xs
xsm
sm
md
lg

มอเตอร์สปอร์ต ฉบับ“ชยุส ยังพิชิต”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เด็กหนุ่มที่ชื่นชอบรถยนต์เป็นชีวิตจิตใจ พร้อมด้วยกลุ่มก๋วนที่นิยมความแรงแต่งซิ่ง กับถนนเบื้องหน้าดูจะสั้นกว่าความห้าวโลดโผน...จากวันนั้นถึงวันนี้ แม้ความหลงใหลในจักรกลพันธุ์แรงยังไม่เคยจางหาย แต่วิธีการเข้าถึงความลุ่มหลงของเขาเปลี่ยนไป

“เทิ้ก” ชยุส ยังพิชิต(โสภณพนิช)ในวัย 37 ปี พร้อมด้วยครอบครัวอบอุ่น เป็นคุณพ่อของลูกน้อยทั้งสาม แต่จิตวิญญาณมอเตอร์สปอร์ต ที่ฝังอยู่ในสายเลือดยังกระตุกสั่งให้เขามุ่งมั่นบนเส้นทางสายนี้ และปัจจุบัน “ชยุส”ถือเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในความสำเร็จของ “มิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ต ทีม ไทยแลนด์”

อย่างที่รู้กันว่า “มิตซูบิชิ” เป็นค่ายรถยนต์ที่สนับสนุนกีฬามอเตอร์สปอร์ตอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นทางเรียบหรือทางฝุ่น และผลงานที่ผ่านๆมาก็เป็นเครื่องการันตีความสำเร็จได้เป็นอย่างดี ล่าสุดในรายการครอสคันทรี่ ชิงแชมป์ประเทศไทย ที่แม้จะเหลือการแข่งขันอีก 1 สนาม แต่ทีมมิตซูบิชิ ก็ทำคะแนนทิ้งห่างอันดับสอง จนเชื่อขนมกินได้ว่า ปีนี้จะคว้าแชมป์ประเภททีมได้อีกสมัย

แน่นอนว่า “ชยุส ยังพิชิต” มีส่วนร่วมกับความสำเร็จดังกล่าวอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะนอกจากจะลงแข่งเองแล้ว เขายังสวมหัวโขนเป็นผู้จัดการทีมอีกด้วย

“ผมร่วมงานกับมิตซูบิชิเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ตอนนั้นมี คุณวิกรานต์ อมาตยกุล ดูแลการตลาดอยู่ และให้โอกาสบริษัท ทีที มอเตอร์สปอร์ตของผมได้ทำทีมลงแข่งในรายการครอสคันทรี่ ชิงแชมป์ประเทศไทย ซึ่งผมในฐานะผู้จัดการทีมก็ลงแข่งด้วย พร้อมกับดึงหนึ่ง(มานะ พรศิริเชิด) มาร่วมทีม โดยใช้มิตซูบิชิ สตราด้า” ชยุสเล่าถึงจุดเริ่มต้น

สำหรับบทบาทในการเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีที มอเตอร์สปอร์ต และการเป็นผู้จัดการทีมนั้น ถือเป็นความท้าทายที่ “ชยุส” บอกว่าหินไม่แพ้การแข่งรถ โดยปัญหาหนักสุดคงหนีไม่พ้นเรื่องบประมาณ

“ทีที มอเตอร์สปอร์ต เป็นผู้บริหารจัดการทีม โดยมิตซูบิชิจะให้เงินมาหนึ่งก้อนพร้อมรถ(ไทรทัน) แต่อย่างไรแล้วเราก็ต้องหาสปอนเซอร์เพิ่มเติม เพื่อมาสนับสนุนค่าใช้จ่ายภายในทีม ทั้งค่าทำรถ-ค่าตัวนักแข่ง และอีกจิปาถะ”ชยุส กล่าว และว่า

“แต่ละปีไม่ต้องพูดถึงผลกำไร เรียกว่าเอาแค่พออยู่ได้ก็พอ ที่สำคัญถ้าคิดเรื่องเงินมาก เราจะประหยัดไปหมด ส่งผลให้ทีมเรา รวมถึงรถยนต์เราไม่แข็งแกร่ง ขณะเดียวกันมิตซูบิชิ ผู้สนับสนุนหลัก ผมว่าเขามองเรื่องการทำงานเป็นทีม ไม่ได้มองความสำเร็จเป็นตัวบุคคล ซึ่งเป็นผลดีต่อทีมที่ไม่ต้องกดดันมาก อันจะส่งผลกลับมาให้ทุกคนทำผลงานได้เต็มที่”

อย่างไรก็ตาม“ชยุส”ยังมีหน้าที่เลือกนักแข่งเข้ามาสู่ทีม อย่าง“มานะ พรศิริเชิด” เขาก็เป็นคนดึงเข้ามาสู่ทีมมิตซูบิชิฯ และปลุกปั้นจนสามารถก้าวขึ้นไปแข่งในระดับโลก

“จะเรียกว่าปั้นคงไม่เชิง เพราะหนึ่ง (มานะ) เขาเกิดมาจากทีมแข่งแรลลี่ และเป็นคนมีฝีมืออยู่แล้ว แต่พอเลิกกับทีมเดิม ผมจึงดึงเข้ามาแข่งครอสคันทรี่ จนปัจจุบันพัฒนาฝีมือก้าวขึ้นเป็นตัวแทนประเทศไทย ไปแข่งในรายการสุดโหดอย่าง แรลลี ดักการ์ แล้ว”

สำหรับการเลือกนักแข่ง “ชยุส” บอกว่า นอกจากจะดูทักษะฝีมือแล้ว ยังต้องดูทัศนคติว่า ไปด้วยกันกับทีมหรือไม่ เพราะการแข่งแต่ละครั้งจำเป็นอย่างยิ่งที่นักขับต้องถนอมรถ ไม่ว่าจะขับเร็วแค่ไหน คุณต้องคิดด้วยว่าสิ่งที่ตามมาคืออะไร เพราะถ้าพลาดมาก็เสียหายแข่งไม่จบ ดังนั้นการควบคุมอารมณ์ การมีสติ รู้ข้อจำกัดตนเองว่าทำอะไรได้แค่ไหน จึงเป็นเรื่องสำคัญ

ในฐานะผู้จัดการ“ชยุส”พาทีมมิตซูบิชิฯ คว้าแชมป์ประเภททีมจาก ในรายการไทยแลนด์ ครอสคันทรี เมื่อปีที่แล้ว ส่วนปีนี้ก็เป็นว่าที่แชมป์อย่างไม่เป็นทางการ ด้านผลงานการเป็นนักแข่ง ในรุ่น T1B เขาได้รองแชมป์ประเภทบุคคลเมื่อปีก่อน และปีนี้คะแนนยังนำเป็นอันดับหนึ่ง

“มิตซูบิชิเองบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ นั่นคือ การคว้าแชมป์ประเภททีม สำหรับตัวผมถือว่าประสบความสำเร็จพอสมควร ทั้งด้านการเป็นผู้จัดการทีมและการเป็นนักแข่ง ส่วนผลการแข่งขันคงไม่สำคัญเท่าการได้อยู่ และได้ทำในสิ่งที่เรารัก”

“ผมชอบรถยนต์มาตั้งแต่เด็กๆ มันเริ่มเรียนรู้ปลูกฝังในจิตสำนึกเรื่อยมา และผมมองว่ารถแข่งมันสวยกว่ารถบ้าน ยิ่งโตขึ้นมายิ่งทำให้รู้ว่ารถแข่งถ้าติดอุปกรณ์ความปลอดภัย หรือสวมเครื่องป้องกันมันยังปลอดภัยกว่าการขับรถบ้านเสียอีก ขณะเดียวกันการเป็นนักแข่งเราได้ความสนุกเร้าใจ ส่วนการทำทีมผมก็รู้สึกว่านี่เป็นอีกครอบครัว ทั้งน้องๆและทีมงาน มีอะไรต้องช่วยเหลือกันทั้งในและนอกสนาม”

