xs
xsm
sm
md
lg

การกลับมาอีกครั้งของ “ เครื่องละครหลวง ” แห่งแผ่นดินรัชกาลที่ 9

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


นับตั้งแต่รัชกาลที่ 6 เป็นต้นมา การแสดงนาฏศิลป์ของไทยก็เริ่มสาบสูญไป แต่เมืองไทยยังโชคดีที่สมเด็จพระนางเจ้าฯทรงห่วงใยและทรงมีพระราชเสาวนีย์ให้จัดสร้าง “เครื่องละครหลวง” ขึ้นใหม่ งานนี้จึงถือเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 100 ปีที่มีการระดมช่างและผู้เชี่ยวชาญทั้งแผ่นดินมาช่วยกันทำงานศิลป์ที่ทรงคุณค่าสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมสู่ลูกหลาน และถ้าใครอยากชื่นชมงานชิ้นเอกนี้ต้องไม่พลาดการแสดงคอนเสิร์ตเฉลิมพระเกียรติ เรื่องรามเกียรติ ตอนพรหมาศที่จัดแสดงในเร็ว ๆ นี้

เมื่อ 5 ปีที่แล้วสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงมีพระราชปรารภต่อสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถว่า โขนไม่มีคนดูหรือเป็นกลุ่มเล็ก ๆ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถรับสั่งว่า “เมื่อไม่มีคนดู ฉันจะดูเอง” และทรงมีพระราชเสาวนีย์จัดโขนแสดงในงานพระราชทานเลี้ยงแก่พระราชอาคันตุกะรวมถึงข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ขณะเสด็จฯ ต่างจังหวัด

และตลอดระยะเวลากว่า 50 ปีที่สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถทรงทอดพระเนตรการแสดงโขน ทรงเห็นถึงความซบเซาของนาฏกรรมตามประเพณี และความเสื่อมถอยของเครื่องแต่งกายโขน–ละคร ที่มีความหยาบในการปักและการแต่งหน้า จึงทรงเป็นห่วงว่าโขนอันเป็นศิลปะชั้นสูงของชาติจะสูญหายไป จึงทรงมีพระราชเสาวนีย์ให้ศูนย์ศิลปาชีพทำโครงการจัดสร้างเครื่องแต่งกายโขน–ละคร เพื่อใช้ในการแสดงพระราชทานและเพื่อเป็นการสืบสานฝีมือเชิงช่าง

งานครั้งนี้ถือว่าเป็นงานครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ที่เดียว เพราะหลังจากรัชกาลที่ 6 เป็นต้นมา ยังไม่เคยมีการทำนุบำรุงงานศิลปะเรื่องเครื่องแต่งกายโขน-ละครมาเป็นเวลาเกือบ 100 ปีแล้ว โดยมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อทำโครงการนี้โดยอยู่ภายใต้การดูแลของศูนย์ศิลปาชีพ เพื่อค้นหาและระดมหาช่างและผู้เชี่ยวชาญทางด้านงานศิลปะมาช่วยกันสร้าง “เครื่องละครหลวง” ให้เป็นผลงานอันทรงคุณค่าประดับคู่บารมีแห่งแผ่นดินรัชกาลที่ 9


วิวัฒนาการโขนไทย

โขนเป็นมหรสพของสังคมไทยที่แพร่หลายมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาสืบเนื่องมาจนถึงยุครัตนโกสินทร์ จนกลายมาเป็นศิลปวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของประเทศไทย โดยมีพระเจ้าแผ่นดินในแต่ละรัชกาลทรงเป็นองค์อุปถัมภ์นาฏกรรมนี้มิให้สูญหายไป

โขนเจริญรุ่งเรื่องถึงขีดสุด ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงอุปถัมภ์และทรงสนับสนุนให้โขนเป็นมหรสพของราชการหรือเป็นของหลวง ทรงโอนกรมโขนและพิณพาทย์มหาดเล็กซึ่งอยู่ในความปกครองของเจ้าพระยาเทเวศร์ มารวมอยู่ในกรมมหรสพและโปรดฯให้เรียกว่า “กรมโขนหลวง ” ทรงมีพระราชประสงค์จะทำนุบำรุงการแสดงโขนให้เป็นบึกแผ่น นอกจากนี้ได้โปรดให้คัดเลือกบุตรหลานเจ้านายข้าราชการ และบรรดามหาดเล็กในพระองค์ มาฝึกหัดเล่นโขนขึ้น เรียกว่า “ โขนสมัครเล่น ”

