xs
xsm
sm
md
lg

สแกนกรรมทำไม?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


มองปุ๊บ รู้ปั๊บ...ว่าคู่สนทนาเคยทำกรรมใดไว้บ้าง ไม่ว่าทั้งในชาตินี้หรือชาติก่อนๆ แม้ย้อนไปไกลถึงหลายสิบหลายร้อยปีภาพที่เห็นก็ยังแจ่มชัด รู้กระทั่งว่าเจ้ากรรมนายเวรเป็นใคร ต้องชดใช้ด้วยอะไร ทำอย่างไรจึงจะคลายจากเคราะห์หามยามร้ายที่กำลังเผชิญอยู่ หรือใกล้จะมาเยือน

ด้วยกระแสความนิยมต่อ ‘คนส่องกรรม’ ที่ยังเรตติ้งดีไม่มีตก ‘ปริทรรศน์’ จึงร่วมรายงานปรากฏการณ์ดังกล่าว ที่อาจช่วยสะท้อนภาพบางแง่มุมของสังคมไทยได้บ้างไม่มากก็น้อย

สแกนกรรมฟีเวอร์

ย้อนกลับในสมัยก่อน หากพูดถึงเรื่องธรรมะ ทุกคนก็คงนึกถึงการเข้าวัดเข้าวา ทำบุญสะเดาะเคราะห์

แต่ไม่นานมานี้ คนไทยก็ได้รู้จักกับปรากฏการณ์ใหม่ ของวงการพุทธศาสนาที่เรียกว่า 'เปิดกรรม' โดยผู้เปิดประเด็นนี้เป็นคนแรก ก็คือ แม่ชีทศพร ชัยประคอง ที่โด่งดังจากการเป็นวิทยากรรายการ ‘มิติพิศวง’ โดยในช่วงที่แม่ชีเป็นวิทยากรนั้น หน้าที่หลักของแม่ชีก็คือการตรวจดูกรรมและแนะหนทางแก้กรรมให้แขกรับเชิญแต่ละคน ซึ่งคำทำนายของแม่ชีนั้น โดยเรื่องราวที่แม่ชีพรั่งพรูออกมานั้น ชัดเจนเสมือนจริง ราวกับว่าอยู่ในสถานที่นั้นด้วยตัวเอง สร้างความน่าสนใจ และอยากพิสูจน์ให้แก่ผู้ชมเป็นอย่างมาก หลายๆ คนถึงกับดั้นด้นเดินทางออกจากบ้านแต่เช้า เพื่อไปพบแม่ชีที่วัดพิชยญาติการามเป็นคนแรกๆ

นอกจากแม่ชีทศพรแล้ว อีกกรรมวิธีหนึ่งในการพิสูจน์กรรมก็คือ การ ‘ส่องกรรม’ ซึ่งผู้ที่เป็นเสาหลักของกระบวนการนี้ เห็นจะไม่มีใครเกินหน้า ตุ้ย เอ็กซเรย์ และ อาจารย์เอ๋-กฤษณา สุยะมงคล ไปได้ โดยบุคคลทั้ง 2 คนนี้ ได้ประกาศตนว่าตัวเองมีญาณหยั่งรู้ สามารถมองทะลุถึงอดีตชาติและอนาคตของคนอื่นๆ

โดยเฉพาะ ตุ้ย ซึ่งมีลักษณะเด่นตรงที่ชอบให้คำนายที่หวือหวา ชัดเจน และชอบตรวจดวงชะตาของดารา-นักแสดง และคนเด่นดังมากเป็นพิเศษ ซึ่งบุคคลที่ตุ้ยส่องกรรมแล้ว เรียกเสียงฮือฮาได้สุดๆ ก็คงจะหนีไม่พ้น ‘วู้ดดี้’ วุฒิธร มิลินทจินดา พิธีกรรายการเกิดมาคุย ซึ่งตุ้ย บอกว่าจะมีโอกาสไปนั่งจับเข่าคุยกับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ‘บารัค โอบามา’! เลยทีเดียว

