนุ่มสาวและเด็กที่เล่นประทัดกันอย่างสนุกสนานประหนึ่ง 'เทศกาลประทัดแห่งชาติ' ฯลฯ
แน่นอนว่า มีคนไม่น้อยที่จดจำ บรรดาหญิงแท้ (และหญิงเทียม!) ที่นั่งอวดโฉมในขบวนแห่กระทง และเดินนวยนาดบนเวทีประกวด
ใช่แล้ว กำลังหมายถึง ‘นางนพมาศ’
วันเวลาผ่านไป นางนพมาศก็เปลี่ยนตาม!
นางนพมาศปี 2500 กับนางนพมาศปี 2552 ย่อมไม่เหมือนกัน
ปัจจุบัน 'ใบหน้า' ของนางนพมาศมีมากมายผิดแผกแตกต่างกันไป ทั้งนางนพมาศเรือนจำ นางนพมาศ ส.ว. (สูงวัย) นางนพมาศเด็ก กระทั่ง นางนพมาศสาวประเภทสอง!
-1-
โดยยังไม่มีหลักฐานที่แน่นอนชัดเจน ในสมัยกรุงสุโขทัย นางนพมาศคือ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ พระสนมเอกของพระร่วงเจ้า ผู้ประดิษฐ์กระทงได้อย่างวิจิตรงดงาม แถมแตกต่างอย่างโดดเด่น พระร่วงจึง 'ปลื้ม' ยิ่งนัก
แต่รู้หรือไม่ว่า จริงๆ แล้ว ในเมืองไทย ไม่ได้มีแค่นางนพมาศในแบบข้างต้นอย่างเดียว
ด้วยเหตุนี้ เราจึงอดไม่ได้ที่จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับเหล่านางนพมาศเหล่านี้สักหน่อย จะได้รู้ว่า พวกเธอนั้นช่างไม่ธรรมดาซะจริงๆ
นางนพมาศวัยดึก กลายเป็นประเพณีที่บ้านพักคนชรา โดยเฉพาะที่บ้านบางแค ซึ่งต้องจัดทุกปีซะแล้ว สำหรับนางนพมาศสูงวัย
สาเหตุก็ไม่มีอะไรมาก ส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะการมาอยู่ในสถานที่แบบนี้ ผู้สูงอายุก็มักจะรู้สึกเหงาและเบื่อหน่าย เพราะฉะนั้นช่วงงานประเพณีก็ถือเป็นโอกาสที่ดี ที่ทุกคนจะมาร่วมสนุก พร้อมรำลึกถึงวันวาน สมัยที่ทุกคนยังเป็นหนุ่มสาวกันอยู่
ซึ่งแน่นอน นางนพมาศของงานนี้ นอกจากจะมีความงามเป็นอาวุธแล้ว คุณสมบัติที่สำคัญมากๆ ก็คือต้องสูงวัย (แหล่งข่าวกระซิบมาว่า ถ้า60 ปีขึ้นไปจะดีมาก) มิฉะนั้น บอกได้คำเดียวว่า หมดสิทธิ์!!!
นางนพมาศจำแลง ตระเวนประกวด ทั้งมิสทิฟฟานี่ ทั้งมิสอัลคาซาร์ และมิสอะไรต่อมิอะไรกันจนเบื่อ พอมาถึงงานเทศกาลลอยกระทง บรรดาสาวประเภท 2 ทั้งหลาย ก็เลยพร้อมใจกันประกาศแบบตูมๆ เลยว่า งานนี้เค้าขอ!!
