xs
xsm
sm
md
lg

มิลิน ยุวจรัสกุล ดีไซเนอร์นักล่าฝัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


     ใช่...เธอเป็นดีไซเนอร์ แต่มีคุณสมบัตินักล่าฝันอยู่เต็มเปี่ยม…!

     เพราะหากลองย้อนกลับไปมอง แต่ละขั้นตอนกว่าจะสำเร็จเสร็จสิ้น จนกระทั่งเปิดตัวแบรนด์ “Milin” ด้วยคอลเลกชันสไตล์เก๋ๆ ที่พัด เพชร และขนนก ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากหนังดัง “มารี อังตัวเน็ตต์” แบบอลังการเมื่อไม่นานมานี้

     ดีไซเนอร์ไฟแรงกับวัยเพียง 26 ปี เจ้าของแบรนด์สุด Cool อย่าง มิลิน ยุวจรัสกุล หรือ มีมี่ บอกว่า สิ่งที่ทำให้เธอไล่ตามความฝันได้รวดเร็วแบบทุกวันนี้ได้ เพราะตัวเธอตอบคำถามกับตัวเองได้ว่า “รัก” และ “ต้องการ” เป็นอะไรได้อย่างรวดเร็ว…!

     มัธยมศึกษา 5 คือช่วงเวลาที่เธอได้คำตอบว่าอยากเป็น “ดีไซเนอร์” เมื่อตอบตัวเองได้แบบนั้น การเดินทางเพื่อล่าฝันก็เริ่มขึ้น

     “ถามว่าเร็วไหม เราว่าเรื่องแบบนี้ยิ่งตอบตัวเองได้ว่าอยากทำงานอะไรเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี” มิลิน ย้อนความหลังให้ฟังกว่าจะมาถึงวันที่ใครๆ มองว่าอาชีพนี้สวยงามได้เธอต้องผ่านอะไรมาบ้าง

     หลังจากเรียนจบระดับมัธยมศึกษาแล้ว มิลินตัดสินใจออกเดินทางไปศึกษาต่อปริญญาตรีด้านแฟชั่นดีไซน์ตามความตั้งใจ โดยตั้งเป้าหมายไว้ที่ Central Saint Martins สถาบันชื่อดังที่ประเทศอังกฤษ

     “สาเหตุที่เราเลือก Saint Martins เพราะว่าก่อนหน้านี้ได้ยินชื่อเสียงว่าดีไซเนอร์รุ่นพี่ที่เก่งๆ จบจากที่นี่ทั้งนั้น ที่นี้พอเราตั้งเป้าว่าอยากเข้าไปเรียน Saint Martins ให้ได้ มี่ก็เริ่มทำ“พอร์ตโฟลิโอ” ผลงานอยู่นานมากๆ ส่งอีเมลไปเสนอ ตอนนั้นก็ตั้งใจมากๆ สรุปเขาก็เรียกเราบินไปสัมภาษณ์เราก็ไปแบบตื่นเต้นๆ มากๆ ไปรอฟังผลตั้งแต่ 9 โมงเช้า”

     จนกระทั่ง 2 ทุ่ม คณะกรรมการที่ตัดสินก็ประกาศผลว่า…คุณได้เรียนที่นี่ เราก็ดีใจสุดๆ

     “พอได้มาเรียน มันเหมือนคนที่ได้เจอกับสิ่งที่ตามหามานาน… คือเมื่อก่อนเราอาจจะชอบแฟชั่นและรู้จักแฟชั่นมาระดับหนึ่ง แต่พอได้มาเรียนที่นี้เขาจะสอนแบบเจาะลึก ทั้งยังได้แตกแขนงแฟชั่นไปอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น แฟชั่นพิมพ์ลาย Fashion history, Fashion marketing”
     แต่ทว่าเธอถูกชะตากับ Fashion Print มากที่สุด จึงตัดสินใจลงเรียนการออกแบบเกี่ยวกับลายผ้าเป็นหลัก เนื่องจากตัวเองมีพื้นฐานและทักษะเรื่องวาดลายผ้า ทั้งยังชอบผสมสี

