..เขาตื่นเช้าขึ้นมามองไปทางซ้าย เห็นภรรยาคู่ทุกข์คู่สุขที่กำลังอุ้มท้องแก่จวนคลอดนอนหลับตาพริ้มอยู่ข้างๆ มองไปทางขวาเห็นลูกสาววัยหกขวบนอนก่ายหมอนข้างอย่างแสนสุข เขาระบายยิ้มละมุนกับภาพนั้น ก่อนใช้เวลาทำธุระส่วนตัวเล็กน้อยก่อนเดินออกจากบ้าน
..เดินแค่สองก้าวก็ถึงที่ทำงานแห่งแรกซึ่งก็คือห้องแถวติดกันนั่นเอง ที่นั่นเป็นแกลลอรีเล็กๆ ขนาด 3 คูณ 5 เมตรที่ข้างฝาทั้งสองด้านแขวนภาพถ่ายฝีมือตัวเองจำนวนมากนับร้อยรูปเรียงรายอยู่ละลานตา ถ้าไม่มีธุระติดต่องานข้างนอกช่วงเช้า เขามักจะนั่งทำงานอยู่ที่แกลลอรีด้วยการเช็ครูปภาพ ตรวจล้างอัดรูป รวมถึงออกแบบจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์และโฆษณาทุกประเภทให้กับลูกค้าในนราธิวาส หนึ่งในจังหวัดเล็กๆ ชายแดนใต้ที่กำลังคุกรุ่นด้วยควันไฟความไม่สงบ
..ง่วนได้ครู่ใหญ่เห็นว่าใกล้เที่ยงเต็มทีเขาจึงเดินออกจากแกลลอรีแสนรัก เดินต่อไปอีกไม่เกินยี่สิบก้าวเขาก็มาถึงที่ทำงานแห่งที่สอง – ร้านอาหารกึ่งผับที่เปิดขายตั้งแต่กลางวันยันเที่ยงคืน เป็นร้านอาหารที่แปลกตาเพราะข้างฝาก็ประดับประดาไปด้วยภาพถ่ายฝีมือของเขาผู้เป็นเจ้าของร้านจำนวนหลายสิบรูปเช่นกัน รวมถึงตามโต๊ะอาหารแต่ละโต๊ะ จากนั้นเขาก็ดูแลความเรียบร้อยของร้านอาหารสลับกับเดินกลับไปเคลียร์งานที่แกลลอรีบ้างเป็นระยะๆ แต่ก็ไม่เสมอไปหรอก เพราะบ่อยครั้งเหลือเกินที่เขาต้องละมือจากงานในร้านอาหารและแกลลอรีเพื่อไปทำงานสำคัญที่เขารักและผูกพันเหลือเกิน
นั่นคือ...การถ่ายภาพ
..นั่นประไรล่ะ พูดไม่ทันขาดคำ เขาก็คว้ากล้องฟูจิ เอส 7000 แล้วตะโกนบอกพี่สาวและพี่ชายซึ่งมาช่วยดูแลร้านว่ากำลังจะขึ้นภูเขา “ไปถ่ายภาพที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลา-บาลาสักสองวันนะ ฝนตกๆ อย่างนี้ต้นไม้ดอกไม้กำลังงามเชียว” แล้วเขาก็ขับรถออกไป
นั่นแทบเป็นวิถีชีวิตปกติของเขา- ธีระพงศ์ นรารัตน์วงศ์ หรือ “พงศ์ นราฯ” ผู้ได้รับฉายาว่า “ช่างภาพเดนตายชายแดนใต้” ชายหนุ่มวัยสามสิบหก ผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านความตายมานักต่อนักจนคร้านที่จะสนใจกับเรื่องธุรกิจเงินทองและชื่อเสียงใดๆ อีก ที่เปิดแกลลอรีเพราะรักในศิลปะถ่ายภาพ ที่เปิดร้านอาหารเพราะหลงใหลศิลปะดนตรีที่ทำให้ลูกค้าประจำได้ฟังเจ้าของร้านเล่นกีตาร์ยามาฮ่าตัวโปรดให้ฟังอยู่เสมอ
