ใครต่อใครหลายคนคงคุ้นหน้าคุ้นตาสาวผู้มีบุคลิกมาดมั่น แลดูมีความมั่นใจ และมักจะพบเห็นเธอได้บ่อยๆ ตามงานอีเว้นต์ เปิดตัวสินค้ามากมาย ทั้งในฐานะพิธีกรในงาน แขกรับเชิญ ผู้เข้าร่วมกิจกรรม ผู้ร่วมจัดงาน งานทุกอย่างที่เธอได้ทำนั้นล้วนเกี่ยวข้องกับงานที่จะต้องออกมาพบปะผู้คนมากหน้าหลายตา จนกลายเป็นที่ยอมรับ และในช่วงเวลาหนึ่งมาจนถึงปัจจุบันเธออาจถูกพูดถึงในบรรดาเหล่าผู้จัดงานอีเวนต์ ว่า เธอคือ “เจ้าแม่งานอีเวนต์” และเธอที่เรากำลังกล่าวถึงก็ไม่ใช่ใครที่ไหน “นาขวัญ รายนานนท์” นั่นเอง
หญิงสาวที่มีรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร คำพูดของเธอช่างเจราจาชวนหลงใหลและน่าฟัง แฝงไปด้วยข้อคิดต่างๆ ในชีวิตอย่างมากมาย กว่าจะหล่อหลอมเป็นตัวเธอเองในปัจจุบันมาจากครอบครัวและสังคมรอบข้างที่ดีมาโดยตลอด
“ตอนเด็กๆ เราเป็นคนขี้อายมาก” ประโยคที่ทำให้เรายิ่งสงสัยในตัวเธอ หากมองแล้วก็ยิ่งขัดกับบุคลิก ณ ตอนนี้
“เพราะพ่อเราต้องไปทำงานต่างประเทศอยู่บ่อยๆ เราก็ต้องไปอยู่และเรียนที่ต่างประเทศมาตลอด แต่ก็บินกลับมาเที่ยวเมืองไทยบ้าง และต้องเปลี่ยนที่ไปตามที่ทำงานของคุณพ่อ ตอนเด็กเราก็จะเป็นคนงอแง คิดถึงเพื่อนๆ ไม่อยากย้ายที่เรียนบ่อยๆ อยู่ประเทศนี้ได้ 2 ปีก็ต้องย้าย ซึ่งเราจะรู้ล่วงหน้าแค่เดือนเดียวเอง มันทำให้เราต้องเจอสังคมใหม่ๆ ตลอดเวลา เลยเริ่มฉุกคิดให้เราต้องปรับตัวเข้ากับสังคมให้ได้ โดยการเริ่มทำกิจกรรมกับเพื่อนๆ มาตลอด”
“พอได้เข้าร่วมกิจกรรมมากขึ้นก็ทำให้เราเริ่มมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นะ เราก็ไปเรียนหลายอย่าง เรียนเต้น เรียนภาษา เริ่มทำกิจกรรม เพื่อนเราก็เป็นเด็กฝรั่ง เราเป็นเด็กตัวเล็กๆ คนเดียว เราก็ต้องสู้ให้มากกว่าคนอื่น เราต้องพยายาม อดทนให้มากกว่าคนอื่น ไม่ใช่ว่าจะให้เราตาม พ่อกับแม่ก็สอนเราทั้งแบบเอเชียและลูกครึ่ง เราก็เลยได้ความมั่นใจ นิสัยแบบเด็กฝรั่งมาด้วย” เธอ เล่าเหตุผลที่ทำให้เธอต้องกลายเป็นคนมีความมั่นใจ
นิสัยส่วนตัวแล้วอาจเพราะการได้อยู่ในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคมจึงทำให้เธอเองเป็นคนมองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ
“ก็คงเพราะเราเติบโตมาด้วยสภาพแวดล้อมที่จะต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมอยู่ตลอดเวลา เลยทำให้เรากลายเป็นคนง่ายๆ ไม่ได้มาสนใจว่าใครจะว่าเราเป็นมิตรกับทุกคนดีกว่า ชีวิตเราพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงมาตลอดเวลา ถ้าให้เปลี่ยนงาน แล้วเริ่มต้นใหม่หมดทุกอย่าง ก็พร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่นะ ค่อนข้างเป็นคนที่เปิดรับทุกอย่าง ”