     โดยการเรียนสาขานี้ มิลินบอกว่า สิ่งแรกที่เธอต้องเรียนรู้เริ่มตั้งแต่ ความรู้เบสิกเรื่องผ้าว่ามันมีกี่ชนิด ต้องมาเรียนรู้ว่าผ้าชนิดไหนสภาพเป็นแบบไหน ผ้าพื้นแบบไหนสวย…พอรู้จักหมดแล้ว หลังจากนั้นหน้าที่คนที่เรียนสาขานี้จะต้องนำมามาดีเวลลอฟกัน พอทำเสร็จก็ไปย้อมไปเจาะรู-เย็บ-ปัก และขั้นตอนอื่นอีกมากมาย จนกระทั่งปลายทางออกมาเป็นเสื้อผ้าเก๋ๆ แบบที่เราเห็น กัน

    “เป็นช่วงเวลาที่เราเหนื่อยมากๆ แต่ก็สนุกสุดๆ เหมือนกัน”

     มิลินเรียนอยู่ที่ Central Saint Martins ด้วยความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ 4 ปีเต็มๆ

     เป็น 4 ปีที่มีค่า… โดยได้มีโอกาสทำงานทั้งด้านดีไซน์ สไตลิสต์ เป็นคอลัมนิสต์นิตยสาร ทำงานโฆษณา ทำงานหนัง ทั้งในประเทศไทยและประเทศอังกฤษ จนกระทั่งเรียนจบก็บินกลับมาที่ประเทศไทย

     “จริงๆ เราวางแผนเอาไว้ก่อนหน้านี้นานแล้วว่าพอเรียนจบเราอยากจะมีแบรนด์เป็นของตัวเอง"

    ซึ่งพอเรียนจบมามี่รู้สึกว่าเรามีอายุแค่ 22-23 ปีเอง (หัวเราะ) แล้วเราจะเริ่มต้นอย่างไรดีล่ะ คือวันๆ เราอยู่แต่ในสตูดิโอ มือ-หัว-หน้าเลอะเทอะ (หัวเราะ) ทุกๆ วัน เราก็มาถามตัวเองว่าตัวเองขาดอะไรบ้าง เพราะการเปิดแบรนด์มันไม่ใช่มีแต่เรื่องศิลปะอย่างเดียวมันต้องมีคนเก่งการตลาด

     มีมี่เลยตัดสินใจหอบเอาความตั้งใจบินข้ามทวีปไปยังมหานครนิวยอร์ก เพื่อเริ่มศึกษาถึงรูปแบบของธุรกิจแฟชั่น เทรนด์ และศิลปะในการใช้สี ณ Fashion Institute of Technology (FIT) อีกทั้งยังพาตัวเองไปฝึกงานอยู่กับดีไซเนอร์ชื่อดังอย่าง Jill Stuart อีกด้วย

     “ครั้งนี้เราก็พาตัวเองเข้าไปหาโอกาสอีกเหมือนเดิมค่ะ คือมี่ชอบงานของ Jill Stuart เลยส่งอีเมลเอาพอร์ตผลงานไปเสนอ โดยสิ่งที่เราได้จาก Jill Stuart ก็คือความเป็นมืออาชีพ”

     นอกจากได้เป็นส่วนหนึ่งในการทำแฟชั่นวีก (เธอบอกว่าไม่ได้นอน 3 วัน 3 คืน) แล้ว เรายังได้โอกาสให้ออกแบบเสื้อผ้า-รองเท้าเพื่อให้เหมาะกับคอลเลกชันนี้

    “เวลาที่เขานั่งประชุมกันเขาก็ให้มี่ไปนั่งฟังด้วยยูจะนั่งประชุมกับไอไหม คุณจะได้รู้ว่าทำไมรองเท้านี้ขายดี รองเท้านี้ขายไม่ดี เราก็ไปนั่งฟังนั่งจดยิกๆ (หัวเราะ) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการตลาด ว่าเขาเช็กสต๊อกกันอย่างไร เราก็เข้าไปในห้องสต๊อกใบเก็บสต๊อก เขาสั่งผ้ามาจากไหน เอาตัวอย่างผ้าเก็บตรงไหน เราก็ไปอยู่ ไปเรียนรู้แทบทุกๆ ฝ่ายของที่นั้น” เรียกว่าระยะเวลา 1 ปีที่นั่นมีค่ามากๆ สำหรับดีไซน์เนอร์หน้าใหม่อย่างเธอ

