xs
xsm
sm
md
lg

ที่สุดในชีวิต “สัญชัย จงวิศาล” ต่อเรือตรวจการณ์ถวายในหลวง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สัญชัยกับเรือผลงานอู่มาร์ซัน
“ในวันที่ผมประสบความสำเร็จในเชิงธุรกิจในทุกด้าน ผมรู้สึกว่านี่คือเครื่องหมายที่แสดงว่าผมประสบความสำเร็จในการทำงาน แต่ในวันที่ผมได้มีโอกาสทำงานเพื่อถวายการรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทองค์พระประมุขของแผ่นดินนั้น เป็นวันที่ผมรู้สึกว่า...นี่ล่ะ คือที่สุดในชีวิตของผม ที่มิอาจมีอะไรมาเทียบเทียมเท่าอีกแล้ว ไม่มีอะไรในชีวิตของผมจะเป็นที่สุดไปกว่านี้"

นี่คือคำบอกเล่าในเช้าวันหนึ่งของสัญชัย จงวิศาล ผู้ก่อตั้งอู่ต่อเรือมาร์ซัน อู่ต่อเรือที่เจ้าตัวยืนยันเจตนารมณ์อันหนักแน่นว่า เป็นอู่ต่อเรือของคนไทย โดยคนไทย และเพื่อคนไทย ซึ่งผลงานอันเป็นที่ประจักษ์อย่างดีก็คือ เรือตรวจการณ์เฉลิมพระเกียรติ ต992 และ ต993

ผู้ชายคนนี้ มิได้เป็นที่รู้จักมากนักหากจะพูดกันเชิงงานสังคมไฮโซประเภทดินเนอร์ปาร์ตี้ แต่ถ้าเป็นงานสังคมเชิงการกุศลแล้วน้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก ทั้งในแวดวงการสาธารณสุขเช่นงานในสภากาชาดไทย หรืองานการกุศลด้านการศึกษา เพราะนอกจากจะดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการบริหาร 3 บริษัทของตนเองทั้งบจก.ไทยโคลอน ,บจก.ไทยโคลอนเอ็นจิเนียริ่ง และบจก.มาร์ซันแล้ว เขายังปลีกเวลาไปเป็นคณะกรรมการจัดหาและส่งเสริมผู้บริจาคโลหิตสภากาชาดไทยในปีพ.ศ2545 จนกระทั่งปัจจุบัน และได้รับเลือกเป็นประธานคณะอนุกรรมการจัดหาทุน ในคณะกรรมการจัดหาและส่งเสริมผู้ให้โลหิตแห่งสภากาชาดไทยอีกด้วย

***เปิดปูมชีวิตวัยเด็ก
แต่ก่อนที่จะลงลึกถึงรายละเอียดและชีวิตการทำงาน เจ้าตัวบอกเล่าเรื่องราว ย้อนอดีตไปถึงประวัติชีวิตและประสบการณ์ที่เคี่ยวกรำให้เด็กชายคนหนึ่งเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว ให้กลายมาเป็นเจ้าพ่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศดังเช่นวันนี้...

เด็กชายสัญชัยเกิดในครอบครัวชนชั้นกลาง เป็นเด็กกำพร้าพ่อ ฐานะพอมีพอกินไม่ลำบาก แต่ก็ไม่ได้ร่ำรวยหรูหรา เขาใช้ชีวิตวัยเด็กส่วนใหญ่ในต่างจังหวัด และเติบโตศึกษาในกรุงเทพมหานครกับผู้เป็นมารดา ที่เฝ้าอบรมสั่งสอนอย่างใกล้ชิดโดยเน้นหนักไปในเรื่องของศีลธรรม จริยธรรม ความรับผิดชอบและความกตัญญูเป็นหลักใหญ่