แต่น่าเสียดายเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตแล้วศิลปะการแสดงโขนก็เริ่มตกต่ำไปเรื่อย ๆ เนื่องจากเหตุการณ์บ้านเมืองที่ไม่สงบและปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ภาพการแสดงโขนที่ฉายให้เห็นถึงความงดงามอลังการของนาฏกรรมของชาติก็แทบจะสาบสูญไปกับกาลเวลาไปด้วย

เรียกระดมช่าง

อ.สมิทธิ์ ศิริภัทร ผู้อำนวยการของโครงการฯกล่าวถึงปัญหาของระบบราชการที่มีผลกระทบต่องานศิลปะของชาติว่า

“ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ประเทศไทยประสบปัญหาทั้งเรื่องเศรษฐกิจและระบบราชการ จึงไม่สามารถทำนุบำรุงงานศิลปะของชาติให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์แบบได้ อย่างเช่น หน่วยงานกรมศิลปากรซึ่งเป็นระบบราชการ จะไม่สามารถผลิตงานศิลปะที่ดีออกมาได้งดงามและถูกต้อง เพราะมีระบบจัดซื้อจัดจ้าง ขั้นตอนเยอะมาก ประกอบกับงบประมาณที่มีจำกัด จึงทำให้ไม่สามารถเลือกช่างที่มีฝีมือมาทำงาน เพราะฉะนั้นในยุคปัจจุบันเราจึงไม่ค่อยเห็นมีงานดี ๆ มาประดับชาติบ้านเมือง พอเรามีโอกาสทำตรงนี้ เราจึงเลือกคนที่คิดว่าทำได้ดีที่สุด เพราะเราคิดว่าเมืองไทยไม่ได้ไร้ช่างฝีมือ เพียงแต่ว่าไม่มีโอกาสได้ทำเท่านั้น”

การเริ่มงานของโครงการนี้เกิดขึ้นเมื่อ 4 ปีที่แล้ว โดยได้มีการระดมช่างฝีมือทุกแขนงที่มีอยู่ในยุคนี้มาช่วยกันทำงานที่ทุกอย่างเริ่มต้นมาจากศูนย์ เพื่อช่วยกันสร้าง “เครื่องละครหลวง” ที่ถูกต้องตามขนบธรรมเนียมประเพณีของไทยโบราณขึ้นใหม่หมดทุกชิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเครื่องประกอบฉากละครทั้งหมดได้อ.สุดสาคร ชายเสม เจ้าของศูนย์ทัศนศิลป์ สภาวัฒนธรรมชมรมเขตบางซื่อ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิจิตรศิลป์ของเมืองไทยมาช่วยจัดสร้างเครื่องสูง ช้างเอราวัณ โรงพิธี ตั้ง เตียง เป็นต้น

การสร้างสรรค์หัวโขนอันเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่สำคัญ ซึ่งหัวโขนฝ่ายยักษ์ ควบคุมการผลิตโดยขรรค์ชัย หอมจันทร์ หัวโขนฝ่ายลิง ควบคุมการผลิตโดย อภิชาต เกิดเฉ็งเม็ง และศิราภรณ์อื่น ๆ ควบคุมการผลิตโดย สุรัตน์ จงดา

และการจัดสร้าง “เครื่องละครหลวง”ในครั้งนี้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถมีพระราชเสาวนีย์ให้ทำการบันทึกการทำงานทุกขั้นตอนอย่างละเอียด เพื่อทำเป็นหนังสือ 3 เล่ม เก็บเอาไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาค้นคว้า ซึ่งอ.สมิทธิกล่าวว่าเป็นเสมือนจดหมายเหตุหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ไทยในรัชกาลปัจจุบันทีเดียว