หลังจากหาประสบการณ์แบบที่ตั้งใจแล้ว ก็ถึงเวลา ทำธุรกิจและสร้างแบรนด์ของตัวเองจริงๆ ซะที


     “มี่เริ่มต้นด้วยการหาทีมงานค่ะ ซึ่งก็โชคดีที่ได้เพื่อนสนิท ซึ่งเขาเก่งเรื่องโปรดักชัน เก่งเรื่องวิธีการตัดเย็บ รู้ว่าเมืองไทยตัดเย็บยังไง ต้องส่งที่ไหน ต้องเอาผ้ามาจากไหน...อีกคนเก่งเรื่องคอมพิวเตอร์ และเรื่องกราฟิก
 
     นี่ก็เพิ่งเปิดตัว “Milin” ไปไม่นาน ซึ่งก็ถือว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีด้วยคอเล็กชันแรก "Let Them Eat Cake" ที่ได้แรงบันดาลใจเก๋ๆ จากหนังเรื่อง “มารี อังตัวเน็ตต์”

     เธอให้เหตุผลที่เลือกหนังเรื่องนี้ เป็นแรงบันดาลใจคอลเลกชันแรกในชีวิตว่า

     “มี่ชอบมากๆ เพราะว่าตัวเอกในหนังเขามีบุคลิกที่แบบ เท่ และไร้เดียงสา เซ็กซี่ได้ในเวลาเดียวกัน เราก็หยิบมา ที่สำคัญเขาก็มีพัดที่ถือติดตัวตลอด ทั้งยังมีเพชรแสดงถึงความเฟื่องฟูในยุคของเขา มีขนนก เพื่อจะเหมาะกับสาวโมเดิร์นยุคใหม่สำหรับสาวเซ็กซี่ในเมือง” ความโดดเด่นของแบรนด์ “Milin” อยู่ที่การใช้ผ้าพิมพ์ลายพิเศษที่เธอตั้งใจไปเรียนมากับที่ออกแบบและผลิตมาจำกัดสำหรับแต่ละคอเล็กชัน

     โดยเฉพาะอีกหนึ่งความแตกต่างที่ทำให้ชุดกระโปรงพิมพ์ลายสุดสวยไม่ว่าจะเป็นชุดกระโปรงค็อกเทลสั้น ชุดเกาะอกไปจนถึงชุดราตรียาว ของ “Milin” ที่มีความเรียบหรู และน่าค้นหา จนกลายเป็นงาน Signature สุด Hot ของแบรนด์ได้ไม่ยาก

     ทั้งนี้
ผลงานที่น่าสนใจของ “Milin” ยังมีเดย์แวร์ เช่น ชุดเสื้อสูทผ้าซาติน แจ็กเกตสูทเข้ารูป ที่นำมาจับคู่กับกางเกงขายาวทรงแคบ ซึ่งตัวดีไซเนอร์เองได้หยิบเอาความเป็นมัสคิวลีนมาใส่ไว้บนคัตติ้ง สุดคม บวกกับรายละเอียดการเย็บเก็บที่ประณีตอันเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์สำคัญของแบรนด์ที่น่าจะสร้างความน่าสนใจให้แก่ผู้สวมใส่ไม่น้อย…

     ขณะเดียวกัน เสื้อผ้าชิ้นเบสิกที่ไล่ตั้งแต่เสื้อเชิ้ตแขนยาว เสื้อแขนกุด ไปจน
ถึงเสื้อสายเดี่ยว และกระโปรงสั้นก็ยังคงความพิเศษที่เป็นเสน่ห์ของแบรนด์ “Milin” ด้วยการเล่นล้อกับรายละเอียดประดับประดาที่หรูหราและเส้นสายแบบกราฟิกที่ตั้งใจออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับแต่ละคอลเลกชัน

     ซึ่งมิลินการันตรีว่าสาว ๆ สามารถเลือกหยิบไปแมตช์ใส่กับชิ้นโปรดของคุณได้อย่างสนุกแน่นอน

     อยากให้แนะนำคนที่ยังหาตัวเองไม่เจอว่า อยากจะทำ อยากจะเป็นอะไร…?