“สมัยเด็กๆ ตอนนั้นเรื่องต่อเรือไม่เคยอยู่ในความคิด เพียงแต่ผมรู้สึกชอบชีวิตชนบทมากกว่าชีวิตในเมืองใหญ่ และผมก็ชอบเล่นน้ำเป็นชีวิตจิตใจ” นักธุรกิจระดับแนวหน้าที่สุดคนหนึ่งของเมืองไทยเล่าให้ฟังด้วยเสียงเรื่อยๆ เท่าที่สังเกต เขาเป็นคนคล่องแคล่ว เดินเร็ว แต่พูดช้าอธิบายเก่ง เล่าเรื่องได้สนุก และที่สำคัญที่ต่างจากบุคคลระดับนี้อื่นๆ คือ...ติดดินเข้าถึงได้ง่าย

สัญชัยเล่าถึงชีวิตช่วงต่อไปของเขาต่อไปอีกว่า ครั้นถึงวัยศึกษา ครอบครัวก็ได้ให้โอกาสทางการศึกษาเรียนจบที่ดอนบอสโก้ กรุงเทพฯ ด้านวิศวกรรมเครื่องกล จากนั้นสัญชัยในวัยหนุ่มน้อยที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและพลังใจไฟทำงานอันเหลือเฟือ ก็เริ่มต้นชีวิตการทำงานเป็นครั้งแรกที่บริษัทไทย-อเมริกัน เท็กซไทล์ ในตำแหน่งผู้ประสานงานวิศวกรรมระหว่างวิศวกรชาวไทยและชาวญี่ปุ่น ซึ่งที่นี่เองที่เขาได้มีโอกาสศึกษาวิธีการทำงานด้านการบริหารจากผู้เชี่ยวชาญสัญชาติซามูไร

***ก้าวสู่งานอุตสาหกรรมต่อเรือ
แต่เหมือนกับชะตาชีวิตของผู้ชายคนนี้ ได้ลิขิตมาว่าเขาจะต้องเป็นคนสร้างเรือ สัญชัยในวันนั้นที่พกประสบการณ์ที่เก็บเกี่ยวจากเพื่อนร่วมงานมาในระดับหนึ่ง ก็พลันมาได้รู้จักหนุ่มชาวอิตาเลี่ยนนาม “แองเจโล” เจ้าของบริษัทออเรียลทอลมารีน ได้ชักชวนให้สัญชัยมาร่วมงานด้วย และนั่นเป็นก้าวแรกในการใช้วิชาชีพวิศวกรรมของเขาในอุตสาหกรรมการต่อเรือโดยตรง ในตำแหน่ง Yard Manager มีหน้าที่ดูแลการบริหารจัดการอู่เรือทั้งหมด ต่อมาในปีพ.ศ.2518 บริษัทออเรียลทอลมารีนได้ทำสัญญาร่วมทุนกับบริษัทอิตัล-ไทย ตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาคือบริษัทอิตัล – ไทย มารีนขึ้น ซึ่งชายหนุ่มก็ได้รับความไว้วางใจให้ทำงานต่อภายหลังจากบริษัทร่วมทุนกันแล้ว

“แม้ผมจะไม่ได้ร่ำเรียนมาทางด้านวิศวกรรมการต่อเรือโดยตรง แต่ผมก็จบมาในสาขาวิศวกรรมเครื่องจักรกล ผมเรียนรู้งานในอุตสาหกรรมการผลิตและต่อเรือผ่านประสบการณ์การทำงานจริง รวมทั้งศึกษาดูงานต่อเรือในต่างประเทศ จึงนำมาประยุกต์ใช้กันได้” สัญชัยอธิบายเมื่อถูกถามถึงความจำเป็นในการใช้ความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในการต่อเรือ

***เริ่มกิจการอู่ต่อเรือของตนเอง
กระทั่งปีพ.ศ.2523 หลังจากเก็บประสบการณ์ในสายงานอุตสาหกรรมการต่อเรือมาเต็มที่ เขาก็เปิดอู่ต่อเรือของตนเองในที่สุด โดยให้ชื่ออู่ว่า “มาร์ซัน” แนวคิดในการเลือกจ้างพนักงานเข้ามาทำงานในอู่ของเขา เป็นเรื่องสำคัญชนิดที่สัญชัยถือเป็นนโยบายหลักอันหนึ่งในการทำงาน นั่นคือการใช้บุคลากรคนไทยและแรงงานฝีมือคนไทย