จะเป็นอะไรไปซะอีก นอกจากตำแหน่ง นางนพมาศ (จำแลง) ซึ่งหลายที่ก็อาจจะใช้ชื่อแตกต่างกันไป อย่าง เทพีลอยกระทง หนุ่มสวยเดือนสิบสอง นางงามพยายามสวย ฯลฯ
โดยในปีนี้มีเวทีที่เปิดโอกาสให้สาวๆ มาร่วมประชันโฉมกันหลายแห่ง ไม่ว่า วัดใหม่ผดุงเขต นนทบุรี ที่ประกาศมอบเงิน 10,000 บาทให้กับผู้ชนะ ส่วนจังหวัดปทุมธานีก็ไม่แพ้กัน เพราะผู้ใหญ่ของจังหวัดนำทีมเป็นเจ้าภาพซะเอง โดยเงินรางวัลสำหรับผู้ชนะได้เท่าไหร่นั้นไม่ได้บอก แต่ที่ชัวร์ๆ ก็คือมีสายสะพายประกาศเกียรติคุณความงามให้อย่างแน่นอน
นางนพมาศเรือนจำ ถึงแม้ซี่กรงจะขังตัวเอาไว้ได้ แต่หาได้ขังจิตใจของบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ในเรือนจำได้เลย
แน่นอน เมื่อถึงเทศกาลลอยกระทงแบบนี้ แทนที่จะปล่อยตัวปล่อยใจนั่งซึมหงอยไปกับเวลา พวกเธอ (จำนวนมาก) เลยตัดสินใจเปลี่ยนลุคซะใหม่ ให้สาวขึ้น สวยขึ้น พร้อมรับตำแหน่งนางงาม (ประจำคุก) แทนซะเลย
โดยปีนี้มีข่าวมาว่า มีเรือนจำหลายแห่งจัดประกวด อย่างที่เรือนจำปากน้ำ ก็ให้สิทธิ์เฉพาะสาวสูงวัยเข้าประกวด หรือที่อุบลราชธานี ซึ่งก็เก๋ไม่เบา เพราะให้นักโทษสาวแต่งตัวเป็นนางนพมาศด้วยชุดอีสานโบราณ พร้อมทำพิธีแห่ไปรอบเรือนจำด้วยเลย
นางนพมาศเยาวชน เรื่องอายุไม่เกี่ยวกับความงามแน่นอน เพราะคนจะสวย เขาก็สวยกันตั้งแต่เด็กแล้ว ดังนั้น เราก็เลยเห็นเวทีจำนวนมาก โดยเฉพาะตามชุมชนต่างๆ พาเหรดให้เอาเด็กๆ ขึ้นเวทีกันเป็นว่าเล่น แน่นอนงานนี้ ส่วนใหญ่โฟกัสหลักไม่ได้อยู่ที่รางวัลหรือความสวย แต่ขอเน้นที่ความน่ารักเพียวๆ เท่านั้น
นางนพมาศหลินปิง เห่อจริงๆ เลย สำหรับอาหมวยน้อยวัย 5 เดือน ล่าสุดก็เพิ่งมีข่าวว่า เชียงใหม่ได้ปิ๊งไอเดีย จับหลินปิงมาลอยกระทง แม้งานนี้จะไม่ได้มีการเอาสไบ หรือมงกุฎมาสวมให้แพนด้าน้อยก็ตาม
แต่ก็จัดเตรียมกระทงให้หลินปิงนั่ง (แห่) เป็นที่เรียบร้อย โดยตัวกระทงจะทำด้วยไม้ไผ่เป็นหลัก มีใบตอง และใบไผ่ รวมถึงดอกไม้ประดับตกแต่งอย่างสวยงาม ความกว้างอยู่ที่ประมาณ 2 เมตร กระทงดังกล่าวแข็งแรงมาก เพราะฉะนั้น หลิงปิงจึงสามารถปีนป่ายเล่นอยู่ในกระทงได้ และไม่เป็นอันตรายแน่นอน!!!