     “มาขอคำปรึกษาที่มี่ก็ได้ค่ะ” เธอว่าจริงๆ มี่อยากจะบอกว่าการตามหาความฝันของตัวเองยิ่งรู้เร็วว่าตัวเองอยากเป็น-ทำอะไรมากเท่าไหร่ยิ่งดี แต่ก็รู้ช้าก็ดีกว่าไม่รู้เลยนะค่ะ โชคดีที่มี่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรได้เร็ว ทั้งครอบครัวยังสนับสนุนอีกด้วย
    
     “ดังนั้น ถ้าคุณคิดว่าตัวเราชอบทางด้านนี้ก็ลองวิ่งเข้าไปหาโอกาสเถอะค่ะ อย่านอนรอให้โอกาสวิ่งมาชนเราเลย”
  
     ที่สำคัญเมื่อมีโอกาสแล้วก็จงอย่าเกี่ยงงาน ให้คิดเสมอว่าเพื่อได้มาในสิ่งที่เรารักแล้วเราไม่มีอะไรจะเสีย เดินไปของานเขาทำ หรือถ้าไม่ได้ก็ฝึกงานเอาความรู้ เอาเพื่อน เอามิตรภาพไว้ก่อนก็ได้ ซึ่งสิ่งที่เราทำเราจะเห็นประโยชน์ของมันไม่วันใดก็วันหนึ่ง…แต่ที่มี่เชื่อก็คือว่าเมื่อคุณตั้งใจทำในสิ่งที่รักด้วยให้ใจไม่ว่าจะเป็นอย่างไรมันมีประโยชน์แน่นอน

      บางคนอาจจะมีพรสวรรค์อยู่แล้ว นั่นก็ถือว่าดี แต่หากไม่มีพรสวรรค์ที่ว่า มี่อยากให้คุณลองออกเดินทาง เพื่อค้นหาว่าตัวเองรัก-ชอบที่จำทำอะไร

    สำหรับอนาคตในวงการแฟชั่นนี้ มิลินบอกว่า อยากจะโกอินเตอร์แบบมีของขายเมืองนอก

     “ตอนนี้เราก็เริ่มออกงานแฟร์แล้ว เพิ่งไปออกมาที่เยอรมนี ซึ่งก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งพอเราไปเราก็ได้รู้ว่าคนอื่นคิดอย่างไร เราก็ไปทำข้อมูลว่า เขาไปถึงไหนกันแล้ว เขาชอบอะไรกัน ก็เหมือนเป็นการเรียน มี่เชื่อว่าชีวิตคือการเรียนรู้ในโลกกว้างๆอีกมากมาย” 

     "ถามว่าอีกสัก 5 ปี เราจะเห็น Milin ฝันไกลไปถึงไหน… ตอนนี้มีอายุ 26 มี่คิดว่าแบรนด์อาจจะใหญ่ขึ้น ขอนับก่อน ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะขยายนะ อาจจะแตกไลน์ ที่คิดไว้อีกอย่างหนึ่งนะอยากจะทำลายผ้าที่เกี่ยวกับการแต่งบ้าน ทำโซฟา ทำหมอน ทำผ้าปูที่นอน ถ้าสมมติแบรนด์ประสบความสำเร็จเราก็จะมีแรงมากขึ้น เพราะที่บ้านทำโรงเรียนอยู่แล้ว เราก็อาจจะไปช่วยทำเรื่อง ผ้าม่าน หมอน วอลเปเปอร์ อยากจะทำเรื่องนั้น ซึ่งก็เริ่มเป็นแพลนแล้วยังไงเราก็สู้ไม่ถอยอยู่แล้วค่ะ" มิลินยิ้มสดใสสรุป


                       *************************

หนังเกี่ยวกับแฟชั่นเรื่องโปรดของมิลิน

1. Marie-Antoinette ปี 2006
2. The devil wears prada ปี 2006
3.Coco avant Chanel ปี 2009


My Idol

     Philip lim
ดีไซเนอร์จากประเทศอเมริกา-มี่ชอบเสื้อผ้าสไตล์เรียบแต่มีรายละเอียดเสื้อผ้าของเขาเราสามารถใส่ได้เรื่อยๆ

     Mathew Williamson
ดีไซเนอร์จากประเทศอังกฤษ-คนนี้เราชอบสไตล์การแมตท์สีผ้าที่ออกแนวฉูดฉาด เปรี้ยวมากมาย






กำลังโหลดความคิดเห็น