“พ่อแม่จะเป็นคนเปิดกว้าง ท่านจะให้กรอบเราเดิน เพราะเราจะไปไหนไม่เคยขออนุญาตท่าน เพราะเราเป็นคนยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ บอกแค่ว่าไปเที่ยวที่นี่นะ ท่านจะคอยบอกว่ามีข้อดีข้อเสียอย่างไร ผิดพลาดมาจะได้ไม่โทษว่าผิดเพราะใคร เพราะเราคิดว่าการขออนุญาตคือการเปิดช่องทางให้ท่านปฏิเสธเรา เลยทำให้เป็นคนมีความคิดเป็นของตัวเองค่อนข้างสูงทีเดียว ”
สิ่งนี้เองคงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอ จากเด็กหญิงขี้อายกลายมาเป็นหญิงสาวที่มีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนวันหนึ่งเธอได้กลับมาทำงานที่เมืองไทยด้วยความบังเอิญ
“วันนั้นเป็นช่วงเรากลับมาเมืองไทยและกำลังจะบินกลับอังกฤษ มีผู้ใหญ่เรียกให้เราเข้าไปแคส เพื่อเป็นพิธีกรยูบีซี และเราก็ได้งานพิธีกร ก็เลยลานายฝรั่งบอกว่ามาเที่ยว จนป่านนี้ยังไม่ได้กลับอังกฤษอีกเลย (หัวเราะ) ทำงานตรงนี้มา 10 ปีแล้ว”
คงเพราะการใช้ชีวิตต่างประเทศตั้งแต่เด็ก จนซึมซับวัฒนธรรมต่างประเทศ ทำให้การกลับมาทำงานที่เมืองไทยอย่างกะทันหันเป็นเรื่องที่ต้องปรับตัวอย่างมาก ซึ่งเธอยอมรับว่าเกิดการ culture shock ขึ้นกับเธอ
“เราก็ปรับตัวเยอะมาก จะมาทำงานอะไรในเมืองไทย อยากมาทำงานด้านโฆษณา ก็จับพลัดจับผลูมาอยู่แบบนี้ ตอนนั้นพูดเร็วมาก พูดภาษาไทยไม่ได้เลย แล้วเราก็ต้องเขียนสคริปต์รายการเอง นั่งพิมพ์ไปร้องไห้ไป เราไม่เคยเรียนไทย อยู่เมืองไทยเราก็เรียนอินเตอร์ แต่อยู่ที่นู่นเราก็เคยเรียนโรงเรียนวัดไทยที่แคลิฟอร์เนีย ไม่กี่เดือน สอบเทียบเท่าภาษาไทยได้ ป.4 ตอนนั้นก็ต้องเขียนจดหมายกลับมาหาญาติที่เมืองไทย ท่านก็จะส่งกลับไปแล้วดูว่าคำไหนผิดบ้าง มันก็เริ่มซึมซับมา ยังไงเราก็กลับมาเมืองไทย ถ้าไม่ได้วันนั้นเราก็คงไม่พัฒนาภาษาไทยมาได้ขนาดนี้”
แม้งานพิธีกรที่ยูบีซีจะดูเหมือนเป็นงานหลักของเธอ แต่ความฝันตั้งแต่วัยเด็กของเธอเอง เคยคิดอยากจะเป็น นางงาม นักร้อง คุณครู เจ้าของธุรกิจ ฯลฯ
ในตอนนี้เธอรับหน้าที่เป็นทั้งเจ้าของรายการทีวี ทั้งเบื้องหน้า และเบื้องหลัง บริษัทพีอาร์ เขียนหนังสือและทำรายการแนวธรรมะ งานพิธีกรตามงานอีเว้นต์ต่างๆ ถึงจะทำงานต่างๆ มากมาย เธอเองก็ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองใฝ่ฝันแล้ว คือ การได้เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ
“เราเปิดโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษเอง ตอนนั้นต้องทำทุกอย่างเลย ตั้งแต่รับสมัครนักเรียน สอนเอง ดูแลผู้ปกครอง ไปจนถึงล้างห้องน้ำ ทำทุกอย่างคนเดียว ทั้งหมด และก็เริ่มรู้ว่าทำหลายๆ อย่างพร้อมกันมันเหนื่อย ก็เลยพักไปก่อน”