ขณะที่ ‘อาจารย์เอ๋-กฤษณา’ นั้นจะมาในแนวที่แตกต่างกับตุ้ยอย่างชัดเจน โดยเธอจะเน้นการใช้สติปัญญาและเหตุผล มากกว่าจะฟันธงชะตากรรมให้รู้กันชัดๆ เพราะไม่ว่าเธอจะสแกนกรรมเห็นภาพใดในเบื้องหลังคนคนนั้น ถ้อยคำของเธอก็มักเน้นย้ำให้ใช้สติและปัญญาในการแก้ไขปัญหา แต่ไม่ว่าจะเน้นความหวือหวาเรียกเสียงฮือฮา หรือเน้นกุศโลบายจูงผู้คนเข้าหาพระธรรม ถึงอย่างไร การส่องกรรม-สแกนกรรมก็ยังเป็นที่นิยมของผู้คนจำนวนไม่น้อย

มองอีกมุม อาจเป็นได้ว่าสำหรับปุถุชนคนธรรมดา ในโมงยามที่ประสบกับภาวะวิกฤต ไร้ที่พึ่งทางใจให้ยึดเหนี่ยว เมื่อมีผู้เอ่ยอ้างว่าสามารถมองเห็นหนทางแก้กรรมที่สั่งสมมาโดยเจ้าตัวมิอาจล่วงรู้ได้นั้น ย่อมช่วยเยียวยาสภาพจิตใจที่เคว้งคว้างว่างเปล่า แม้หลักยึดดังว่าอาจเต็มไปด้วยความเคลือบแคลง กังขา ว่าการส่องกรรม ที่กำลัง ‘ฟีเวอร์’ อยู่ ณ ตอนนี้ เป็นหนทางแก้ปัญหาที่คล้ายจะปิดกั้นการใช้สติปัญญาหรือไม่

แต่ไม่ว่าอย่างไร การถูก ‘สแกนกรรม’ จากเหล่าอาจารย์ผู้ประกาศตนว่า หยั่งเห็นกรรมของผู้อื่น ทั้งแนะวิธีแก้กรรมให้รอดพ้นจากเคราะห์ภัย ก็กลายเป็นหนทางที่ผู้คนไม่น้อยยินยอมที่จะยึดเป็นที่มั่นทางใจ

สแกนแผง สแกนกรรม

อีกปรากฏการณ์ที่เกี่ยวโยงกับกระแสส่องกรรมอย่างแยกไม่ออกก็คือ หนังสือของบรรดาผู้มีญาณวิเศษทั้งหลาย โดยเฉพาะที่คนเคยออกรายการโทรทัศน์ ซึ่งออกมาอย่างเกลื่อนเมือง ชนิดที่เเรียกได้ว่า ทุก 1 กิโลเมตร ต้องมีสักร้านที่มีหนังสือประเภทนี้ขาย โดยร้านสะดวกซื้อที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง

หลายๆ เล่มก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า จนทำลายสถิติวงการหนังสือในประเทศไทย โดยเฉพาะหนังสือ ‘สแกนกรรม’ ของกฤษณา สุยะมงคล ที่สามารถกวาดยอดขายได้กว่าแสนเล่มภายใน 1 เดือน

ยงยุทธ คุนทา กฤษฎิธาดาพงศ์ บรรณาธิการสำนักพิมพ์ดีเอ็มจี ผู้เริ่มต้นกระแสหนังสือแนวสแกนกรรม เล่าว่า หนังสือประเภทนี้มีข้อดีตรงที่ทำให้คนได้รู้จักบาปบุญ รู้จักกรรมชัดเจนขึ้น เพราะเนื้อหาส่วนใหญ่ได้ถ่ายทอดถึงเรื่องราวประสบการณ์ตรงของตัวผู้เขียนเอง รวมทั้งเรื่องราวของบุคคลอื่นๆ ที่ได้รับการสแกนกรรม เป็นตัวอย่างที่ทำให้คนเห็นและเข้าใจในเรื่องกรรมง่ายขึ้น

“จริงๆ แล้วเราเห็นตัวอย่างจากพุทธวาจาของพระพุทธเจ้าก็เยอะ ที่ท่านทรงยกอดีตเป็นตัวอย่างให้กับคนปัจจุบัน ซึ่งสิ่งที่เรากำลังถ่ายทอดหรือนำเสนอมันทำให้ภาพของกรรมดีกรรมชั่วมันชัดเจนขึ้น ผมว่ามันเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้คนเราเข้าใจง่าย และเกิดความละอายต่อบาปมากยิ่งขึ้น ซึ่งหนังสือสแกนกรรมเป็นหนังสือที่คาบเกี่ยวกันกับพุทธศาสนา ทำให้คนเกรงกลัวต่อบาป หันกลับมาทำความดีกันมากขึ้น ผลของการทำความดีมันก็มีตั้งแต่ทำให้ตัวเราดีขึ้น ครอบครัวดีขึ้น สังคมและประเทศชาติเราก็ดีขึ้นตามไปด้วย”