งานปักพัสตราภรณ์

อ.วีรธรรม ตระกูลเงินไทย หนุ่มจากบ้านท่าสว่าง อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ผู้สร้างผลงานทอผ้าอันลือลั่นในงานการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเซีย หรือ APEC เมื่อเดือน ตุลาคม 2546 โดยได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ออกแบบและทอผ้ายกทองโบราณสำหรับตัดเย็บเป็นเสื้อให้ผู้นำประเทศต่าง ๆ สวมใส่เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ เขาเป็นผู้เปิดประตูให้คนได้สัมผัสกับความมหัศจรรย์ของ “ผ้ายกทองโบราณ” โดยอาศัยภูมิปัญญาพื้นบ้านที่ได้เรียนรู้มาจากบรรพบุรุษของครอบครัวที่มาจากผสมผสานกัน

และงานสำคัญเช่นนี้ชื่อของอ.วีรธรรมจึงเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับเชิญให้มาสร้างพัสตราภรณ์หรือเสื้อผ้าสำหรับตัวละคร ซึ่งต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญที่มีความประณีตงดงามตามแบบศิลปะไทย รวมทั้งการใช้สีสันตามแบบงานศิลปกรรมไทยโบราณ

“ ความจริงรับงานนี้มาเมื่อ 4 ปีแล้ว แต่เนื่องจากมีงานเข้ามาเยอะมาก อย่างงานทอผ้าถวายพระราชอาคันตุกะในงานเฉลิมฉลองครองสิริราชสมบัติ 60 ปีของในหลวง เพิ่งจะมีเวลาทำงานนี้เมื่อ 5 – 6 เดือนที่ผ่านมานี้เอง แต่ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับทำงานชิ้นนี้ เพราะเราระดมลูกศิษย์จำนวนมากเพื่อทำงานนี้ ” อ.วีรธรรมกล่าว

แม้ว่าอ.วีรธรรมจะผ่านมาทอและปักผ้ามาเกือบตลอดชีวิต แต่งานปักเสื้อผ้าละครครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ได้ทำ เพราะที่ผ่านมาเคยแต่ปักผ้ายกและปักทรงสะพักของสมเด็จพระนางเจ้าฯที่พระองค์ท่านทรงใช้ และผ้าทรงสะพักที่ใช้ในงานแสดงภาพยนตร์เรื่องสุริโยทัย ซึ่งอ.สมิทธิกล่าวว่างานนี้ได้รับความช่วยเหลือจากผู้รู้ซึ่งทีมที่ปรึกษาของโครงการฯคือ อ.พีรมณฑ์ ชมธวัช , อ.สุรัตน์ จงคา ,อ.ธีรพันธุ์ จันทร์เจริญ ซึ่งแต่ละคนล้วนมีความรู้เรื่องเกี่ยวกับเสื้อผ้าของเครื่องละครโขนเป็นอย่างดี

“ เราต้องเริ่มศึกษากันใหม่หมด อย่างลวดลายที่ใช้นั้นจะพยายามแยกประเภท เช่นตัวพระกับยักษ์จะใช้ลายกระหนกและกระจังอันเป็นลายชั้นสูงจึงนำมาใช้กับตัวละครสำคัญ ส่วนหนุมารและพวกลิงจะใช้ลายเครือเถา ”

จากนั้นจึงมากำหนดสีของตัวละคร ซึ่งตามวรรณกรรมรามเกียรติได้กำหนดลักษณะสีของตัวละครอย่างมีแบบแผนเฉพาะ เช่น พระรามสีกายเขียว พระลักษณ์สีกายเหลือง ทศกัณฐ์สีกายเขียว หนุมานสีขาว เป็นต้น

“ ข้อกำหนดรายละเอียดเรื่องสีนั้นมีมากมาย ซึ่งเราจะต้องใช้เฉดสีไทยโบราณทั้งหมด ไม่ใช่ว่าพระรามสีเขียวแล้วจะใช้สีเขียวทั้งหมด แต่ราจะต้องมาดูว่าส่วนประกอบของเสื้อผ้าแต่ละชิ้นควรจะใช้สีอะไรจึงจะเข้ากับสีหลัก และอะไรคือสีที่ตัดกัน นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงเรื่องการกระจายน้ำหนักของสีให้สีเข้มอยู่ตรงไหนบ้าง และสีอ่อนอยู่ตรงไหนบ้าง ”
 
