"ตุ๊กตาไม่ใช่คนจองเวรจองกรรมนะ ตุ๊กตาให้อภัยเจมส์ได้ถ้าเขาออกมารับผิดชอบ แต่เขาพลิกลิ้นตลอดเวลา กฎหมายจะละเว้นกรรมให้เขาหรือไม่ตุ๊กตาไม่ทราบ"
คำเปิดใจของอดีตนางเอกค่ายอาร์เอสรุ่นเดียวกับ “นิ้ง กุลสตรี” , “ติ๊ก กัญญารัตน์” อย่าง “ตุ๊กตา อุบลวรรณ บุญรอด” หลังจากที่เจ้าตัวมีคดีความกับทอม ชื่อ เจมส์ "อลิสา เจริญผล" (เปลี่ยนชื่อนามสกุลมาแล้วกว่า 6 ครั้ง) โดนหลอกเงินไปนับล้าน แต่เธอก็ลุกขึ้นสู้ พร้อมกับก้มหน้ารับหนี้กว่า 4 ล้านบาท ซึ่งเธอไม่ได้ก่อมีคนหันมาสนใจมากมาย เพราะกลายเป็นคดีไม่ธรรมดาเมื่อมีผู้เสียหายเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆรวมมูลค่ากว่าร้อยล้าน ตุ๊กตาเล่าถึงสภาพที่ผ่านมาว่ากว่าจะตั้งสติได้ต้องใช้ธรรมะเข้าต่อสู้กับสภาพจิตที่ย่ำแย่
“ชาติที่แล้วตุ๊กตาคงไปเอาของเขามา ชาตินี้เราเลยมาใช้กรรม เอาเป็นว่าไหนๆเราก็ใช้กรรมเราก็ใช้ไป ไม่ได้คิดจองเวรจองกรรมกับเขาเลย แต่สงสารคนอื่นที่เขาโดนเจมส์ไม่มีความเป็นมนุษยธรรมอะไรเลย คนพิการมันยังไม่เว้นเลย ดารายังทำอะไรมันไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตา หรือพี่ดา (ชฎาพร รัตนากร) หรือดาราท่านอื่น ไม่ได้คิดจะไปจองเวรเขา บางคนเจอหน้าตุ๊กตาชอบพูดว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร แต่ตุ๊กตาจะบอกว่าตุ๊กตาไม่ได้จองเวร แต่ตุ๊กตาให้กฎหมายดำเนินตามความถูกต้อง ฉะนั้นเมื่อมันทำในสิ่งที่ไม่ดี มันต้องได้รับผลกรรมมัน”
พ่อแม่เริ่มลำบาก และกลับไปทำงานก่อสร้างอีกครั้ง ตุ๊กตาเล่าแบบไม่อายว่าทันทีที่เธอเข้าวงการเธอสั่งพ่อแม่เลิกทำงานก่อสร้าง แต่แล้วเธอต้องเห็นสภาพพ่อใส่เหล็กที่ขาอีกครั้ง เพราะกลับไปทำงานก่อสร้างเนื่องจากพ่อไม่ต้องการรบกวนเงินของลูก หลังโดนโกงและต้องนำไปจ่ายหนี้แบงก์
“พ่อแม่ตกใจมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น เราเข้าวงการให้เขาเลิกทำงานก่อสร้าง แล้วพอเรามาเป็นหนี้ พ่อตุ๊กตาแอบไปทำก่อสร้าง จนกระทั่งตกลงมาจากตึก ขาหัก ต้องใส่เหล็กไว้ในขา แม่ล้มป่วย ทั้งความดัน และโรคหัวใจ เขาเสียใจ เขารักเจมส์ เหมือนลูกคนหนึ่ง ให้การช่วยเหลือด้วยความบริสุทธิ์ใจแต่ทำไมมาทำกับครอบครัวเราขนาดนี้”
