xs
xsm
sm
md
lg

ชีวิตไม่ใช่เทพนิยาย…“อินทิรา กตัญญุตานนท์”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อินทิรา  กตัญญุตานนท์
“ทำอะไรทุกอย่าง เราจะทำเพราะเกิดจากความชอบ แล้วก็ศึกษารายละเอียดทั้งหมดด้วยตัวเอง แล้วลงมือทำ ” คงเพราะประโยคนี้ล่ะมั้ง ที่ทำให้ “อินทิรา กตัญญุตานนท์” คือ ผู้หญิงเก่งที่ทั้งด้านการทำงาน ความคิด และหน้าที่แม่บ้าน ได้อย่างครบถ้วนและสมบูรณ์

เมื่อ 4 ปีก่อน หลายคนจะรู้จักเธอในนามเธอเจ้าของ โรงแรม เดอะบ้านไทย เวลเนส รีทรีต บูติค โฮเตล ในย่านสุขุมวิท ซึ่งเป็นโรงแรมที่มีการบริการทางด้านสุขภาพ บนเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ ในราคาเกือบ ร้อยล้าน ซึ่งเป็นเนื้อที่ของ “หม่อมหลวงสุดาวดี เกรียงไกร” ซึ่งเป็นคุณอาของเธอเอง

ก่อนหน้านี้เธอยังคงทำงานประจำอยู่ที่ คลับ 21 อาจจะเป็นงานที่เธอชอบซึ่งเกี่ยวกับทางด้านแฟชั่น เธอยังเล่าอีกว่า คุณอาเธอเสนอให้ที่มาให้ทำโรงแรม จึงลาออกจากงานประจำแล้วออกมาทำธุรกิจของตัวเอง

“เราจะเป็นคนที่ทำอะไรแล้วได้ลงมือ จะทำเต็มที่นะ ตอนแรกที่ออกมา เราว่าจะทำเป็นแค่ธุรกิจเล็กแค่นั้น อยู่ไปก็เริ่มไปกันใหญ่ เลยตั้งใจกับมันเต็มที่ เอาเงินที่บ้านมาลง แต่ก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจของสามีเท่าไหร่ ต้องใช้เงินมาก เลยต้องขอยืมพ่อกับแม่มาลงทุนก่อน พอเขาเห็นว่าเราเริ่มทำได้ ก็เริ่มตัดหางปล่อยวัดเรา ให้ทำคนเดียว”

เมื่อเธอตั้งใจที่จะทำธุรกิจเกี่ยวกับโรงแรม หรือธุรกิจต่างๆ สิ่งที่เธอทำคือการศึกษาค้นคว้าจะหลากหลายสิ่งที่เกี่ยวกับธุรกิจ อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับการทำธุรกิจโรงแรม แล้วจากนั้นจึงต่อยอดและปรับนำมาใช้กับธุรกิจโรงแรมของเธอ

การทำงานธุรกิจโรงแรมของเธอจึงเป็นที่รู้จักในระดับหนึ่ง ด้วยวิธีการในการหาจุดยืนให้กับโรงแรมว่า ต้องเป็นโรงแรมในแนว luxury hotel และศึกษาแนวทางทุกวิธี เช่น การไปออกงานแฟร์กับธุรกิจเดียวกันที่ต่างประเทศบ้าง หรือ การให้บริการลูกค้าที่เข้ามาพักผ่อนอย่างเต็มที่ ซึ่งทำให้โรงแรมของเธอจะก้าวไปยืนอยู่บนตำแหน่งนั้นได้

“ถ้าเราได้ทำอะไรทุกอย่าง อย่างตั้งใจแล้ว จะเป็นคนที่ลงลึกกับทุกๆ เรื่อง จะศึกษาข้อมูลต่างๆ ทำงานที่เกิดจากความชอบของเราเอง เลือกว่าสิ่งไหนจะดีหรือไม่ดีกับธุรกิจ แล้วก็ลงมือทำอย่างแท้จริง และโชคดีที่งานประจำครั้งก่อนทำให้เรามีประสบการณ์ที่จะเรียนรู้ รู้จักกับคนมาในระดับหนึ่ง สามารถทำให้ธุรกิจไปยืนอยู่ตรงจุดหนึ่งที่ถือว่าสำเร็จได้”

ไม่ว่าจะงานประจำ ธุรกิจโรงแรม เพราะความขยันขันแข็งและนิสัยส่วนตัวรักงานอิสระรวมถึงงานออกแบบที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ยังรับหน้าที่เป็นทั้ง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โรงเรียนกวดวิชา บรรณาธิการรับเชิญ นิตยสารที่เกี่ยวข้องกับคุณแม่และลูกน้อย จากนั้นจึงก้าวเข้ามาสู่ธุรกิจเครื่องประดับ ที่มีชื่อว่า “Fairy Tale”