“ตั้งแต่ก่อนจะตั้งบริษัทและอู่ของตัวเองนั้น ผมตั้งใจมานานแล้วในเรื่องการสร้างงานให้คนไทยด้วยกัน ผมต้องการให้คนไทยทุกคนภูมิใจว่า เรามีอู่ของคนไทย ที่บริหารจัดการทุกอย่างด้วยฝีมือคนไทย ทุกวันนี้มาร์ซันมีคนงานกว่าสองร้อยชีวิต”

“ที่น่าภูมิใจก็คือ บริษัทเราประสบความสำเร็จด้วยการร่วมแรงร่วมใจของคนสองร้อยกว่าคน ที่เป็นคนไทยทั้งหมดทั้งสิ้น ผมมองว่าแรงงานไทยเป็นจุดแข็งในอุตสาหกรรมการผลิต เพราะคนไทยเก่ง มีฝีมือมาก ค่าจ้างแรงงานก็ไม่สูงเท่าต่างประเทศ นี่คือจุดแข็งที่ผมมอง”


ประธานเจ้าหน้าที่บริหารอู่ต่อเรือมาร์ซัน ให้ภาพกว้างๆ ในการบริหารจัดการอู่ต่อเรือในช่วงต้นว่า ทางอู่มาร์ซันได้นำจุดแข็งของฝีมือการช่างไทย และได้ติดต่อขอซื้อองค์ความรู้ เทคนิค และเทคโนโลยีชั้นสูงที่จำเป็นต้องใช้เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมการต่อเรือระดับศักยภาพสูง การต่อเรือจากบริษัทบลูมแอนด์วอชซึ่งเป็นอู่ต่อเรือผิวน้ำและเรือตรวจการณ์ปืนที่มีศักยภาพดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลกซึ่งตั้งอยู่ในประเทศเยอรมัน เพื่อพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมการต่อเรือของภาคเอกชนไทยให้สูงขึ้นด้วยองค์ความรู้ที่ทันสมัยพร้อมกับฝีมือช่างที่ดีแต่ราคาไม่แพงนัก

***ผงาดขึ้นแท่นอู่ชั้นนำด้วย ISO9001
ในที่สุดมาร์ซันภายใต้การนำของสัญชัย จงวิศาล ก็ได้พัฒนาศักยภาพการผลิตและการบริหารจัดการจนได้ระดับที่ Loyd’s Register สถาบันการจัดชั้นเรือของโลก ได้มอบหนังสือรับรองการควบคุมคุณภาพการจัดการทุกด้าน ISO 9001 แก่อู่ต่อเรือมาร์ซัน อันเป็นอู่ต่อเรือไทยอู่แรกที่ได้รับ ISO นี้

“ต่อมาในปี 2547 บริษัทประสบความสำเร็จมากในการต่อเรือตรวจการปืน 1 ชุด จำนวน 6 ลำ ขายให้แก่กองทัพเรือปากีสถาน ซึ่งผมถือว่าความสำเร็จในครั้งนี้ เสมือนหนึ่งเราสามารถนำธงชาติไทยเข้าไปปักในเวทีโลกได้อย่างภาคภูมิ เนื่องจากการประมูลงานชิ้นดังกล่าวนี้เป็นการประมูลระดับประเทศ มีอู่ชั้นนำจากหลายประเทศทั่วโลกให้ความสนใจเข้าร่วมประมูลเป็นจำนวนมาก แต่ด้วยคุณภาพในเนื้องานที่เราพยายามทำมาตลอดก็ทำให้เราได้งานโครงการต่อเรือเร็วจู่โจมด้วยอาวุธนำวิถีของประเทศปากีสถานมาทำภายใต้แบรนด์มาร์ซันของประเทศไทย”

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความสำเร็จข้างต้นที่เจ้าของอู่ต่อเรือเอกชนรายใหญ่ที่สุดของเมืองไทยกล่าวมาให้ฟังนี้ แทบกลายเป็นเบาประดุจปุยนุ่นไปโดยสิ้นเชิง หากเทียบกันกับเหตุการณ์ที่กลายเป็น “ที่สุดของชีวิต” ของผู้ชายคนนี้...