ในวันที่สภาพเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว นอกจากพ่อแม่แล้ว ตุ๊กตายอมรับไม่เคยปรึกษาเรื่องนี้กับใครมาก่อน แต่กลับมานั่งสวดมนต์และเข้าหาธรรมะมากขึ้น
“ตอนแรกเราก็เครียดนะ แต่ก็คิดว่ากรรมใดใครก็กรรมนั้นย่อมตอบสนอง มีคำของพระ ปรัชญาแปะเต็มห้องเลยเป็นยันต์ (ยิ้ม) อ่านไปเรื่อยๆ คิดเสียว่าของนอกกายมันไม่ใช่ของเราตายไปก็เอาไปไม่ได้ อยู่กับตัวเองให้มากที่สุด สวดมนต์ ไปบวช และได้เพื่อนดีที่เป็นเพื่อนจริงๆ เห็นเราไม่มีตังค์ก็ช่วยเหลือเรา ช่วยในเรื่องสิ่งของกำลังใจ แล้วตุ๊กตาคุยกับพ่อแม่ สงสารพ่อแม่ที่เขาร้องไห้ เราทำให้พ่อแม่เสียใจ รู้สึกบาป ตอนนั้นคิดว่าถ้าเราไม่เอาคนคนนี้เข้ามาในบ้านเราคงไม่ต้องมาเสียใจแบบนี้ เลยคิดว่าเราต้องทำอะไรให้พ่อแม่สบายใจที่สุด เลยคิดว่าเครียดก็ต้องทำไม่เครียด เก็บเงินซื้อบ้าน ซื้อรถ ที่เราไม่มีเครดิตเราก็ต้องหาหนทาง”
หัวใจที่เข้มแข็งและสติ และความละเอียดถี่ถ้วนในชีวิต มีเพิ่มมากขึ้นโดยอัตโนมัติทีเดียวสำหรับตุ๊กตา โดยเธอเล่าแบบไม่อายว่าเธอ “โง่” เองและไม่รอบคอบในชีวิตก่อนสบถออกมาว่า... “คนโง่ในสายตาคนโกงคือคนใจบุญด้วยนะ ดาราหรือคนธรรมดาก็ต้องระวัง คนพวกนี้จะตั้งใจเข้ามาหลอกเรา”
ถามเธอทิ้งท้ายว่า สิ่งที่ทำให้เธอรอดพ้นจากวันวิกฤตเหล่านั้นมาได้ ทั้งโดนโกงหนี้สินหลายล้าน ติดแบล็กลิสต์ธนาคาร สิ่งใดทำให้เธอยืนหยัดอยู่ได้บนโลกมายาที่อดีตนางเอกอย่างเธอต้องมาเจอในชีวิตจริง เธอบอกว่าเพราะบุญที่ทำกับพ่อแม่ถึงทำให้เธอมีคนช่วยเหลือแม้วันที่ชีวิตลำบาก
“ตั้งแต่โดนหลอกไป เก็บมาไม่ได้มีชีวิตที่ฟุ่มเฟือยเหมือนคนอื่น เพราะว่าพ่อแม่ก็ล้มเจ็บ ตอนนี้พ่อแม่อยู่ที่บ้านย่านลำลูกกา คลอง 4 เป็นบ้านที่ตุ๊กตาซื้อด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง แต่ตุ๊กตาไปขอความช่วยเหลือจากพี่ผู้หญิงคนหนึ่งให้เขาช่วย เพราะเราติดแบล็กลิสต์ เขาก็รู้ว่าเราโดนหลอกจริงๆ ตุ๊กตาอยากทำให้พ่อแม่ ถ้าพ่อแม่เรายังไม่ตาย เราควรทำสิ่งดีๆให้มากที่สุดก่อนจะทำให้คนอื่น ถ้าเขาตายไปแล้วมาเผากงเต๊กให้ก็ไม่เอานะ ไม่มีประโยชน์” ตุ๊กตาทิ้งท้ายแบบนั้นและพร้อมกัมหน้ากับชะตากรรมชีวิตที่จะเกิดขึ้นแต่ดูเธอจะไม่มีวันยอมแพ้
ภาพโดย ศิวกร เสนสอน