เรื่องการปักผ้าถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญเพราะต้องใช้ช่างที่ชำนาญฝีมือละเอียดประณีต โดยการปักครั้งนี้ใช้เทคนิกโบราณ เช่นเดินดิ้นข้อ ปักดิ้นโปร่ง ซึ่งวัสดุทั้งดิ้น-ข้อ-เลื่อมจะต้องไปหาซื้อที่ประเทศอินเดีย

“ความสำคัญในการปักคือการเดินดิ้นข้อให้ตรงกับเส้นลาย เพื่อให้เกิดลายที่อ่อนไหวอ่อนช้อย ” อ.วีรธรรมกล่าว

ซึ่งงานนี้ระดมช่างปักกว่าร้อยชีวิต ซึ่งมีทั้งทีมงานที่ทำกับอ.วีรธรรมมาก่อน อีกส่วนหนึ่งคือเยาวชนจังหวัดสุรินทร์ซึ่งก่อนจะลงมือปักจริงจะต้องทำการฝึกสอนให้เข้าใจและเกิดความชำนาญเสียก่อน รวมถึงช่างปักของอ.สุรันต์ จงคา เป็นต้น

เมื่อทดลองปักชุดแรกเสร็จ อ.สมิทธิ ได้นำขึ้นทูลเกล้าถวายแก่สมเด็จพระนามเจ้าฯพระบรมราชินีนาถทอดพระเนตร

“สมเด็จทรงวิจารณ์ว่าลายเล็กและละเอียดเกินไป อาจจะไม่เหมาะสำหรับใส่ในการแสดงบนเวทีที่ต้องมองจากระยะไกล ลายทั้งหมดจึงต้องนำกลับมาปรับใหม่ให้ใหญ่ขึ้น แต่สียังคงเหมือนเดิม ”

เกือบครึ่งปีกับการทุ่มเทให้กับ “เครื่องละครหลวง” ของแผ่นดิน ที่ใช้ช่างปักด้วยมือทั้งหมดกว่าร้อยชีวิต ปักเสื้อผ้ากว่า 150 ชุด โดยมีชุดตัวเอกประมาณ 8 ชุดก็เสร็จสิ้นลง

“ งานนี้สำคัญมาก เพราะงานโขนที่สืบทอดกันมานั้นค่อนข้างจะคลี่คลายไปสู่ความง่ายและความอะอียดอ่อนประณีตของเสื้อผ้าก็สูญหายไปหมดแล้ว พวกเราได้พยายามช่วยกันนำสิ่งที่สูญหายกลับมาใหม่ ” อ.วีรธรรมกล่าวทิ้งท้าย

คนหนุ่มรุ่นใหม่หัวใจไทย

ขณะที่คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่สนใจวัฒนธรรมต่างชาติ แต่ อ.บิ๊ก-พีรมณฑ์ ชมธวัช กลับเป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ที่หลงใหลศิลปะไทยโบราณ แม้ว่าอ.บิ๊กจะไปศึกษาจบจากต่างประเทศและมีประสบการณ์ในการเต้นรำตั้งแต่บัลเล่ย์ โมเดิร์นแดนซ์ ไปจนถึงออกแบบเสื้อผ้าพีเรียตให้กับละครต่างประเทศ แต่ลึก ๆในจิตใจแล้วอ.บิ๊กสนใจศึกษางานนาฏศิลป์อย่างจริงจังมาหลายปี จนมาตั้งคณะละครอาภรณ์งามเป็นของตัวเอง

“ ผมเห็นปัญหาตั้งแต่แรกแล้วว่าศิลปะไทยแขนงนี้จะสาบสูญไปจากเมืองไทย ที่เหลือไว้ก็มีอยู่น้อยมาก เช่นที่พิพิธภัณฑ์เก็บเสื้อผ้าตัวละครโบราณอยู่เพียง 4 – 5 ตัวเท่านั้น นอกนั้นอยู่ในคอลเลกชั่นส่วนตัวของคนที่สนใจเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องน่าห่วงมาก” อ.บิ๊ก กล่าวอย่างเป็นห่วงกับศิลปะนาฏศิลป์ไทยที่นับวันจะสูญหายไป