ความฝันที่ทำให้เธอเกิดแนวความคิดอยากจะทำ แบรนด์ “Fairy Tale” ขึ้นมา เธอเล่าว่า เป็นความชอบส่วนตัว ที่เธอชอบเล่านิทานให้ลูกๆ ฟังก่อนนอนทุกคืน ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเทพนิยาย จึงเกิดเป็นแรงบันดาลใจในการคิดที่จะออกแบบเครื่องประดับให้กลายเป็นธุรกิจเล็กๆ

“ส่วนตัวอินเป็นคนรักสวยรักงามอยู่แล้ว แล้วในนิทานก็มีเรื่องราวๆ ต่างๆ มากมาย ซึ่งจากจากนิทานในสมัยก่อนมาก ก็เลยลองคิดอะไรที่เราออกแบบได้ด้วยตัวเองไปเรื่อยๆ ”

การเริ่มต้นธุรกิจเครื่องประดับในครั้งนี้ เริ่มจากจุดที่เธอชอบส่วนตัว และทำออกมาในลักษณะรูปแบบที่ตามใจตัวเอง และออกมาเป็นแบบของตัวเอง จนในงานเลี้ยงหนึ่ง มีคนชื่นชอบเครื่องประดับที่เธอใส่ จนเริ่มแนวความคิดที่จะทำให้ธุรกิจนี้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาด้วยตัวของเธอเองดังเช่นธุรกิจตัวอื่นๆ

“ครั้งแรกที่ทำออกมาขายก็ขายให้แก่เพื่อนๆ วงแคบๆ ก่อน จากนั้นก็มีคนสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วเราไปเจอฝ่ายจัดซื้อของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งโดยบังเอิญ จึงนำไปเสนอแล้วก็ได้การตอบรับอย่างดี ราคาก็ไม่สูงมาก เพราะถ้าเราลงสูง ราคาก็จะสูงกว่านี้ แล้วจะขายไม่ได้ เราขายเน้นที่ปริมาณมากกว่า แต่ละคอลเลกชันก็ออกแบบมา ทำไม่เกิน 15 ชิ้น แล้วลงทุนสูงไป กำไรมันก็อาจจะไม่เหลือถึงเราก็ได้”

“อีกอย่างที่เราไม่ทำออกมามาก เพราะเราเคยเจอคนที่ใส่เสื้อเหมือนกันแล้วเป็นคนทนไม่ได้ที่เห็นใครมาใส่อะไรที่ซ้ำแบบเดียวกับเรา ก็เพราะอย่างนี้แหละ เลยทำให้อินคิดที่จะออกแบบเครื่องประดับ และออกมาเป็นนของพิเศษสำหรับเราคนเดียว อินเป็นคนออกแบบเครื่องประดับเอง ไม่ชอบวาดออกมา แต่เราจะขึ้นงานเลย เพราะเราอาศัยการดูหนังสือ ศึกษาสิ่งต่างๆ จากหนังสือ

อินคิดว่าเราจะทำอะไรก็ต้องศึกษา ไม่ใช่ว่าดูแล้วเราจะเอามาลอกเลียนแบบในสิ่งที่คนอื่นเขาทำ แต่การดูหนังสือเครื่องประดับมากๆ เพราะต้องเอามาปรับให้เป็นตัวของเราเอง Fairy Tale เป็นเครื่องประดับที่ดูแล้วมีความหลากหลาย และมีความสนุกอยู่ในตัวของมันเอง”

ไม่ใช่เพียงแค่การทำงานทางด้านธุรกิจเพียงเท่านั้น ในฐานะและบทบาทของการเป็นแม่ เธอยังคงทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี เสมอมา กับการดูแลลูกสาวทั้ง 2 คน ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

เธอคือคุณแม่ที่ต้องไปส่งลูกเข้าเรียนก่อน 6.50 น. หากสายเกินสามครั้ง ลูกจะถูกเรียกพบผู้ปกครอง และเธอยังบอกกับเราอีกว่า การเลี้ยงลูกให้มี “คุณภาพ” เป็นสิ่งที่ยากมาก

“เราส่งลูกไปเรียนโรงเรียนอินเตอร์ ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีก็คือ ในสังคมของโรงเรียนอินเตอร์ไม่มีการแบ่งว่าใครจะได้อภิสิทธิ์ก่อนใคร หรืออะไรทั้งสิ้น ทุกคนจะเท่าเทียมกัน แต่สิ่งที่ทำให้กลายเป็นข้อเสียของการเรียนโรงเรียนอินเตอร์ คือ ค่านิยม ที่เรามองว่ามันดูเวอร์เกินไป