“เล่มนี้ถือว่าเป็นหนังสือที่ปลุกกระแสในเรื่องบาปบุญคุณโทษ ด้วยความที่ยุคนี้เป็นยุคที่ศีลธรรมถดถอยลงไปเยอะ ทั้งตัวนักการเมืองพ่อค้าประชาชน เพราะมัวแต่มุ่งหาผลประโยชน์ให้ตัวเอง ซึ่งหนังสือเล่มนี้จะไปชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่คุณกำลังทำไม่ดีในวันนี้ คุณจะได้รับผลแน่นอนในอนาคตข้างหน้า”

ท่ามกลางหนังสือที่เกี่ยวข้องกับกรรมและการสแกนกรรมมากมายบนแผงหนังสือในตอนนี้ บรรณาธิการสำนักพิมพ์ดีเอ็มจีแนะนำว่า หากใครคิดจะมองหาหนังสือสแกนกรรมมาลองอ่านสักเล่ม ควรจะย้อนกลับไปถามตัวเองก่อนว่าอยากได้อะไรจากหนังสือแนวนี้?

“เช่น เราอยากจะได้เรื่องผลของกรรม อยากได้วิธีการแก้กรรม หรือเราอยากจะเรียนรู้ประสบการณ์ ของคนอื่นแล้วเอามาปรับปรุงตัวเอง ก่อนซื้อผมแนะนำว่าเปิดหนังสือดูหน้าสารบัญ อาจจะทดลองอ่านก่อนสักสองสามหน้าก็ได้ ถ้าอ่านแล้วมันได้ประโยชน์สำหรับตัวเราก็ถือว่าเป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่สมควรจะซื้อ”

ต่อเนื่องในประเด็นที่ว่า ผู้อ่านจะได้รับข้อคิดอะไรบ้างจากการอ่านหนังสือแนว ‘ส่องกรรม-แก้กรรม’ ระพี อุทกะพันธุ์ ผู้อำนวยการฝ่ายงานค้าปลีก บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) เป็นอีกคนในสายธุรกิจสำนักพิมพ์ ที่ให้ทัศนะไว้น่าสนใจไม่น้อย โดยยกตัวอย่างกรณีหนังสือสแกนกรรมที่ยึดอันดับต้นๆ ของชาร์ตหนังสือขายดีประจำร้านนายอินทร์ มานานหลายเดือน

“จริงๆ แล้ว ผมมองว่า อาจารย์เอ๋ผู้เขียนหนังสือสแกนกรรม เขาเป็นคนปฏิบัติธรรมจริงๆ เขาเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อจรัล วัดอัมพวันด้วย แล้วเมื่ออาจารย์เอ๋สแกนกรรมให้ใคร นอกจากจะบอกว่าคนๆ นั้นมีกรรมอย่างไร แบบไหน ทำกรรมอะไรกับใครไว้บ้างในอดีตชาติ แต่สุดท้ายก็จะบอกให้ไปปฏิบัติธรรมเสมอ เพราะเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ชีวิตของคนๆ นั้นดีขึ้น เมื่อปฏิบัติธรรมแล้ว ก็ให้อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรโดยตรง

“ไม่ใช่ว่าทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขาครั้งเดียว แล้วเขาจะหยุดจองเวรเราเลย แต่ต้องทำบ่อยๆ เช่นเดียวกับการปฏิบัติธรรม ผมมองว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่ทำให้จิตใจของเราต่ำลง อาจารย์เอ๋ เขาเคยให้สัมภาษณ์ไว้ในรายการหนึ่งว่า เหมือนเราไปตบหน้าคนคนหนึ่ง แล้วเราบอก ‘ขอโทษ’ คนคนนั้น เขาจะหายโกรธไหม? ครั้งแรกเขาอาจจะยังไม่หายโกรธ แต่ถ้าเราคอยขอโทษเขาอยู่บ่อยๆ ความโกรธของเขาก็อาจจะทุเลาลงได้”