ด้วยเหตุนี้ อ.บิ๊กจึงใช้เวลาถึง 7 ปีเฝ้าติดตามเก็บรูปถ่ายเสื้อผ้าละครโบราณ รวมถึงศึกษาค้นคว้าด้านนี้พร้อมกับทดลองปฏิบัติในเรื่องออกแบบและตัดเย็บเสื้อผ้าตัวละครไทยจนกลายเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับการยอมรับว่ามีความเชี่ยวชาญมาก จน อ.สมิทธิกล่าวว่าต้องการมองหาคนรุ่นใหม่ที่รักงานศิลปะไทยเพื่อมาสืบสานงานจากรุ่นเก่าสู่รุ่นใหม่

“ อ.ธีรพันธุ์เป็นคนมาทาบทามให้ผมไปช่วย ผมจึงนำข้อมูลทั้งหมดที่ผมศึกษาและทดลองทำมา 7 ปี เรียนรู้จากข้อผิดพลาด รู้ว่าควรใช้วัสดุแบบไหน หรือวัสดุแบบไหนใช้ไม่ได้บ้าง เพราะผมทดลองกับงานทำเครื่องละครโบราณซึ่งทำเสียไปหลายหนแล้ว จนกลายเป็นเป็นความรู้ขึ้นมา ”

งานของอ.บิ๊กคือการนำข้อมูลที่ค้นคว้าในเรื่องขนาดและสัดส่วนของเสื้อตัวละครแต่ละชิ้นมาใช้เพื่อโครงการนี้ ซึ่งถ้าไม่มีข้อมูลชิ้นนี้จะต้องเสียเวลาในการศึกษาอีกนานกว่าจะสำเร็จ

“ ความสำคัญของเครื่องแต่งกายละครไทยคือเรื่องสัดส่วน ที่ตอนนี้เพี้ยนไปจากโบราณมาก ที่เพี้ยนเพราะคนทำและคนแต่งทำกันต่อ ๆมาผิดแบบ ดังนั้นการทำเสื้อผ้าต้องคำนึงถึงขนาดและวัสดุ ต้องไปดูของโบราณแล้วเอามาปรับให้เข้ากับสัดส่วนของนักแสดงยุคนี้ ”

อ.บิ๊กกล่าวเสริมว่าเคยไปขอเสื้อผ้าตัวละครโบราณที่เก็บอยู่ในพิพิธภัณฑ์ออกมาเป็นลอกทำแพทเทิร์นขนาดเท่าเดิมทุกประการ แล้วตัดเย็บออกมาปรากฏว่านำมาใส่ไม่ได้เพราะคนยุคปัจจุบันตัวโตกว่า

“ เรื่องสัดส่วนนั้นสำคัญมาก เช่นถ้าแขนยาวเท่านี้ คันธนูของเสื้อควรจะยาวเท่าไหร่ จะต้องออกแบบให้เส้นโค้งมารับกับคันธนูพอดี เพราะความงามของเครื่องแต่งกายนาฏศิลป์ไทยคือเรื่องของเส้นโค้งและเว้า ถ้าเส้นไม่บรรจบกันก็จะไม่เกิดสะเทือนอารมณ์ ”

เพราะอ.บิ๊กกล่าวว่าถึงแม้ชิ้นงานการตัดเย็บและปักออกมาสวย แต่เมื่อนำทุกชิ้นมาแต่งไม่เป็นเสื้อผ้าก็จะไม่สวย ดังนั้นเรื่องเสื้อผ้าละครโบราณของไทยนั้นจะต้องประสานร่วมมือกันระหว่างคนทำเสื้อผ้าที่สวยงามประณีตกับคนที่รู้ในเรื่องการแต่งเสื้อผ้าที่ถูกต้องในตำแหน่งต่าง ๆ ซึ่งส่วนประกอบเสื้อผ้าของตัวละครมีมากถึง 13 ชิ้น รวมกับเครื่องประดับอีกจำนวนมาก ดังนั้นเวลาแต่งตัวละครจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงต่อหนึ่งตัวละคร รวมถึงคนช่วยแต่งจะต้องมีเข็มและด้ายที่คอยเย็บตรึงเครื่องประดับทุกชิ้นให้อยู่กับที่