โปรดอย่าผิดหวัง หากเรื่องราวของชายผู้นี้ที่เรากำลังจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ จะไม่ใช่เรื่องราวของอำนาจ ชื่อเสียง และเงินทองที่แสนหอมหวาน แต่เป็นเพียงเรื่องราวของช่างภาพเล็กๆ ในจังหวัดเล็กๆ และมีความวาดหวังในชีวิตอย่างเล็กๆ (แต่ยิ่งใหญ่ในเชิงคุณค่า) ด้วยการ “ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ทำสิ่งที่รัก และร่วมแบ่งปันให้สังคม” เท่านั้น
“ผมมีพี่น้อง 12 คน ผมเป็นลูกคนสุดท้อง พ่อเป็นพ่อค้าคนจีนที่ค้าขายอยู่ในพื้นที่นี้มาตลอด พ่อมาอยู่ที่ตำบลดุซงญอ อ.จะแนะ จ.นราธิวาส ตั้งหลายสิบปีมาแล้ว และเป็นคนหนึ่งที่ได้รู้เห็นเหตุการณ์สงครามดุซงญอในครั้งโน้น ทำให้พวกเราทุกคนพูดภาษยาวีได้ และมีเพื่อนชาวมุสลิมจำนวนมาก รู้จักวัฒนธรรมอิสลามอย่างดี เพราะสัมผัสอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด เรารักที่นี่มากครับ ตั้งใจจะอยู่ที่นี่ไปจนตาย” เขาเริ่มต้นเรื่องราว
*เข้ากรุง ...เรียนรู้ .....สู้ชีวิต
ธีระพงศ์ชอบฟังเพลงเหมือนพ่อ เขาซึมซับศิลปะไว้โดยไม่รู้ตัว เมื่อเรียนจบชั้นมัธยมเขาเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเรียนรามคำแหง แต่เวลาส่วนใหญ่กลับหมดไปกับการฝึกการถ่ายภาพ การล้างรูปแยกสี ทำเพลท ที่ร้านถ่ายรูปของพี่ชายคนโต “เจน นรารัตน์วงศ์” ที่ย่านสีลมอยู่หลายปี ขณะนั้นเจนเป็นหนึ่งในช่างภาพที่มีชื่อเสียงแล้วและก็สอนวิชาถ่ายรูปให้กับน้องๆ ทุกคนที่สนใจด้านนี้
“พี่เจนเป็นพี่คนโต แกมาอยู่กรุงเทพฯ ตั้งหลักได้แล้ว เปิดร้านถ่ายรูป น้องๆ ก็ทยอยกันมาจากนราธิวาส มาเรียนบ้างมาช่วยงาน รวมทั้งผมด้วย ผมมากรุงเทพปี 2533 แกก็สอนให้ ทำให้ความรู้เรื่องถ่ายรูปของผมมีพื้นฐานที่ดีมาตั้งแต่แรก เพราะได้หัดได้ทำกับของจริงในร้านโดยตรง แล้วผมเคยไปอบรมด้านภาพถ่ายเพิ่มเติมที่ราชภัฎสวนสุนันทามาด้วย แต่ว่า สนใจเรื่องอื่นมากไปหน่อยสุดท้ายผมก็เรียนรามไม่จบ
“ก็ช่วยทำงานในร้านพี่เจนอยู่หลายปี แล้วลองย้ายไปหาประสบการณ์กับร้านอื่นอีกปีหนึ่ง มีปัญหากับพี่ไหม ไม่นะ พี่เขาใจดี แต่ผมเป็นลูกสุดท้อง สมัยวัยรุ่นยอมรับว่าใจร้อน เกเร คบเพื่อนเยอะ ก็อยากลองอะไรใหม่ๆ ไปเรื่อย ต่อมาพี่ชายอีกคนหนึ่ง คือพี่ชุมศักดิ์ ซื้อกล้องให้แล้วช่วยฝากงานให้เป็นช่างภาพอยู่ที่นิตยสารแห่งหนึ่งอยู่อีกสองปี ชีวิตช่างภาพในกรุงเทพก็สนุกดีได้ถ่ายรูปเยอะ แต่ความที่เงินเดือนน้อย ตอนหลังปี 