กระแสสแกนกรรม จึงอาจเปรียบเหมือนอุทาหรณ์และกุศโลบายที่ช่วยให้ผู้คนตระหนักว่า แม้ชีวิตจะพบกับสิ่งเลวร้ายสักแค่ไหน ถ้าเราปฏิบัติธรรม ก็จะมีสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต เหมือนมีแรงดึงดูด เวลาเราคิดดี ทำดี สิ่งดีๆ ก็จะถูกดึงดูดเข้ามาในชีวิตเรา สุดท้ายก็... ‘ทำดีได้ดี’ ระพี อุทกะพันธุ์ ย้ำทิ้งท้าย

มองมุมวิทย์ฯ

“หากจะให้วิทยาศาสตร์ยอมรับ ผลที่ได้ก็ต้องออกมาชัดเจนและมีรูปแบบที่แน่นอน เช่น หากคุณโกงเงินคนอื่น คุณก็ต้องถูกโกงด้วย เป็นอย่างนี้เรื่อยๆ ไป แต่ที่ผ่านมา กรรมมักจะแสดงเป็นรูปแบบที่หลากหลาย และบางครั้งก็ไม่เกิดผลทันที เช่น หากคุณโกง แล้วเกิดคุณตายก่อน อย่างนี้ในวงการวิทยาศาสตร์ คุณจะมาบอกว่าที่ตายนั้นมีผลมาจากกรรมที่ไปโกงเอาไว้ไม่ได้ เพราะบางทีที่คุณตายอาจเป็นเพราะกรรมตัวอื่นก็ได้ คือเรื่องพวกนี้มันเป็นนามธรรมมากเกินไป พิสูจน์ยาก”

เป็นความเห็นจาก ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา นักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง ก่อนอธิบายเพิ่มเติมว่า หากจะกล่าวถึงเรื่องการสแกนกรรมนั้น ก็ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่อง ‘กรรม’ เสียก่อน ซึงสำหรับวงการวิทยาศาสตร์แล้ว กรรมไม่ใช่เรื่องเหลวไหล หรือเรื่องไม่จริง แต่ถือว่าเป็นเรื่องที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้

“อะไรที่ไม่สามารถวัดได้ แตะต้องไม่ได้ ทางวิทยาศาสตร์ก็มักปฏิเสธ ไม่ยอมรับ อย่างเรื่องกรรมหรือชาติที่แล้ว คือเขาไม่รู้ว่าจะหาเครื่องมืออะไรที่สามารถวัดมันได้”

ต่อเมื่อมองในมุมดังกล่าว ‘การสแกนกรรม’ ที่ไม่อาจพิสูจน์ให้เห็นได้ จึงไม่ได้รับการยอมรับในวงการวิทยาศาสตร์

“ไม่มีใครรู้ว่าเขาเห็นจริงไหม คือเขาอาจจะเห็นอดีตของคนโน้นคนนี้จริงๆ ก็ได้ แต่เราจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าเขาเห็นจริง ถ้าเขาสามารถทำให้คนอื่นเห็นได้ด้วย อย่างนี้นักวิทยาศาสตร์ถึงจะเริ่มสนใจ อยากเข้ามาพิสูจน์”

ดร.อาจองกล่าวต่อไปว่า ศาสตร์ที่ดูเหนือธรรมชาติเพียงศาสตร์เดียวที่วงการวิทยาศาสตร์ให้การยอมรับก็คือ ‘การสะกดจิต’ เพราะสามารถพิสูจน์ได้ว่าจริง เนื่องจากเราสามารถไปถามหรือพูดคุยกับคนเกี่ยวข้องกับตัวผู้ถูกสะกดจิตได้ว่าเรื่องที่พูดออกมานั้นถูกต้องหรือไม่ และที่ผ่านมาการสะกดจิตยังถูกนำไปใช้ในวงการแพทย์อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นความทรงจำหรือการรักษาโรคประสาท

อย่างไรก็ตาม การสะกดจิตมีข้อจำกัดอยู่เพียงแค่ช่วงชีวิตนี้เท่านั้น หากสะกดจิตเลยไปยังชาติที่แล้วหรือภพอื่น นักวิทยาศาสตร์ก็จะไม่ยอมรับว่าถูกต้องและถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้