“ เครื่องละครไทยไม่ได้เป็นเสื้อตัดสำเร็จรูปเวลาใส่แล้วรูดซิปแล้วทุกอย่างจะอยู่ที่เดิม แต่การแต่งตัวละครทุกครั้งจะต้องนำทุกชิ้นมาประกอบกัน จึงมีสิทธิ์จะขยับเคลื่อนที่ได้ ซึ่งดูแล้วไม่สวย เวลาแต่งจะต้องมีคนที่มีความชำนาญมาช่วยมาดูว่าถูกตำแหน่งหรือยัง เส้นสวยหรือยัง แคบไปไหม พวกเราะจะต้องดูตั้งแต่กระบวนการทำเสื้อผ้าไปจนถึงการแต่งตัวละคร และเมื่อแต่งเสร็จแล้วจะทำอย่างไรเพื่อให้เครื่องละครอยู่ในสภาพที่ดีอยู่นาน ๆ เป็นงานครบวงจร ”

นอกจากจะภูมิใจที่งานค้นคว้ากว่า 7 ปีสามารถนำมาใช้ประโยชน์ต่อประเทศชาติได้แล้ว อ.บิ๊กยังได้กล่าว่าการรวมพลังช่างและผู้ที่มีความรู้งานงานศิลปะแขนงนี้มาช่วยกันทำ “เครื่องละคนหลวง”ครั้งนี้ถือเป็นการต่อลมหายใจของงานศิลปะนาฏศิลป์ไทยโบราณที่จะไม่สูญหายไปจากประเทศ เพราะเครื่องละครเหล่านี้ไม่ได้มีการจัดสร้างขึ้นมาเกือบ 100 ปีแล้ว

การแสดงโขนเฉลิมพระเกียรติ

หลังจากเครื่องแต่งกาย “เครื่องละครหลวง” ได้จัดสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว ทางมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯและคณะกรรมการการจัดสร้างฯ เห็นว่าควรจัดการแสดงถวายเป็นปฐมทัศน์ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติเนื่องในมหามงคลวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษา 75 พรรษา

อ.สมิทธิ กล่าวว่าได้เลือกบทคอนเสิร์ตเรื่องรามเกียรติ์ ตอนพรหมาศ พระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ จัดแสดงในรูปแบบการบรรเลงคอนเสิร์ตด้วยวงโยธวาธิตออกตัวแสดง

“ โขนเป็นนาฏศิลป์ชั้นสูงที่แสดงกับวงปีพาทเท่านั้น พอเราเปลี่ยนมาใช้วงโยธวาทิต จึงต้องใช้คำว่าคอนเสิร์ตการแสดง โดยนำบทเพลงของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ที่ทรงเคยประพันธ์รามเกียรติ ตอนพรหมาศเป็นทำนองสากลเมื่อเกือบร้อยปีที่ผ่านมา นำกลับมาใช้งานการแสดงแสดงครั้งนี้ ”

การแสดงเฉลิมพระเกียรติ เรื่องรามเกียรติ์ ตอนพรหมาศในครั้งนี้จึงถือเป็นการแสดงครั้งประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่และหาดูได้ยากยิ่ง ทั้ง “เครื่องละครหลวง”ที่จัดสร้างขึ้นใหม่ และการบรรเลงดนตรีที่นิพันธ์ไว้แล้วเกือบร้อยปี และทรงโปรดให้ประชาชนได้มีโอกาสชมการแสดงในครั้งนี้แล้ว หลังจากนั้นจะนำ”เครื่องละครหลวงชุดใหม่ไปจัดนิทรรศการแสดงที่หอศิลป์กรุงเทพฯในต้นปีหน้า

จากนั้นโอกาสที่จะได้ชื่นชมกับเครื่องละครหลวงคงมีไม่บ่อยนัก เพราะจะนำออกแสดงเฉพาะรับแขกบ้านแขกเมืองในบางโอกาสเท่านั้น

**********

การแสดงมี 4 รอบคือ 24 ธันวาคม ซ้อมใหญ่(รอบสื่อมวลชน) , 25 ธันวาคม การแสดงรอบปฐมทัศน์ , 27-28 ธันวาคม การแสดงรอบประชาชน จัดแสดงที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เริ่มจัดจำหน่ายบัตรตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคมนี้

***********

เรื่องโดย - ปาณี ชีวาภาคย์







กำลังโหลดความคิดเห็น