พ่อแม่บางคนถึงกับจัดงานวันเกิดให้ลูกต้องปิดโรงแรม ปิดสวนสนุกครึ่งหนึ่ง บางคนปิดโรงภาพยนตร์เพื่อจัดงานโดยเฉพาะ เราเห็นว่ามันฟุ่มเฟือยเกินไป ก็บอกเขาว่า “อย่าฝันน้า” (หัวเราะ) ดึงเขากลับลงมา เพราะบางทีเขาก็จะงอแงอยากจัดบ้าง”

“เราเองจะไม่ตามใจลูกเป็นอันขาด แต่ทุกอย่างก็ไม่ใช่ว่าเราจะสอนเองทั้งหมด ต้องเอาเขาออกไปให้สังคมสอนบ้าง ไม่ใช่มาทำตัวเหมือนมีพี่เลี้ยงมาคอยตามอยู่ตลอด ให้เขาลองไปใช้ชีวิตกับสังคมบ้างบางครั้ง บอกเขาบ่อยๆ ว่าอย่ามางอแงกับแม่”

การสอนให้รู้จักค่าของเงิน คือสิ่งที่เธอสอนลูกเธอมาตลอด เธอบอกกับเราว่า ที่เธอเองต้องสอนแบบนี้ เพราะลูกไม่ได้เกิดมาที่จะต้องมาดิ้นรนอะไรเองเหมือนแม่ เธอจะบอกลูกๆ เสมอว่า ให้ลูกรู้จักค่าของเงิน และเงินก็ไม่ได้หล่นมาจากข้างบนให้ลูกตลอดเวลา

“ถ้าลูกอยากได้ของเล่น อินจะจำกัดว่าต้องอยู่ในงบที่เท่าไหร่ และต้องอธิบายให้เขาเข้าใจว่าถ้าแพงกว่านี้ คุณก็จะไม่ได้อีกนาน บางวันลูกอยากกินเบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟรายด์ หรืออะไรที่มันไม่มีประโยชน์ ก็ต้องอธิบายถึงโทษของมัน พอลูกเราเข้าใจ เขาก็สามารถเลือกได้ว่าควรกินอะไรที่มีประโยชน์มากกว่าสิ่งเหล่านี้ ซึ่งเราก็ต้องคอยสอนเขาไปเรื่อยๆ แล้วลูกจะซึมซับและมีเหตุผลเองเมื่อโตขึ้น”

วิธีในการเลี้ยงดูลูกของเธอด้วยความเชื่อในเรื่องของ “คุณภาพชีวิต” ที่เป็นเรื่องสำคัญซึ่งจะต้องคอยสั่งสอน อบรม และดูแลอย่างใกล้ชิด ให้ลูกมีคุณภาพชีวิตที่ดี เนื่องจากสภาพแวดล้อมทางสังคมที่ทำจะทำหน้าที่สอนลูกของเธอทางอ้อมแล้ว พ่อและแม่เองก็ถือว่าเป็นผู้ที่จะคอยดูแลลูกโดยตรง

“เวลาเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะสามารถให้แก่ลูกได้ค่ะ เคยเห็นไหมค่ะ บางคนแม่สวย แต่ลูกกลายเป็นทอมบอย นั่นเพราะคุณแม่มัวแต่ทำงาน ไม่มีเวลาดูแลลูก เอาลูกไปทิ้งไว้ที่โรงเรียนกวดวิชา และตัวเองก็ไปชอปปิ้งหรือไปทำสปาบ้าง จากนั้นก็ทิ้งไว้กับพี่เลี้ยง เอาเงินทิ้งไว้ให้ อยากซื้ออะไรพี่เลี้ยงก็พาไป เด็กสมัยนี้โตไวกว่าที่คิดไว้เยอะ เพราะวัตถุมีมากเกินไป เราจึงต้องดูแลเขาเป็นพิเศษ”

แค่นี้ก็ทำให้เราได้รู้จักมุมมองทั้งในแง่ของการทำธุรกิจ ที่ต้องทำทุกอย่างเกิดจากความชอบส่วนตัว ความรัก ความตั้งใจที่จะศึกษาในเรื่องราวต่างๆ ทุ่มเทให้กับงานอย่างเต็มที่ และไม่ละเลยหน้าที่ของตัวเองในบทบาทของการเป็นแม่ของลูก ... “อินทิรา กตัญญุตานนท์”...





กำลังโหลดความคิดเห็น