***2549 คราวสำคัญของชีวิต
ปีพ.ศ. 2549 อู่ต่อเรือมาร์ซัน ได้รับการติดต่อจากกองทัพเรือไทย ให้เข้าร่วมในการยื่นซองประมูล การต่อเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งเฉลิมพระเกียรติ ที่กองทัพเรือจะนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา ในนามของประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ ซึ่งในขณะนั้นมีอู่ต่อเรือเอกชนในประเทศที่มีคุณสมบัติและศักยภาพการต่อเรือเข้าขั้นที่ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 17 คนที่กองทัพเรือส่งมาตรวจสอบอยู่ 4 อู่ด้วยกัน และหนึ่งในนั้นก็คืออู่ต่อเรือมาร์ซัน ซึ่งได้รับการยอมรับจากผู้เชี่ยวชาญของกองทัพเรือให้เป็นอู่ที่มีเทคโนโลยีที่ดีที่สุดจากการประเมินขีดความสามารถ และผลจากการยื่นซองประมูลในครั้งนั้นทำให้บริษัทมาร์ซันได้เป็นผู้ต่อเรือตรวจการณ์ชายฝั่งเฉลิมพระเกียรติชุดดังกล่าว

สัญชัยกล่าวต่อไปอีกว่า เรือตรวจการชายฝั่งที่กองทัพเรือได้ว่าจ้างในชุดนี้มีอยู่ 3 ลำ คือ ต991,ต992และ ต993 ตามลำดับ โดยเรือ ต991 นั้นทางกรมอู่ทหารเรือจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อเอง โดยให้มาร์ซันเตรียมวัสดุอุปกรณ์ให้ ส่วนอีกสองลำที่เหลือกองทัพเรือให้อู่มาร์ซันเป็นผู้ต่อ

***ทรงพระราชทานคำแนะนำอันเป็นประโยชน์
สัญชัยได้บอกเล่าถึงพระราชอัจฉริยภาพอันมหาศาลแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงสนพระราชหฤทัยในด้านการต่อเรือตั้งแต่เมื่อครั้งทรงพระเยาว์และทรงคิดค้นต่อเรือใบด้วยพระองค์เองจนเป็นที่ประจักษ์ในความเชี่ยวชาญส่วนพระองค์นั้น ในการณ์ของเรือตรวจการณ์ชายฝั่งชุดนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ได้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานแนวพระราชดำริเกี่ยวกับการดัดแปลงแบบเรือซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านได้พระราชทานแนวพระราชดำริเกี่ยวกับการดัดแปลงแบบเรือตรวจการณ์ชุดนี้ด้วยพระองค์เองด้วย ทรงแนะว่าน่าจะออกแบบท้ายเรือให้เป็นทรงที่โค้งมนกว่าในแบบแปลนเรืออันเดิม ทรงรับสั่งว่าจะช่วยในเรื่องความเร็วของเรือ เพราะเป็นวิธีที่จะลดแรงเสียดทานใต้น้ำลง ทางกองทัพเรือก็นำแนวพระราชดำรินี้ใส่เกล้าฯ ทางเราก็นำมาปรับแบบตามที่ท่านทรงมีรับสั่ง และปรากฏว่าเมื่อทดลองลงน้ำ ก็เป็นจริงอย่างที่ทรงมีรับสั่ง นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงสนพระราชหฤทัยและพระราชทานคำแนะนำในครั้งนี้”

สัญชัยกล่าวต่อไปอีกว่า ในส่วนของเรือ ต991นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ เสด็จพระราชดำเนินทรงวางกระดูกงูเรือและทรงเจิมเรือด้วยพระองค์เอง และในส่วนของเรือตรวจการณ์ชายฝั่ง ต992และ ต993 นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ พร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นผู้แทนพระองค์ปล่อยเรือลงน้ำเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2550 ณ อู่ต่อเรือบริษัทมาร์ซัน ซึ่งโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจได้ถ่ายทอดสดในวันดังกล่าว

