ภาพหน้าฉากอันอลังการของการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่ประเทศไทยกำลังเป็นเจ้าภาพในขณะนี้ จะมีกี่คนที่รู้ว่ากว่าจะเป็นงานอย่างที่เห็น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องตระเตรียมงานกันมาไม่น้อยกว่า 1 ปี
ยิ่งเมื่อคิดว่างานนี้ถือเป็นหน้าเป็นตาของคนไทยทั้งประเทศด้วยแล้ว แม้แต่รายละเอียดที่สุดก็ต้องเก็บทุกเม็ด ไม่ว่าจะเป็นเวลาลงจอดเครื่องบินของผู้นำแต่ละประเทศ ไล่เรียงไปจนถึงเครื่องดื่มที่จะเสิร์ฟในงานกาล่าร์ดินเนอร์
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่งานอีเวนต์ขายของ ความยากของการจัดประชุมสุดยอดผู้นำระดับภูมิภาคจึงอยู่ที่การแปรรายละเอียดของงานให้เป็นพิธีการทางการทูต
‘ปริทรรศน์’ ขอนำผู้อ่านเข้าสู่โลกทางการทูต เจาะเบื้องหลังงานอาเซียนซัมมิต ณ ริมหาดหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ผ่านคำบอกเล่าของ "สมศักดิ์ สุริยวงศ์" อธิบดีกรมพิธีการทูต
ที่พักระดับ 5 ดาว
“เครื่องบินโบอิ้ง 1320 ของผู้นำแต่ละประเทศจะมาลงที่สนามบินบ่อฝ้ายห่างกันครึ่งชั่วโมง เนื่องจากสนามบินที่นี่ไม่ใหญ่มาก เราจึงต้องเว้นระยะกัน ต้องจัดสรรเวลา เรียงตามลำดับให้ผู้นำแต่ละประเทศได้รับความสะดวกที่สุด ส่วนคณะผู้ติดตามจะไปลงเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิ”
ด้านที่พักที่จัดไว้รับรองผู้นำประเทศล้วนแต่เป็นโรงแรมระดับห้าดาวในหัวหินทั้งหมด 8 แห่ง ได้แก่
1.ดุสิตธานี หัวหิน
2.ฮิลตัน หัวหิน รีสอร์ตแอนด์สปา
3.ฮอลิเดย์ อินน์ รีสอร์ต รีเจนท์
4.ไฮแอท รีเจนท์ หัวหิน
5.แมริออต คอนยาร์ด
6.สปริงฟิลด์@ซี รีสอร์ตแอนด์สปา
7.เชอราตัน หัวหิน รีสอร์ต
8.โซฟิเทล เซ็นทารา แกรนต์ รีสอร์ต
โดยชั้นสูงสุดและดีที่สุดของโรงแรมดุสิตธานี หัวหิน จะเป็นที่พักรับรองของสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไน
“เรื่องยานพาหนะ ภาคเอกชนให้เรายืมรถมากถึง 215 คัน มีทั้งโฟล์คระดับไฮคลาสสำหรับรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ รวมทั้งแคมรี ฟอร์จูนเนอร์ และที่พิเศษสุดคือเล็กซัส 460 ที่จะเปิดตัวที่นี่เป็นที่แรก ซึ่งจำนวนรถ 215 คันนี้ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้นับ 10 ล้านบาท”
เข้าเฝ้าในหลวง
ช่วงเย็นของวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ผู้นำแต่ละประเทศจะเดินทางเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ณ พระราชวังไกลกังวล ซึ่งตามกำหนดเวลาคือ 17.00 นาฬิกา แต่ก่อนหน้านั้นคือ 16.30 นาฬิกา นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะเข้าเฝ้าก่อน
หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีและผู้ร่วมคณะของไทย จะไปรออยู่บริเวณชายทะเลของพระราชไกลกังวล เมื่อถึงเวลา 17.00 นาฬิกา ผู้นำของแต่ละประเทศจึงจะทยอยเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท โดยเริ่มต้นจากสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนไล่เรียงจนครบ ผู้นำประเทศที่เข้าเฝ้าฯ เสร็จจะมารอในบริเวณจัดรับรองชายทะเล ซึ่งนายกรัฐมนตรีของไทยจะรออยู่ก่อนแล้ว
จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี จะตามลงมาปฏิสันถารประมาณครึ่งชั่วโมงและถ่ายรูปร่วมกัน
เมื่อเสร็จสิ้นการเข้าเฝ้าฯ ผู้นำแต่ละประเทศจึงจะเดินทางมาร่วมงานเลี้ยงรับรองหรือกาล่าร์ดินเนอร์ที่พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน
กาล่าร์ดินเนอร์
ในส่วนของงานกาล่าร์ดินเนอร์ในคืนวันที่ 28 กุมภาพันธ์ จะจัดขึ้นที่พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ซึ่งตั้งอยู่ในเขตจังหวัดเพชรบุรี ทำไมต้องจัดที่นี่ อธิบดีสมศักดิ์บอกกับเราว่า
“เหตุผลที่มาจัดที่นี่เพราะว่าสถานที่อื่นๆ เป็นโรงแรมทั้งหมด ซึ่งไม่ได้แสดงให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ ความสวยงาม หรือภูมิปัญญาของไทย แต่ที่นี่ เมื่อก้าวเข้าสู่พระราชวัง ทุกคนจะสัมผัสได้ตรงกันว่าที่นี่มีประวัติศาสตร์ ความสวยงาม อีกทั้งยังสะดวกในด้านการรักษาความปลอดภัย สำคัญที่สุดก็คือเมื่อเข้ามาที่นี่ จะรู้สึกเหมือนอยู่ในสวรรค์จริงๆ เพราะว่าทางพระราชวังดูแลบูรณะอยู่เสมอ มีการตกแต่งสวนดอกไม้ไว้อย่างสวยงาม”
บริเวณที่จะใช้เลี้ยงรับรองคือส่วนท้องพระโรงหรือ "พระที่นั่งสโมสรเสวกามาตย์" ด้านที่ติดทะเล ซึ่งจะมีการจัดนิทรรศการว่าด้วยเรื่องราวความสัมพันธ์ของราชวงศ์ไทยและผู้นำในอาเซียน
ด้านเสื้อผ้าสำหรับงานกาล่าร์ดินเนอร์ สมศักดิ์เปิดเผยว่าจะเป็นเสื้อผ้าแบบลำลอง สบายๆ เพื่อให้สอดคล้องกับบรรยากาศริมทะเล เครื่องแต่งกายฝ่ายหญิงจะมีผ้าลินินคลุมไหล่ ส่วนฝ่ายชายจะเป็นเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้าย
เมื่อถึงงานเลี้ยงรับรอง อาหารการกินถือเป็นสิ่งสำคัญ เป็นหน้าเป็นตาของประเทศ ซึ่งอาหารที่จะเสิร์ฟในงานนี้จะเป็นอาหารไทยทั้งหมด แต่เสิร์ฟแบบตะวันตก สั่งตรงจากห้องอาหารของโรงแรมโอเรียนเต็ล
“เรามั่นใจว่าผู้นำทุกประเทศจะได้รับการดูแลอย่างดี และสิ่งที่เราใส่ใจ ระมัดระวังเป็นพิเศษคือเรื่องเกี่ยวกับอาหารของผู้นำมุสลิม”
และนี่คือรายการอาหาร ตั้งแต่ออร์เดิฟเรียกน้ำย่อยจนถึงของหวาน
เริ่มจาก กระทงทอง ตามด้วยทอดมันกุ้ง และข้าวตังหน้าตั้ง จากนั้นเป็นต้มข่าไก่เสิร์ฟในลูกมะพร้าว