-2-
ไม่ต่างจากงานลอยกระทงในท้องที่อื่นๆ งานยี่เป็ง หรือประเพณีลอยกระทงของล้านนาเมืองเชียงใหม่ ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่นางนพมาศเข้ามามีเอี่ยว
ในสารานุกรมวัฒนธรรมไทย-ภาคเหนือ เล่มที่ 12 ของ ศรีเลา เกษพรหม ปราชญ์ชาวบ้านผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปวัฒนธรรมล้านนา แห่งสถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้ข้อมูลไว้ว่า ปี 2490 ทิม โชตนา นายกเทศมนตรีเมืองเชียงใหม่ในสมัยนั้น หนุนการท่องเที่ยวเต็มที่ งานยี่เป็งจึงจัดอย่างยิ่งใหญ่บริเวณถนนท่าแพ โดยเฉพาะบริเวณหน้าพุทธสถาน จากนั้น ปี 2512 เชียงใหม่ก่อตั้งสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ส่งผลให้งานลอยกระทงแบบกรุงเทพฯ ผลิบานอย่างเห็นได้ชัดในเวียงพิงค์
ศรีเลา เริ่มต้นบอกเล่าว่า เมืองเชียงใหม่รับเอาประเพณีลอยกระทงมาจากภาคกลาง นางนพมาศจึงติดตามมาด้วย
“สมัยก่อนล้านนามีพีธีลอยโขมด ลอยสะเปาหรือลอยกระทงในทุกวันนี้นั่นแหละ โดยวัดต่างๆ จะตั้งสะเปาไว้ ให้ญาติโยมนำเสื้อผ้า สิ่งของ และข้าวปลาอาหารมารวมกันไว้ในสะเปา จากนั้นช่วยหันหามสะเปาไปลอยน้ำ”
นับตั้งแต่ปี 2500 เป็นต้นมา ขบวนแห่กระทงในเชียงใหม่เริ่มมีนางนพมาศและประกวดนางนพมาศ
“งานลอยกระทงในเมืองเท่านั้นที่มีนางนพมาศ งานในอำเภอหรือหมู่บ้านรอบนอกไม่มีนางนพมาศ นางนพมาศสมัยแรกๆ เป็นหญิงสาวในหมู่บ้าน แต่พักหลังๆ เป็นนักศึกษาเสียส่วนใหญ่นะ” ศรีเลาบอกเล่า
-3-
สาเหตุในการเกิดขึ้นมาของนางนพมาศในขบวนแห่กระทง สนั่น ธรรมธิ อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปวัฒนธรรมล้านนา ของสำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ บอกกล่าวไว้ในบทความของเขาว่า เพื่อให้ขบวนแห่ดูอลังการ และจูงใจคนดู
“สมัยแรกๆ นั้น คนให้ความสนใจขบวนแห่กระทงและไปดูนางนพมาศที่เวทีประกวดจำนวนมาก ชุดที่ผู้เข้าประกวดใส่ก็เป็นชุดพื้นเมือง อาจถือกระทงหรือธูปเทียนแล้วเดินบนเวทีให้กรรมการเห็นหน้า ไม่มีตอบคำถามหรือแสดงความสามารถพิเศษเหมือนการประกวดยุคปัจจุบัน”ศรีเลาเล่าบรรยากาศเวทีประกวดนางนพมาศอย่างเห็นภาพ
ย้อนกลับไปครั้งเก่าก่อน หลักเกณฑ์ในการเฟ้นหานางนพมาศ พิจารณาจากรูปร่างหน้าตา ทรงผม ผิวพรรณ รอยยิ้ม กิริยาท่าทาง ท่วงท่าการเดิน และการแต่งกาย
“เวทีประกวดนางนพมาศประมาณปี 2511-2512 คนดูเยอะมาก ดูกันอย่างสงบเสงี่ยม อย่างดีก็แค่ปรบมือให้กำลังใจ ไม่มีโห่ร้อง ส่วนโฆษกบนเวที เป็นผู้ประกาศข่าวหรือนักจัดรายการวิทยุ เน้นคนที่พูดเก่ง แต่งกายด้วยชุดพื้นเมือง บางปีผู้ชายคาดเอวด้วยผ้าขาวม้า ส่วนผู้หญิงใส่ชุดไทย ยุคหลังๆ ผู้ชายเปลี่ยนมาสวมเสื้อเชิ้ตเหมือนกับที่เห็นในเวทีประกวดของภาคกลาง”
เวทีประกวดนางนพมาศในสมัยอดีตและปัจจุบัน 'แตกต่างกันหน้ามือเป็นหลังมือ' ดังที่ศรีเลาบอกเล่าไว้บรรทัดถัดจากนี้
“เมื่อก่อนเวทีใช้วัสดุธรรมชาติ ไม่หรูหรา ทันสมัยเหมือนปัจจุบัน ขณะเดียวกันนางนพมาศก็สวยงามตามธรรมชาติ ไม่แต่งเติมเสริมแต่ง โกนคิ้ว แต่งหน้าแต่งตา ทาแป้งหรือทาลิปสติกนิดหน่อย
“สมัยนี้ผู้เข้าประกวดต้องเตรียมตัว บำรุงผิว นวดตัว เหมือนประกวดนางงามระดับประเทศยังไงยังงั้น
“เวทีประกวดนางงามไม่ได้มีมากเหมือนปัจจุบัน คนจึงเฝ้ารอให้ถึงงานยี่เป็งเร็วๆ จะได้เห็นประกวดนางนพมาศ มันเป็นความสนุกสนานที่เกิดจากความรู้สึกภายในที่แท้จริง ต่างกับยุคนี้ที่สนุกสนานแบบผ่านๆ เพราะมีประกวดกันบ่อยเหลือเกิน จนกลายเป็นความเคยชิน”
-4-
เห็นภาพ นางนพมาศในความทรงจำของ ศรีเลาไปแล้ว ลองมาดู ภาพความทรงจำในเรื่องเดียวกันของ เจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ กันบ้าง ซึ่งก็เป็นภาพที่ไม่แตกต่างกับของบุคคลก่อนหน้าสักเท่าไหร่
“สมัยก่อน ผู้หญิงที่ได้เป็นนางนพมาศจะได้รับการยกย่องเชิดชู สมัยนี้เวทีประกวดนางนพมาศเป็นเวทีของสาวๆ ที่แต่งชุดชะเวิบชะวาบ โชว์เนื้อหนังมังสา เผยให้เห็นหน้าอกหน้าใจและหน้าท้อง เป็นเวทีที่เน้นความสนุกสนาน เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชมงาน ซึ่งนับวันจะยิ่งสนุกกันเกินไปหน่อย”
หลังเปิดประเด็นอย่างดุเด็ดเผ็ดมันส์ไม่น้อย เจ้าดวงเดือน สะท้อนความรู้สึกเพิ่มเติมว่า กาลสมัยของความเปลี่ยนแปลงทำให้ประเพณีอันงดงามและแก่นแท้ค่อยๆ หายไปทีละน้อย จนน่าห่วงใยว่าประเพณีจะเปลี่ยนรูปรอยไป และความเสื่อมกำลังคืบคลานเข้ามาแทนที่ ที่พูดเช่นนี้ เพราะเจ้าดวงเดือนมองว่า ถึงอย่างไร การประกวดนางนพมาศเป็นแค่ส่วนประกอบหนึ่งของประเพณีลอยกระทงเท่านั้น
แทนที่จะเป็นนักศึกษาจากต่างถิ่น เจ้าดวงเดือนหวังใจไว้ว่า อยากเห็นนางนพมาศเมืองเชียงใหม่ที่เป็นตัวแทนสาวจากหลายๆ หมู่บ้าน ซึ่งไม่ได้มีดีแค่รูปร่างหน้าตา
“ต้องเป็นแม่ศรีเรือน เก่งเรื่องงานบ้าน พูดจาไพเราะ ช่างประดิดประดอย มีเสน่ห์ปลายจวัก ฉลาดปราดเปรื่อง มีความสามารถด้านการประชาสัมพันธ์ เพื่อเป็นตัวแทนของจังหวัด”
ส่วนศรีเลากลับอยากเห็นการล่องสะเปามากกว่าประเพณีลอยกระทงเหมือนดังทุกวันนี้
“ไม่เอากระทงไม่เอานางนพมาศ อยากให้คนในล้านนาช่วยกันพลิกฟื้น เอาสะเปามาแทนการลอยกระทงบนบก เพราะกระทงต้องแห่ในน้ำ ถึงจะสวย”
……….