“เวลาทำงานเราไม่ชอบงานประจำเท่าไหร่ ไม่ชอบการมีเจ้านาย เพราะเป็นคนอยู่นิ่งไม่ได้ ไม่ใช่ว่าวันหนึ่งมาทำงานตอกบัตรแค่นั้น ไม่ชอบอะไรที่จำเจ อยากเจอผู้คน เจองานใหม่ๆ มันทำให้เราได้ไอเดียดีๆ ใหม่ๆ เกิดขึ้นกับเรา”
ด้วยบุคลิกสาวไฮเปอร์ ไม่ชอบงานที่หยุดนิ่งอยู่กับที่ ทำให้เธอต้องออกงานอีเวนต์บ่อยๆ จนถูกมองว่าเป็นสาวเวิร์กกิ้งวูแมนและเจ้าแม่อีเวนต์
“คนออกงานบ่อยๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นสาวมั่นนะ แต่งานพี่ตอนนี้ก็น้อยลงกว่าเมื่อก่อนแล้วนะ แต่ช่วงหนึ่งมันเคยเยอะนะพี่ว่า แต่ตอนนี้มันเริ่มน้อยลง เราไม่ใช่ไฮโซ เราเป็นพิธีกรตามงาน เชิญไปออกงานบ้าง เราก็เกรงใจเราก็ไปงานที่สนิทกัน ตอนนี้เราไปก็เลือกงานที่ต้องไปที่สนิทกันมาก ไม่ใช่ไปเพราะเงิน แต่เราไปเพราะอยากไป อย่างเขาให้ช่วยไปบรรยาย เราก็ไป งานเราก็เยอะ ไปหมดก็ไม่ไหว งานจริงๆ เราก็มีอยู่ ไม่อยากให้คนอื่นมองว่าเราไม่มีอะไรทำ ”
ในตอนนี้ตามงานอีเวนต์ต่างๆ มีเหล่าเซเลบฯ หน้าใหม่เกิดขึ้นเยอะแยะมากมาย ในฐานะเธอเป็นเจ้าแม่อีเวนต์ เราอยากรู้ว่าเธอมีความคิดอย่างไรกับเหล่าเซเลบฯ หน้าใหม่ๆ บ้าง
“เยอะจริงๆ นะ บางครั้งพี่ไปต่างประเทศเดือนหนึ่งกลับมาก็จะเจอเซเลบฯ หน้าใหม่ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ บางทีคนรุ่นเล็กเด็กๆไปเลย วัยรุ่นจะเกิดขึ้นเยอะมาก รุ่นเดียวกับพี่ก็จะออกงานน้อยลง หรือเพราะไลฟ์สไตล์เขาเปลี่ยนไปด้วย แล้วก็แต่งงานกันมีครอบครัวไปแล้วก็มีนะ ”
“มันเป็นโอกาสหนึ่งที่จะทำให้เราได้เข้าไปทำนะ ที่เราเข้าไปไม่ได้หวังว่าอยากจะเป็นไฮโซหรือเข้าไปเพราะเราเป็นไฮโซอยู่แล้ว แต่นั่นคือโอกาสที่มาถึง เพราะอยากสร้างอะไรได้ด้วยตัวเอง จากเมื่อก่อนไปงานคนอื่นจะเรียกเราว่า “นาขวัญลูกสาวท่านทูต” แต่มาตอนนี้คุณพ่อบอกว่าไปไหนก็มีคนบอกว่า “นี่ไงคุณพ่อนาขวัญ” ”
แต่สิ่งที่อยากจะบอกเอาไว้แก่เหล่าเซเลบฯ รุ่นใหม่ๆ ที่มาพร้อมกับข่าวต่างๆ นั้น เธอบอกว่า “ งานอีเว้นต์เดี๋ยวนี้ก็เหมือนวงการบันเทิง ที่เริ่มมีปาปาราซซีเข้ามา มีทั้งดาราและเซเลบฯ และเดี๋ยวนี้เขาจะเชิญเหล่าเซเลบฯ เข้ามาด้วยเพราะพร้อมทั้งเรื่องของหน้าตาและคุณสมบัติในการทำให้สินค้าต่างๆ มีความน่าเชื่อถือ และค่าตัวก็ไม่แพงเหมือนดาราทั่วไป และส่วนใหญ่นักข่าวมักจะเลือกไปงานที่มีเซเลบฯ มากกว่างานที่มีดารา เพราะเขาต้องการปั้นเซเลบฯ หน้าใหม่ ถ้าให้เหมือนยุคก่อนที่บอกว่ายุคของใครในตอนนี้ก็เป็นเรื่องยาก เพราะมีเซเลบฯ รุ่นใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา”