Cleo, madame FIGARO, เครื่องสำอางค์แบรนด์ชั้นนำ รวมถึงดารา นางแบบ นางเอกแถวหน้าของเมืองไทยหลายต่อหลายคน ล้วนยินดีฝากใจไว้กับฝีมือเมคอัพอาร์ติสต์สาวคนนี้ ผู้ที่สามารถเจียระไน แต่งแต้มความงามของพวกเธอเหล่านั้นให้เปล่งประกายเจิดจรัส ขณะเดียวกัน ก็ยังคงความเป็นธรรมชาติทั้งขับเน้นตัวตนที่แท้ของสาวสวยทุกคนได้อย่างสะดุดตา...สะกดใจ
ใช่เพียงผลงานเป็นที่ยอมรับ หากเป็นเพราะความมุ่งมั่นตั้งใจของเธอในการก้าวเข้าสู่เส้นทาง “ช่างแต่งหน้ามืออาชีพ” ต่างหาก ที่ทำให้ต้องเชื้อเชิญเมคอัพอาร์ติสต์สาวเก่ง อย่าง หนิง-มนัญชยา คูหะสุวรรณ มานั่งพูดคุย เพื่อบอกเล่าถึงมุมมอง ทัศนคติ และหัวใจสำคัญของอาชีพที่เธอหลงรักมาตั้งแต่เด็ก
หากถามว่าอะไรบ้าง แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่ว่านั้น เริ่มด้วยความสามารถซึ่งได้รับการการันตีจากสถาบันสอนแต่งหน้าชั้นนำของโลกแฟชั่น อย่าง Jean Pirre Flevrimon ณ กรุงปารีส ฝรั่งเศส ที่แลกมาด้วยการดำรงชีพอย่างปากกัด ตีนถีบ เป็นเพียง“ประชากรชั้นต่ำ” ในสายตาพลเมืองเจ้าของประเทศ ต้องต่อสู้กับความเหงา แปลกแยก โดดเดี่ยวของโรคโฮมซิกที่ปะทุขึ้นมาอย่างร้ายกาจ ยังไม่นับการตกเป็นเหยื่อแก๊งวิ่งราวอยู่บ่อยครั้ง แต่นั่นไม่ทำให้เธอยอมแพ้
“เรามาถึงที่นี่แล้วนะ จะถอยหลังกลับไม่ได้ ต้องไปให้สุดทาง ต้องทำให้สำเร็จ แม้จะร้องไห้ แต่หนิงก็จะบอกตัวเองอย่างนี้เสมอ จะจบจากที่นี่ได้ต้องมีแรงฮึด เพราะคนฝรั่งเศสก็คือคนฝรั่งเศส เขาไม่ได้พิศวาสคนเอเชียหรอกนะ” ความทดท้อในสังคมเมืองใหญ่ระดับโลก ถูกเธอแปรเปลี่ยนให้เป็นพลังสร้างสรรค์ในชั้นเรียน เปลี่ยนเป็นความตั้งใจในแต่ละหลักสูตรการแต่งหน้าของสถาบันดังกล่าว ไม่ว่า แฟชั่น ภาพยนตร์ บอดี้เพนต์ โทรทัศน์ หรือการแต่งหน้าเอฟเฟกต์
ผลที่ได้คือการยอมรับจากอาจารย์เจ้าของวิชาและเพื่อนๆ ร่วมชั้น ยังไม่นับความทึ่งที่หลายคนออกปากว่า “คุณเป็นคนไทยคนแรกที่มาเยือนและจบจากสถาบันนี้”
กระนั้น สิ่งที่นอกเหนือไปจากดีกรีของสถาบันดังกล่าว คือประสบการณ์อันประมาณค่ามิได้ ส่งให้โลกทัศน์ต่อเทรนด์แฟชั่นของเธอเปิดกว้าง นำไปสู่ทัศนคติในการทำงานที่มักมองจากองค์รวมก่อนโยงใยสู่รายละเอียดเล็กๆ อันไม่อาจมองข้าม ทั้งนำความรู้ด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมมาเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญช่วยให้เข้าใจและเข้าถึง “เทรนด์” ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น นับเป็นความพิถีพิถันที่มาพร้อมความคิดสร้างสรรค์ ทั้งกล้าออกนอกกรอบ กล้าที่จะแตกต่าง ดังคำบอกเล่าของเธอที่ช่วยให้เห็นภาพชัดขึ้น
“ยกตัวอย่างจะแต่งหน้านางแบบเพื่อถ่ายรูปสักรูป หรืองานเดินแฟชั่นโชว์สักแบรนด์หนึ่ง แต่ละห้องเสื้อก็จะมีธีมของเขาอยู่แล้ว อย่างเช่น ซีซั่นส์นี้เทรนด์แฟชั่นอาจเน้นโทนขาวเทาดำ เขาก็อาจจะเน้นไปที่ขาวเทาดำในสไตล์วินเทจ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็ต้องศึกษาว่ายุคนั้นเป็นแบบไหน การทำให้เป็นวินเทจต้องทำอย่างไร ซึ่งการแต่งหน้าสไตล์วินเทจก็คือหน้าต้องเปลือย ตาไม่คม ปากเป็นกระจับสีออกแดงคล้ายเนื้อวัว แดงก่ำเหมือนชมพู่มะเหมี่ยว คิ้วไม่มี แล้วทาหน้าขาวๆ เข้ากับบรรยากาศเมืองหนาว"
"ส่วนแก้มก็ออกแดงๆ หน่อย พอจะนึกออกไหม วินเทจจะออกแนวซีดๆ มีกลิ่นแวมไพร์นิดหนึ่ง หรือถ้าเป็นหน้าร้อนแต่ยังอยากให้คงสไตล์วินเทจ ก็อาจปรับให้มีสีสันสดใสเข้ามาได้ คือคุณต้องจับสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ของวินเทจให้ได้ แล้วก็ผสมผสานความแตกต่างเข้าไป ซึ่งเรื่องแบบนี้ต้องศึกษาไปถึงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมของเขาด้วย แล้วเราจะเห็นรายละเอียดต่าง ๆ”
การแต่งหน้าที่ต้องมองไกลไปถึงประวัติศาสตร์เก่าก่อนนั้น เป็นสิ่งที่เธอได้รับการปลูกฝังจากการเรียนที่ฝรั่งเศส เนื่องด้วยโรงเรียนของเธออยู่ใกล้พิพิธภัณฑ์ระดับโลกอย่างลูฟร์ ทั้งทางโรงเรียนก็จะนำนักเรียนเข้าไปทัศนศึกษาที่พิพิธภัณฑ์ดังกล่าวอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะ เวลาทำงานปั้น ทำตัวยางพาราเพื่อที่จะสวมเป็นปีศาจในแต่ละยุค จึงจำเป็นต้องเข้าไปศึกษาประวัติศาสตร์อย่างละเอียด เพื่อเข้าถึงบริบทต่างๆ ที่ส่งผลต่อความเชื่อของผู้คนในยุคสมัยนั้นๆ
ในกรณีเดียวกัน หนิงได้ยกตัวอย่างถึงการทำงานในเมืองไทยด้วย
“ ถ้ามีหนังสือสักเล่มบอกเราว่า ต้องแต่งหน้านางแบบให้มี ‘กลิ่น’ ของ ‘พระนางมารี อังตัวเน็ตต์’ แต่ไม่เก่าขนาดนั้น เราก็ต้องตีโจทย์ให้แตก นั่นก็คือ ‘กลิ่น’ หมายความว่าต้องไม่ก็อป ซึ่งก็หมายถึงต้องเป็นยุคนั้นแต่ไม่ใช่พระนางมารี แล้วยุคนั้นเป็นอย่างไรล่ะ ก็คือผมเป็นลอน แก้มแดง ใส่คอร์เซ็ตดันหน้าอก ไม่เน้นขนตา เน้นปากแดงเป็นกระจับ อะไรทำนองนี้ แต่เมื่อถึงเวลาแต่งจริงๆ คนไทยบางคนจะเป็นมารี อังตัวเน็ตต์ ก็ไม่ได้ ไม่เข้ากับเขา นั่นก็เป็นหน้าที่ของเราว่าจะทำยังไงให้เขายังดูเป็นตัวของเขา แต่เมื่อเห็นแล้ว คนดูรู้ว่านี่คือมารี อังตัวเน็ตต์”
ยังมีประสบการณ์และมุมมองที่น่าสนใจอีกมาก พรั่งพรูจากความทรงจำของเธอจนชวนให้รู้สึกราวกับว่าเวลาช่างผ่านไปรวดเร็ว
ภาพความสำเร็จของเมคอัพอาร์ติสต์ “มืออาชีพ” ที่ได้รับการยอมรับในวันนี้ ทำให้เราอดไม่ได้ที่จะนึกย้อนไปถึงวันวารในวัยเด็กที่เธอเล่าด้วยแววตาเป็นประกาย
จากเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่มีความสุขกับการเล่นสนุกแต่งหน้าให้ทุกคน เด็กผู้หญิงที่จับน้องข้างบ้านมาแต่งตัวเป็นตุ๊กตา จับแต่งหน้า ทำผม จนพลั้งเผลอไปเล็มใบหูของนางแบบตัวจ้อยร้องไห้จ้า ถูกแม่เขาดุว่าอย่ามาเล่นกับลูกเขาอีก แต่ก็ไม่เคยเข็ด เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่สงสัยว่าเส้นสีดำคมกริบใต้ขอบตาของป้าคืออะไร ? หาคำตอบด้วยการใช้พู่กันแต้มสีโปสเตอร์ในวิชาวาดเขียนมาลองกับตัวเอง นำไปสู่การค้นพบถึงวิธีการเลือกใช้ “แปรง” หรือพู่กัน ให้เหมาะกับเส้นสายบนใบหน้า
จากวันนั้น จนวันนี้ “ความรัก” ที่เธอมีต่อการแต่งแต้มสีสันบนใบหน้าไม่เคยลดน้อยลง ผ่านอุปสรรคมากมายที่ต้องพิสูจน์ตัวเองอย่างกล้าหาญและมุ่งมั่น สำคัญที่สุดคือทัศนคติจากพ่อแม่ที่มองว่าอาชีพ “แต่งหน้าทำผม” เป็นงานของพวกเต้นกินรำกิน เปลี่ยนแปลงกลายเป็นการยอมรับและเชื่อใจ
สำหรับเธอ หัวใจสำคัญของการแต่งหน้าคืออะไร ? เธอตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า
“ความรักค่ะ เมื่อคุณต้องแต่งหน้าให้ใครสักคน นั่นไม่ใช่แค่หน้าที่แต่ง มันคือการสร้างสรรค์ใบหน้าของเขาด้วยความรัก ทำให้เขาสวยในแบบที่เป็นตัวของเขาเอง ใบหน้าของคนที่เราแต่งให้จะฟ้องออกเลย ว่าเขาสวยด้วยการแต่งหน้าที่เราทำอย่างสนุกและมีความสุข หรือทำเพียงเพราะให้ผ่านๆ ไป”
ก่อนการพูดคุยจะจบลง หนิงฝากข้อคิดสำคัญ ถึงคนที่มีความฝันในหัวใจว่า
“สัญชาตญาณของคุณบอกว่าอยากทำอะไร ทำไปเลย อย่าคิดว่าทำไม่ได้ ทั้งที่ยังไม่ได้ลองทำ ทำไปเลย ไม่ต้องสนใจใคร ไม่ต้องอายใคร ต่อให้อาชีพนั้นมันไม่เลิศหรู ตำแหน่งมันดูไม่ดี แต่คนอื่นเขาไม่รู้หรอกว่า นั่นคือความสุขมหาศาลที่ไม่มีใครคาดคิดได้เลย”