ชยุส ยังพิชิต ผู้ที่ซิ่งรถยนต์ถนนดำมาเกือบทั้งชีวิต แต่เมื่อมีโอกาสได้ลุยทางฝุ่นเขาก็ทำมันได้ดีเช่นกัน โดย “หนุ่มพ่อลูกสาม” กล่าวถึงความประทับใจว่า รายการทางเรียบในบ้านเราค่อนข้างจำกัดเรื่องสนาม วิ่งกันแต่ “พีระ เซอร์กิต” ดูแล้วน่าเบื่อ แต่สำหรับรายการครอสคันทรี ที่ปีหนึ่งมี 8 สนามไม่ซ้ำกัน และแต่ละปียังเปลี่ยนไปเรื่อย หรือจังหวัดเดียวกันบางทียังมีหลากหลายเส้นทาง

“แต่ละคนไม่มีโอกาสได้รู้ได้ซ้อมล่วงหน้า ดังนั้นต้องไปวัดทักษะกันในสนาม รวมถึงการประสานงานร่วมกับ โค-ไดรฟ์เวอร์ (จักรพันธ์ ทัพบำรุง) ซึ่งผมว่ามันท้าทายความสามารถ และเป็นเสน่ห์ของการแข่งขันทางฝุ่น”ชยุส กล่าว

เมื่อถูกถามถึง ภาพรวมของแวดวงมอเตอร์สปอร์ตเมืองไทย ชยุสแสดงความเห็นว่า ยังเป็นวงการที่แคบ ทั้งขาดการสนับสนุนอย่างจริงจังจากภาครัฐ การโปรโมทยังมีน้อย สปอนเซอร์ก็หน้าเดิมๆ ส่งผลให้การพัฒนาอยู่ในวงจำกัด

“การแข่งขันเป็นวันๆ รถเข้าร่วมหลายสิบคัน ผมว่ากระดาษ 1-2 หน้า(แมกาซีน)มันถ่ายทอดออกมาได้ไม่หมด แต่ถ้ามีการถ่ายทอดออกทางทีวี ไม่ว่าจะครึ่งชั่วโมง หรือหนึ่งชั่วโมง ผมว่าจะได้ผลและปลุกกระแสได้มากกว่า ส่วนผู้ใหญ่ก็จะเป็นกีฬามากขึ้น พร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กไปในตัว”

ชยุสร่ายปิดท้ายว่า หากมองย้อนกลับในช่วงวัยรุ่นที่ผมใช้ชีวิต อาจจะเรียกเป็นความคะนองก็ได้ และยังเคยคุยกับเพื่อนว่าโชคดีที่อยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ ซึ่งต้องยอมรับว่าตอนนั้นไม่มีความรู้ เมื่ออยู่หลังพวงมาลัยก็อัดกันไป แต่เด็กทุกวันนี้มีโอกาสดีกว่ามาก โรงเรียนสอนการขับรถแข่งอย่างถูกวิธี(Racing school) ผุดขึ้นมากมาย เรียนกันได้ตั้งแต่ 9-10 ขวบ ยิ่งพวกโก-คาร์ทนั้นเริ่มตั้งแต่ 5-6 ขวบแล้ว”

“จริงๆพ่อแม่ก็ไม่ค่อยสนับสนุนการแข่งรถนัก เพราะผู้ใหญ่ต้องห่วงเป็นของธรรมดา แต่สำหรับตนเองถ้าลูกชอบทางนี้ก็พร้อมสนับสนุน แล้วจะให้ไปเรียนแบบเป็นเรื่องเป็นราว อย่างน้อยถ้าไม่ได้ใช่ในสนามแข่งก็ได้ใช้ในชีวิตประจำวัน ที่สำคัญเทคนิคต่างๆมันจะช่วยเราได้ในเวลาฉุกเฉิน”... ชยุสกล่าว




กำลังโหลดความคิดเห็น