แต่ทั้งนี้ก็เคยมีนักวิทยาศาสตร์หลายๆ คนพยายามจะพิสูจน์ในเรื่องนี้เช่นกัน อย่าง ‘ดร.เฮเลน วอร์คบาร์ค’ จากสหรัฐอเมริกา เคยทำการทดสอบสะกดจิตชายผู้หนึ่ง ซึ่งผลที่ได้ก็คือ ชายผู้นี้สามารถย้อนความทรงจำกลับไปในอดีตได้ถึง 2,000 ปี

“พอสะกดจิตแล้ว ดร.วอร์คบาร์คก็จะถามผู้รับการทดลองถึงเรื่องในชาติปัจจุบันก่อนว่าเป็นอย่างไร จากนั้นก็ค่อยๆ ย้อนกลับไปในอดีตชาติ เช่นเมื่อ 2,000 ปีก่อน คุณอยู่ในที่ไหน ซึ่งชายคนนั้นก็บอกว่า เขาอยู่ในประเทศจีน จากนั้นก็ถามถึงเรื่องเครื่องแต่งกาย ข้าวของเครื่องใช้ เครื่องประดับ สุดท้ายก็ให้ลองพูดภาษาจีนดู ปรากฏว่าชายคนนี้ก็พูดภาษาแปลกๆ ออกมาภาษาหนึ่ง พอทดลองเสร็จ ดร.วอร์คบาร์คก็เอาบันทึกนี้ส่งไปให้ผู้เชี่ยวชาญที่ประเทศจีนตรวจสอบ ปรากฏว่าข้อมูลล้วนถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ เครื่องแต่งกาย หรือภาษาที่เขาพูด ต่างก็เป็นของดั้งเดิมเมื่อ 2,000 กว่าปีของประเทศจีนโบราณทั้งสิ้น และที่สำคัญชายผู้นี้ก็ไม่เคยไปประเทศจีนมาก่อนด้วย”

แต่ถึงแม้จะมีการพิสูจน์จนได้ผลออกมาเป็นที่น่าพอใจ ดร.อาจองก็ยืนยันทิ้งท้ายว่ามีเพียงนักวิทยาศาสตร์จำนวนเล็กน้อยที่เชื่อว่าชาติที่แล้วมีจริง โดยส่วนใหญ่ต่างก็ยืนยันคำพูดเดิมว่า ‘เรื่องนี้พิสูจน์ไม่ได้’ และถึงพิสูจน์ได้ ผลก็ออกมาไม่คงถูกต้อง 100 เปอร์เซ็นต์แน่นอน

....

ความจริงประการหนึ่งที่ยากจะค้าน คงไม่พ้น... ‘เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนั้นจึงเกิด’...

ทุกสิ่งล้วนเกี่ยวโยงสัมพันธ์ภายใต้ห่วงโซ่ที่คล้องเกี่ยวกันไม่สิ้นสุด

เช่นนั้นแล้ว จะมีใครหรือผู้ใด สามารถหลุดรอดจากห่วงโซ่แห่งชะตากรรมไปได้?

จริงอยู่ การรอคอยผู้อื่นหยิบยื่นเครื่องมือ หรือหวังให้ใครมาชี้บอกหนทางว่ากงล้อแห่งกรรมจะไม่หมุนมาบดทับอาจช่วยเยียวยาจิตใจที่มอดหวังได้ในชั่วขณะหนึ่ง

แต่นั่น ย่อมไม่ใช่หนทางถาวรที่จะนำไปสู่การเผชิญหน้ากับทุกบททดสอบแห่งชะตากรรมที่กำลังรอคอยอยู่เบื้องหน้าอีกนับไม่ถ้วน

ตราบเมื่อแยกแยะได้ มองทะลุเปลือกของกุศโลบายหรืออิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์ใดๆ ให้พบแก่นอันแท้จริง เมื่อนั้น สิ่งรกรุงรังที่ฉาบไว้ย่อมไม่จำเป็น

เพียงปัญญาอันแหลมคมและสติที่ตั้งมั่น ก็น่าจะเพียงพอต่อการรับมือกับทุกวิกฤติที่ถาโถมเข้ามา

**********

เปิดดวงตาแห่งปัญญา... ไม่ต้องรอ ‘ตาทิพย์’

สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะมีกรรมใดๆ รออยู่ก็ตาม อย่าลืมลับสติปัญญาให้แหลมคม เพื่อรับมืออย่างผู้ที่มีดวงตาเปิดกว้าง เปี่ยมด้วยจิตใจที่หนักแน่น และด้วยความเชื่อมั่นว่า การตั้งสติให้มั่นคง เป็นหนทางอันดับแรกที่ไม่ควรละทิ้งยามเผชิญหน้ากับปัญหาหรืออุปสรรคอื่นใดในชีวิต ‘ปริทรรศน์’ จึงขอส่งท้ายรายงานปรากฏการณ์ ‘คนส่องกรรม’ ด้วยทัศนะจาก พระไพศาล วิสาโล ที่ช่วยให้ฉุกคิด ถึงการใช้สติและปัญญาแก้ปัญหา ทั้งพิจารณาเรื่อง ‘สแกนกรรม’ อย่างมีวิจารณญาณ

ดังถ้อยความนับจากนี้....

ในทางพุทธศาสนา มีคำหนึ่งคือ ‘อภิญญา’ ได้แก่ความสามารถพิเศษ ซี่งหนึ่งในนั้นคือ ‘ปุพเพนิวาสานุสติญาณ’ คือญาณที่ทำให้ระลึกชาติได้ หมายถึงระลึกอดีตชาติของตนได้ ซึ่งก็ย่อมรวมไปถึงการเห็นกรรมในอดีตชาติของตนได้ คนที่จะมีญาณดังกล่าวมีน้อยมาก ยิ่งคนที่สามารถเห็นอดีตชาติและกรรมแต่ปางก่อนของผู้อื่นด้วยแล้ว กลับยิ่งมีน้อยกว่า หนึ่งในนั้นก็คือพระพุทธองค์ แม้แต่พระอรหันต์ที่เรียกว่าเอตทัคคะ ดูเหมือนว่ามีไม่กี่องค์เท่านั้นที่ทำได้เช่นนั้น ดังนั้น จึงยากมากที่ปุถุชนจะสามารถเห็นอดีตชาติและกรรมแต่ปางก่อนของคนอื่นได้

นอกจากการเห็นกรรมแต่ปางก่อนของผู้อื่นจะเป็นเรื่องยากเหนือวิสัยปุถุชนแล้ว การที่จะสามารถแยกแยะล่วงรู้ว่าอันใดเป็นผลของกรรมใดก็เป็นเรื่องยากไม่แพ้กัน ความสามารถดังกล่าวเรียกว่า ‘กรรมวิปากญาณ’ หรือปัญญาที่หยั่งรู้ผลของกรรม พระพุทธองค์ตรัสว่า กรรมวิบากหรือกระบวนการให้ผลของกรรมนั้น เป็นเรื่องละเอียดซับซ้อนยิ่ง พ้นวิสัยแห่งความคิด จัดว่าเป็น ‘อจินไตย’ คือสิ่งที่ไม่พึงคิดอย่างหนึ่ง แน่ล่ะบางคนอาจบอกว่าเขาไม่ได้ ‘คิด’ เอา แต่ ‘เห็น’ เอง แต่ก็ยังน่าสงสัยว่าที่ว่า ‘เห็น’นั้น เป็นกรรมวิปากญาณจริงๆ หรือว่าปรุงแต่งเอาเอง เช่นเดียวกับนิมิตมากมายที่เกิดขึ้นเวลานั่งสมาธิ สำหรับปุถุชนแล้ว อย่างหลังมีโอกาสเป็นไปได้มากกว่า

เรื่องแก้กรรมก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจ กรรมนั้นหากทำไปแล้วแก้ไม่ได้ (แต่ ‘แก้ตัว’ หรือทำใหม่ไม่ให้พลาดนั้นทำได้) เพราะเป็นอดีตที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่สามารถทำให้ ‘วิบาก’หรือผลแห่งกรรมนั้นบรรเทาเบาบางลงได้ เปรียบเหมือนกับน้ำสกปรกในแก้ว เราสามารถทำให้เจือจางได้ด้วยการเติมน้ำลงไปมากๆ ในแก้วนั้น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้สิ่งสกปรกลดลงเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่น้ำดูสกปรกน้อยลง แก้วนั้นเปรียบเหมือนใจ กรรมไม่ดีย่อมทำให้ใจเศร้าหมอง แต่ความเศร้าหมองจะลดลงเมื่อทำความดีเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีวิบากของกรรมที่อาจส่งผลกลับมาที่ตัวเรา เช่น ทำให้เจ็บป่วย วิบากส่วนนี้ก็เป็นไปได้ว่าสามารถบรรเทาได้ด้วยการทำความดี แต่จะให้ตัดหรือกำจัดไปเลยนั้น ทำไม่ได้