40 มานี่เศรษฐกิจก็ไม่ดี เราก็เริ่มมีแฟนด้วย ค่าใช้จ่ายมากขึ้น เริ่มเบื่อกรุงเทพฯ แล้วล่ะ อยู่มาหลายปีไม่มีอะไรดีขึ้น บางวันขี่มอเตอร์ไชค์ไปติดฝนอยู่ใต้ทางด่วน ก็เหงานะ เงินเก็บก็ไม่มีทั้งที่ทำงานหนังสือพิมพ์อยู่หลายปี ฝนตกปรอยๆ เราก็เศร้า คิดว่า เออ เรามาทำอะไรอยู่ที่นี่ คิดถึงนราธิวาสจับใจ คิดถึงพ่อแม่ คิดถึงพี่ๆ อีกหลายคนที่อยู่ทางใต้”
*กลับบ้านเรา ...รักรออยู่
ในที่สุดเขาก็ชวนแฟนนั่งรถไฟกลับบ้าน หวังตั้งต้นชีวิตใหม่ รวมทั้งการเปลี่ยนศาสนามานับถืออิสลาม เนื่องจากแฟนของเขาเป็นมุสลิมชาวอำเภอยี่งอ นราธิวาส เมื่อจะกลับมาอยู่บ้านเกิดจึงจำเป็นต้องทำให้ถูกต้องตามความเชื่อและประเพณี ส่วนการบุกเบิกชีวิตใหม่ในบ้านเกิดก็ไม่ง่ายดั่งใจคิดต้องใช้เวลาฝ่าฟันอีกหลายปี
“บ้านก็ไม่มี ต้องอาศัยอยู่ในบ้านพ่อแม่ที่พี่ชายคนโตซื้อให้ ก็คือบ้านปัจจุบันเป็นอาคารพาณิชย์หน้าโรงแรมอิมพีเรียลในตัวเมืองนราธิวาสนี้เลย ครอบครัวเราย้ายออกมาจากดุซงญอแล้วเพราะช่วงหลังๆ สถานการณ์แถวนั้นเริ่มแรงขึ้น ถึงเราจะไม่กลัวเพราะรู้จักคนเยอะ พ่อแม่ก็เคยช่วยคนไว้เยอะ แต่ก็ไม่อยากประมาท ผมมาอยู่กับพ่อแม่ก็คอยดูแลท่านด้วย ต่อมาแฟนท้อง ยิ่งแย่ใหญ่งานก็ยังไม่มี เลยต้องขายกล้องคู่ชีพทิ้ง น้ำตาไหลข้างในเลยครับ แต่ก็ต้องทำเพื่อความอยู่รอด
“ต่อมาได้ไปช่วยพี่คนหนึ่ง เขาทำงานรับเหมาก่อสร้าง โดยทำหน้าที่วิ่งซื้อของ เพราะตอนนั้นมีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง เมียก็ใกล้คลอด ทำอยู่ประมาณครึ่งปีได้ส่วนแบ่งเปอร์เซนต์ค่ารับเหมาทำให้มีเงินมาคลอด
จากนั้นไปทำงานรังวัดที่ดิน ต้องคอยไปตระเวนในพื้นที่อำเภอรือเสาะ อำเภอระแงะ เช่นที่ ตำบลมะรือโบ เหนื่อยมากแต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีเพราะได้ไปสัมผัสพื้นที่ตามหมู่บ้านอย่างใกล้ชิด ได้รู้จักชาวบ้านต่างๆ มากขึ้น ได้รู้จักกำนัน ผู้ใหญ้บ้าน โต๊ะอิหม่ามมากขึ้น ผมพบว่าชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่ก็เหมือนกับที่ผมเจอตอนเด็กๆ คือชาวบ้านใจดีมาก
“แล้วก็มาทำงานเก็บค่าไฟในพื้นที่ตัวเมืองนราธิวาส โดยเพื่อนชื่อเชษฐ์มาชวนทำ จับคู่กันสองคนขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปทั่วเมืองเลย ได้เงินประมาณห้าหกพันบาทต่อเดือน ซึ่งสำหรับบ้านเราอยู่ได้สบายมาก ทำให้รู้จักคนเยอะ และมีเพื่อนมากขึ้น คิดดูเรามีบิลต้องเก็บ 1,500 หลังต่อเดือน ทำให้รู้จักคนมากขึ้น เปลี่ยนจากตอนรังวัดที่ดินที่ได้รู้จักคนในเขตป่า แต่ตอนนี้มารู้จักคนในเขตเมือง การรู้จักคนเยอะเป็นประโยชน์ทำให้ชีวิตผมในตอนหลังที่มาทำร้านอาหารและรับจ้างทำสื่อโฆษณาแล้วมีลูกค้ามาก