“ผมปลาบปลื้มใจที่สุดครับ พระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้นี้ เป็นสิ่งที่เป็นที่สุดของชีวิตคนสร้างเรืออย่างผมแล้ว” ชายหนุ่มผู้อยู่เบื้องหลังการสร้างเรือตรวจการณ์ชายฝั่งลำสำคัญฉายความในใจ

***แง้มประตูบ้าน “จงวิศาล”
หลังจากคุยกันเรื่องชีวิตการงานมาพอสมควรแล้ว ก็ถึงเวลาขี่ม้าเลียบค่ายถามถึงชีวิตส่วนตัวของนักธุรกิจหนุ่มใหญ่รายนี้ โดยเจ้าตัวยิ้มอ่อนๆ เมื่อถูกถามเรื่องบุคคลอันเป็นที่รัก เขาเล่าว่าเขาเป็นคนโชคดีที่สุดที่นอกจากจะได้ทำงานที่ตัวเองรักจนประสบความสำเร็จถึงขั้นได้ถวายการรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทแล้ว เขายังมีครอบครัวที่อบอุ่นอีกด้วย ลูกๆ สามคนของเขาได้รับการเอาใจใส่และอบรมเลี้ยงดูมาอย่างมีกฎเกณฑ์ภายในกรอบศีลธรรมอันดีเฉกเช่นตัวเขาในวัยเด็ก

“โบ๊ท-ลูกชายคนโตของผมจบวิศวกรรมต่อเรือที่จุฬาฯ ตั้งแต่ปีหนึ่งทุกปิดเทอมเขาจะต้องมาฝึกงานเป็นคนงานในอู่ เข้างานแปดโมงเช้า เลิกงานห้าโมงเย็น ทำงานหนักเหมือนคนงานคนหนึ่ง แม่เขาเตรียมข้าวกลางวันให้ผมและผู้บริหาร ลูกชายผมไม่เคยได้รับอนุญาตให้ร่วมมื้ออาหารกับผู้บริหารหรือพ่อของเขา ทุกเที่ยงเขาจะต้องลงไปกินอาหารที่โรงอาหารของคนงาน เขาจะได้รู้ว่าคนงานเขากินอะไร อร่อยไหม ถ้าไม่อร่อย เมื่อเขาถึงเวลาเขาจะมาดูแลงานแทนผม เขาจะได้ดูแลปรับปรุงคุณภาพชีวิตคนงานของเรา ซึ่งเขา”

“เท่าที่สังเกต เขารักงานสร้างเรือและเรียนสายนี้ได้ค่อนข้างดี ตอบเรียนจบก็ได้เกียรตินิยม ตอนนี้ก็ทำงานอยู่ในบริษัท เป็นพนักงานคนหนึ่ง ผมไม่ได้ส่งเขาไปเรียนเมืองนอก เพราะคิดว่าเรียนเมืองไทยหรือเมืองนอกก็ไม่ต่างกัน เขามีภาระหน้าที่ต้องดูแลกิจการของครอบครัว เรื่องปริญญาโทผมก็ดูให้เขาในเมืองไทยเช่นกัน ส่วนลูกสาวสองคนของผม คนหนึ่งเรียนบัญชีที่จุฬา อีกคนเรียนที่เอแบค”

***ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และแรงบันดาลใจ
“ไม่ค่อยจะมีใครรู้ ผมเป็นคนสวดมนต์ทุกวัน สวดมายี่สิบปีแล้ว ก่อนนอนบ้าง หรือเช้าก่อนไปทำงานบ้าง เพราะผมมีความเชื่อว่ามนุษย์เรานี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีจิตใจอ่อนไหวมาก ไหวได้ง่ายกับสิ่งรอบๆ กาย เราจึงจำเป็นต้องหาเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ การที่ผมน้อมนำศาสนาเข้ามาหาจิตใจ ทำให้ผมเป็นคนไม่ตกใจอะไรมากนัก ตอนวิกฤติเศรษฐกิจนั้น มาร์ซันเองก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะโดนผลกระทบเช่นกัน”