'ใบหน้า' ที่เปลี่ยนไปของนางนพมาศอาจสวยใส นำสมัยเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่ดีแน่ หากภายใต้ความนำสมัย เราได้ทิ้งรากเหง้าบางอย่างที่สั่งสมมาอย่างยาวนานไปเสียสิ้น
นางนพมาศ เส้นทางสู่นางงาม
ปัจจุบันการประกวดนางงามกลายเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่สาวสวยให้ความสนใจ จนกลายเป็นที่มาของคำว่า 'นางงามเดินสาย' ที่หมายถึงการเข้าร่วมประกวดนางงามเวทีต่างๆ ตั้งแต่ระดับเล็กๆ ระดับจังหวัด อย่าง เทพีสงกรานต์ ธิดาบั้งไฟ ธิดาเมืองชาละวัน ธิดาองุ่นหวาน หรือแม้กระทั่งธิดานพมาศ ซึ่งเวทีเหล่านี้สร้างประสบการณ์และเป็นบันไดไต่เต้า เพื่อก้าวสู่เวทีระดับประเทศได้ดีทีเดียว แต่เวทีที่เชื่อว่านางงามส่วนมากเคยผ่านการประกวด ก็คงหนีไม่พ้นเวทีนางนพมาศ ที่ประกวดกันหลายร้อยเวทีในแต่ละปี ในช่วงวันลอยกระทง
อาร์ท-อาทิตยา พรหมคุณ นางสาวไทยจักรวาลประจำปี พ.ศ.2523 นางงามเดินสายคนแรกๆ ของประเทศ เริ่มขึ้นเวทีประกวดตั้งแต่อายุ 10 กว่าปี ซึ่งเวทีแรกก็คือเวทีเล็กๆ อย่างนางนพมาศนั่นเอง
เอ้-ชุติมา นัยนา นางสาวไทยประจำปี 2530 เคยขึ้นเวทีประกวดนางนพมาศกองทัพอากาศ ซึ่งเธอได้ตำแหน่งรองอันดับ 2 มาครอง
ปุ๊ก-ฉัตฑริกา อุบลศิริ นางสาวไทย ประจำปี 2536 เคยได้รับตำแหน่งนางนพมาศ ศูนย์ศิลปาชีพบางไทย จ.พระนครศรีอยุธยามาก่อน
บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี นางสาวไทย ประจำปี 2543 เคยผ่านการประกวดเวทีนางนพมาศเมื่อเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 และการได้รางวัลนางนพมาศครั้งนั้นทำให้แม่ของเธอมีความฝันว่า ลูกสาวต้องได้เป็นนางสาวไทย
แจม-นพพร ชุ่มใจ รองนางสาวไทยอันดับสอง ประจำปี 2545 เคยได้รับตำแหน่งนางนพมาศเมื่อปี 2544 ที่จัดโดยกรุงเทพมหานคร และเริ่มต้นการประกวดนางงามตั้งแต่เวทีนางนพมาศเล็กๆ ระดับหมู่บ้านที่จังหวัดลำปาง
กั้ง-ทิชา เหลืองไพโรจน์ มิสไทยแลนด์เวิลด์ ประจำปี 2002 (2545) เคยครองตำแหน่งรองอันดับ 2 นางงามนพมาศ โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
เชอร์รี่-เมลิสา มหาพล มิสไทยแลนด์เวิลด์ ประจำปี 2549 อีกหนึ่งคนที่ฉายแววนางงามตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มต้นการประกวดนางนพมาศและได้รางวัลมาหลายเวที
ส้ม-กนกกร ใจชื่น มิสไทยแลนด์เวิลด์ ประจำปี 2007 (2551) เวทีแรกของเธอคือนางนพมาศที่บางไทร เมื่อปี 2546
บุ๋ม-พรรณประภา ยงค์ตระกูล นางสาวไทย ประจำปี 2551 เคยผ่านการประกวดนางนพมาศมาหลายเวที ตั้งแต่สมัยเรียนระดับประถมศึกษา
..........
เรื่อง : ทีมข่าว CLICK
ภาพ : ทีมภาพ CLICK