ดังนั้น การแก้กรรมหรือตัดกรรมจึงทำไม่ได้ (ตามหลักพุทธศาสนา) แต่ก็สามารถบรรเทาผลแห่งกรรมนั้นด้วยการทำความดีซึ่งอาจทำให้ผ่อนหนักเป็นเบา หรือหน่วงเวลาให้เกิดช้าลง หรือบรรเทาด้วยการพัฒนาใจให้เกิดปัญญา จนไม่เป็นทุกข์กับผลกรรมเหล่านั้น (เช่น ป่วยก็ไม่เป็นทุกข์) หรือใช้มันให้เป็นประโยชน์ (เข้าใจกฎอนิจจังเมื่อตัวเองล้มป่วย)

การที่เรื่องสแกนกรรม แก้กรรม ตัดกรรม ได้รับความสนใจมากจนกลายเป็นที่นิยม ส่วนหนึ่งเกิดจากความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับหลักกรรมในพุทธศาสนา (รวมถึงความเข้าใจว่าสุขทุกข์ทุกวันนี้เป็นเพราะกรรมเก่าแต่ปางก่อน นี้เป็นทัศนะที่ถือว่านอกพุทธศาสนา หรือความเข้าใจว่าอะไรทั้งหมดที่เกิดกับเราเป็นเพราะกรรม ทั้งแต่ปางก่อนและในชาตินี้ นี้ก็ไม่ถูกต้อง เพราะมีเหตุปัจจัยหลายอย่างที่ไม่เกี่ยวกับการกระทำของเรา เช่น เหงื่อออกเพราะอากาศร้อนหรือเจอรถติดแน่นขนัด) อีกส่วนหนึ่งเกิดจากทัศนคติที่หวังลาภลอยคอยโชคและนิยมทางลัด คนชอบใช้ทางลัดกันมาก คืออยากบรรลุผลสำเร็จโดยไม่ต้องเหนื่อย ได้คะแนนดีโดยไม่ต้องเรียน (เลยกล้าขอเกรดอาจารย์หรือโกงข้อสอบหรือถึงกับขายตัวแลกเกรด) รวยโดยไม่ต้องทำงาน (จึงหมกมุ่นกับการพนัน เล่นหวย บนบานศาลกล่าว ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงคอรัปชั่น) จตุคามรามเทพที่เคยดังสุดๆ ก็เพราะสนองกิเลสข้อนี้ เข้าใจว่าสแกนกรรมดังก็เพราะสนองกิเลสส่วนนี้ด้วยเช่นกัน คือแทนที่จะแก้ทุกข์ด้วยการขยันทำความดี ลด ละ เลิกอบายมุข หรือปฏิบัติธรรม ก็หันเข้าหาพิธีกรรมซึ่งล้วนแต่ใช้เงินทั้งนั้น แต่ที่ดีคือไม่ต้องเหนื่อยและไม่ต้องรบกับกิเลส

อย่างไรก็ตามกิจกรรมบางอย่างก็ถือว่าดี เช่น สวดมนต์หรือปล่อยนกปล่อยปลา ดีกว่าไปเที่ยว ที่จริงการเข้าหาพิธีกรรมก็ไม่ใช่สิ่งเสียหาย หากว่าทำแล้วหายเศร้าหมอง เกิดกำลังใจที่จะทำความดี พร้อมจะสู้กับอุปสรรคในชีวิตต่อไป แต่หากทำแล้วงอมืองอเท้า คิดว่าแก้ปัญหาได้แล้ว นั่นเรียกว่าประมาท และขัดกับหลักการพึ่งตนเอง ซึ่งเป็นจุดเน้นข้อหนึ่งของพุทธศาสนา

**************

เรื่อง-ทีมข่าวปริทรรศน์
แม่ชีทศพร ชัยประคอง
ตุ้ย เอ๊กซเรย์กรรม
กฤษณา สุยะมงคล
[ข้อมูลที่ถูกลบ]
[ข้อมูลที่ถูกลบ]
[ข้อมูลที่ถูกลบ]
[ข้อมูลที่ถูกลบ]
[ข้อมูลที่ถูกลบ]
กำลังโหลดความคิดเห็น