อาหารหลักเป็นปีกไก่สอดไส้ทอด, แกงเขียวหวานเนื้อพริกขี้หนูสด, ห่อหมกทะเลในหอยเชลล์, ปลาสำลีแดดเดียวยำมะม่วง, น้ำพริกอ่องไก่กับผักสด ผัดผักสี่สหาย และข้าวสามสี ตบท้ายด้วยข้าวเหนี่ยวมะม่วงและขนมไทย
เครื่องดื่ม อธิบดีสมศักดิ์บอกว่า
“เครื่องดื่มที่เราเสิร์ฟคือเหล้าองุ่นหรือไวน์ไทย ซึ่งย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน เราเคยเป็นเจ้าภาพอาเซียนซัมมิตจัดต่อจากอาเซม ตอนนั้นไวน์แดงของเรายังใช้ไม่ได้ ส่วนไวน์ขาวแค่พอใช้ได้ แต่ก็ยังไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งต่างจากตอนนี้ที่ไวน์ของเราเริ่มออกแขกได้แล้ว มีอยู่ 3-4 ยี่ห้อที่เราคัดสรรเพื่อให้เข้ากับอาหารแต่ละเมนู ซึงถึงแม้มาตรฐานของไวน์ไทยจะยังเทียบกับไวน์ฝรั่งเศสไม่ได้ แต่เราก็อยากสนับสนุนและส่งเสริมผลิตภัณฑ์อาหารไทย”
นอกจากงานกาล่าร์ดินเนอร์แล้ว นายกฯ และภริยาจะเป็นเจ้าภาพอาหารอีกคนละมื้อ ซึ่งก็จะต้องมีการปรับเปลี่ยนเมนูให้มีความหลากหลาย แทนที่จะเป็นอาหารไทยเพียงอย่างเดียว
ของที่ระลึก
ระดับผู้นำ-สุภาพบุรุษ คือเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายผสมลินิน, ชุดกาแฟพร้อมผลิตภัณฑ์ดอยตุงในกล่องผ้าไหม และกระเป๋า Traveling Case
สุภาพสตรีจะเป็นผ้าฝ้ายคลุมไหล่ทอมือจากโครงการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ดอยตุง, กระเป๋าสะพายผ้าฝ้ายทอมือจากดอยตุงเช่นกัน และผ้ารองจาน
ระดับรัฐมนตรี-ชุดน้ำชา-กาแฟ ศิลาดล ส่วนคู่สมรสคือผ้าคลุมไหล่เป็นผ้าฝ้ายทอมือ
ระดับปลัด (Som-Senior Official)-เป็นชุดเบญจรงค์
ระดับอธิบดี (DG-Director General)-เป็นหมอนขวาน
นอกจากนี้ ยังมีของที่ระลึกที่ทางจังหวัดประจวบคีรีขันธ์จัดไว้ด้วยคือชมพู่เพชรบุรี ซึ่งจะจัดไว้ให้ในแต่ละห้องพักรับรองของผู้นำประเทศและคณะผู้ติดตาม
“เรื่องเกี่ยวกับน้ำใจของคนไทย ไม่ต้องห่วง สิ่งที่ห่วงคือทำอย่างไรจะไม่ให้มากเกินไป ทางจังหวัดประจวบฯ นายกเทศมนตรีก็ขอความร่วมมือจากแต่ละภาคส่วนในจังหวัดด้วย เช่น มีการฝึกพูดภาษาอังกฤษให้กับโชเฟอร์รถสามล้อ เผื่อว่าผู้นำประเทศและภริยาจะอยากเดินเที่ยวตลาดหัวหิน”
การรักษาความปลอดภัย
เป็นเรื่องที่คงไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้มากนัก แต่รับรองได้ว่าระบบการรักษาความปลอดภัยต้องอยู่ในระดับสูงสุดและไว้เนื้อเชื้อใจได้แน่นอน โดยระบบรักษาความปลอดภัยรอบนอกจะเป็นหน้าที่ของทหาร ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการระดมกำลังจากทั้งส่วนกลางและในพื้นที่ ซึ่งเคยผ่านการอบรมและมีความเชี่ยวชาญในการดูแลรักษาความปลอดภัยเป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม การรักษาความปลอดภัยที่เข้มข้นจะต้องกลมกลืนกับความสวยงามของขบวนคณะผู้นำอย่างเหมาะเจาะ
ประเด็นการรักษาพยาบาลในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน จะมีเฮลิคอปเตอร์ของทางโรงพยาบาลกรุงเทพจอดเตรียมพร้อมไว้ 2 ลำที่สนามของโรงแรมดุสิตธานี
นอกจากนี้ ยังมีของตำรวจ 2 ลำ และของกองทัพอากาศอีก 4 ลำ โดย 2 ลำอยู่ที่หัวหิน อีก 2 ลำประจำอยู่ในกรุงเทพฯ และยังมีรถพยาบาลติดตามรถของรัฐมนตรีของทุกประเทศรองรับอีกชั้นหนึ่ง
“ในกรณีที่มีม็อบ รัฐบาลมีท่าทีชัดเจนว่าสามารถทำได้ภายใต้ความเหมาะสม ซึ่งเราเองก็เตรียมพร้อมในเรื่องนี้ แต่ในกรณีที่ใช้ความรุนแรงและไม่เหมาะสม ตำรวจและทหารเขาก็เตรียมมาตรการรักษาความปลอดภัยไว้แล้ว แต่จะไม่มีการใช้ความรุนแรง
“นอกจากนี้ เรายังมีผู้ประสานงานที่จะคอยอยู่เคียงข้างนายกรัฐมนตรีและภริยา เพราะฉะนั้นเมื่อมีเหตุการณ์ใดเปลี่ยนอย่างกะทันหัน ผู้ประสานงานเหล่านี้จะติดต่อสื่อสารกันอย่างเร่งด่วนและดำเนินงานได้ทันที”
...............
คงเห็นในระดับหนึ่งแล้วว่าการแปรรายละเอียดต่างๆ ให้เป็นพิธีการทางการทูตมีความยุ่งยากซับซ้อนเพียงใด ซึ่งไม่มีใครกังขาความเป็นมืออาชีพอย่างกระทรวงการต่างประเทศ
ที่เหลือคือหน้าที่ของคนไทยทั้งประเทศที่จะเป็นเจ้าบ้านที่ดีสำหรับงานใหญ่ครั้งนี้...และครั้งต่อๆ ไป
************
เรื่อง-ทีมข่าวสังคมและทีมข่าวปริทรรศน์
ภาพ-สันติ แต๊ะเปีย, ธัชกร กิจไชยภณ
****ล้อมกรอบ****
The ASEAN Way อีกหนึ่งความภูมิใจของคนไทย
การจัดประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งนี้ นอกจากประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพแล้ว ความภาคภูมิใจอีกประการหนึ่งที่จะลืมไม่ได้คือบทเพลง The ASEAN Way ที่จะถูกนำมาบรรเลงในพิธีเปิดการประชุม
The ASEAN Way เป็นบทเพลงที่ไทยส่งเข้าประกวดและได้รับการคัดเลือกจาก 99 บทเพลง จาก 10 ประเทศ ซึ่งนอกจากจะมีคณะกรรมการจาก 10 ประเทศในภูมิภาคอาเซียนแล้ว ยังมีคณะกรรมการจากประเทศจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีเหนือร่วมด้วย โดยมี ฯพณฯ องคมนตรี ม.ล.อัศนี ปราโมช เป็นประธาน
ผู้ประพันธ์เพลง The ASEAN Way ประกอบด้วย กิตติคุณ สดประเสริฐ รับหน้าที่ประพันธ์ทำนองและเรียบเรียงเสียงประสาน, สำเภา ไตรอุดม ประพันธ์ทำนอง และ พะยอม วลัยพัชรา เป็นผู้ประพันธ์คำร้อง โดย The ASEAN Way เป็นบทเพลงแนวคลาสสิก จังหวะกึ่งสโลว์มาร์ช มีท่วงทำนองเร้าใจ เปี่ยมด้วยความหวัง ทั้งยังมีเนื้อร้องภาษาอังกฤษที่สะท้อนถึงความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรีของความเป็นอาเซียนที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียว พร้อมที่จะก้าวไปสู่อนาคตที่สันติสุขและสร้างความเจริญก้าวหน้าร่วมกัน
..............