สัญชัยได้กล่าวถึงช่วงวิกฤติของบริษัทว่า ยอดสั่งต่อเรือลดฮวบลงเกินครึ่ง และปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบมากที่สุดก็ไม่ได้ต่างจากบริษัทอื่นๆ นั่นคืออัตราค่าเงิน

“ผมเองใช้เวลาตั้งสติประมาณสองวัน แต่ด้วยความที่เรามีเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ก็เลยไม่ตกใจมากนัก ผมยังกินได้ นอนหลับสบาย และออกกำลังกายได้ตามสมควรไม่ต่างจากช่วงก่อนวิกฤติ พอตั้งสติได้ก็เข้าบริษัท พิจารณาดูว่าอะไรคือปัญหา เราก็มองว่าค่าเงินทำให้เรามีปัญหา”

“ผมเลยขอความช่วยเหลือไปยังบริษัทคู่ค้าของผม และด้วยความที่เราค้าขายกับเขามากว่ายี่สิบห้าปี เงินไม่เคยค้างจ่ายสักบาท หลายต่อหลายแห่งบินมาพบผมและเสนอความช่วยเหลือว่าเขาพอจะช่วยอะไรได้บ้าง ผมจึงขอให้เขาขายของให้ผมในราคาต้นทุน คือเขาไม่ขาดทุน และผมยังพอมีกำลังซื้อให้ ผลก็คือบริษัทเหล่านี้ยินดีที่จะขายวัสดุในราคาทุน แถมลดราคาให้เพิ่มอีก ทำให้ผมลดภาระค่าใช้จ่ายในตอนนั้นได้ราว 100 ล้านบาท จากนั้นก็พยายามประคับประคองบริษัทจนพ้นวิกฤติมาได้”

ถึงตรงนี้จึงได้มีโอกาสถามถึงประโยคสั้นๆ ที่เคยออกจากปากคนสร้างเรือผู้นี้ ในวันที่นำสื่อชมเรือ ต992-ต993 ว่า

“หากจำเป็น ผมยินดียกอู่ให้กองทัพ”

สัญชัยนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเฉลยที่มาของประโยคดังกล่าวว่า ด้วยเหตุที่อุตสาหกรรมการต่อเรือเป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ ดังนั้นหากเกิดเหตุวิกฤติการณ์สงคราม เขาตั้งใจจะยกอู่นี้ให้แก่กองทัพเรือ

“ผมเป็นคนไทย เป็นคนสร้างเรือ ซึ่งเป็นงานที่เกี่ยวกับความมั่นคง เรามีเทคโนโลยีชั้นสูงที่ใช้ในการต่อเรือ ซึ่งผมคิดว่ามันจะเป็นประโยชน์มากหากประเทศเกิดตกอยู่ในช่วงวิกฤติการณ์สงคราม เป็นความตั้งใจส่วนตัวครับ ว่าหากเกิดเหตุอะไรแบบนั้น ผมจะยกอู่ของผมทั้งหมด...ให้ประเทศชาติครับ” สัญชัยยืนยันอีกครั้ง

และเมื่อถามถึงแรงบันดาลใจในการสร้างเรือของผู้ชายที่ชื่อสัญชัย จงวิศาล เขาไม่ได้ตอบอะไร นอกจากควักโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า พร้อมกับเปิดภาพที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือของเขาให้ดู

...พระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขณะทรงต่อเรือด้วยพระองค์เอง

“นี่ละ แรงบันดาลใจของผม”

********

เรื่อง....เจิมใจ แย้มผกา



เรือตรวจการณ์เฉลิมพระเกียรติ ต992 และ ต993
สัญชัย จงวิศาล ตำนานคนสร้างเรือแห่งอู่มาร์ซัน
สัญชัยขณะทำงาน
สัญชัยขณะทำงาน
สัญชัยกับเรือผลงานอู่มาร์ซัน
สัญชัยกับเรือผลงานอู่มาร์ซัน
สัญชัยกับเรือผลงานอู่มาร์ซัน
กำลังโหลดความคิดเห็น