ธีระพงศ์หวนกลับสู่วงการถ่ายภาพอีกครั้ง เพราะมีเพื่อนพี่ชายมาชวนให้เป็นช่างภาพข่าวโทรทัศน์ของสำนักข่าวรอยเตอร์ประจำนราธิวาส เนื่องจากตอนนั้นเป็นช่วงปี 2547 ที่สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่เริ่มปะทุขึ้นมา ทำให้สำนักข่าวต่างๆ ต้องหาทีมงานประจำพื้นที่เพื่อรายงานสถานการณ์มากขึ้น
“เขาเห็นว่าผมเคยเป็นนักข่าวเป็นช่างภาพที่กรุงเทพฯ มาก่อน ก็เลยมาชวน แต่ว่าต้องทดสอบก่อนอย่างน้อยสองงาน งานแรก คือต้องไปถ่ายนายกฯ ทักษิณที่สุไหงปาดี ซึ่งต้องไปทำควบคู่กับนักข่าวรอยเตอร์จากกรุงเทพฯ ไปด้วย ก็ให้กล้องโทรทัศน์เรามาเลย เป็นงานทดสอบงานแรก ปรากฏว่าเราซึ่งเป็นกล้องสำรอง ถ่ายได้มุมที่ดีกว่า เขาโอเค แล้วเลือกใช้ภาพของเราเลย ผ่าน พองานที่สองก็ได้เรื่องเลย คือ เกิดการระเบิดที่ปากทางเขื่อนแห่งหนึ่ง เรารู้ก็ไปถ่าย ปรากฏว่า ออกมาดีอีก หัวหน้าที่กรุงเทพฯ บอกว่า ทางสำนักงานใหญ่ของรอยเตอร์ในภูมิภาคนี้คือที่สิงคโปร์ ได้โทรศัพท์มาชมเลย
“อาจจะเป็นเพราะมุมกล้อง และการแพนภาพที่เคลื่อนให้เห็นเลย สิ่งที่ผมตั้งใจให้สัมผัสถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ทั้งแง่การสูญเสีย และความรู้สึกของชาวบ้าน ก็เลยผ่านฉลุย เขารับให้เป็นช่างภาพข่าวรอยเตอร์เลย หลังจากนั้นก็ถ่ายมาเรื่อยๆ แต่เงินเดือนไม่มากนะเรียกได้ว่าพออยู่พอกิน
แม้เงินเดือนจากรอยเตอร์จะไม่มาก แต่ชีวิตของธีระพงศ์ก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากมีรายได้อื่นๆ มาช่วยหนุน เพราะต่อมาเขามีเงินเก็บส่วนหนึ่งรวมกับเงินที่พี่ชายพี่สะใภ้ให้ นำไปซื้อกล้องถ่ายรูปมาอีกตัวหนึ่ง เป็นกล้องฟูจิ เอส 7000 ราคา 21,000 บาท
“ทีนี้เวลาไปทำงานก็ใช้ทั้งสองกล้องเลย ทั้งกล้องโทรทัศน์และภาพนิ่ง แล้วกล้องตัวนี้ถ่ายรูปแล้วก็ขายภาพให้กับรอยเตอร์อีกต่างหาก รูปละหนึ่งพันบาทบ้าง หนึ่งพันห้าร้อยบาทบ้าง รวมทั้งผมขายภาพนิ่งให้กับหน่วยงานต่างๆ และผู้สนใจทั่วไปด้วย ก็เริ่มดีขึ้น มีรายได้มากขึ้น รวมทั้งการรับจ้างถ่ายงานต่างๆ ที่มีคนจ้างให้ทำ ก็มีรายได้เข้ามาเรื่อยๆ ถ่ายสองสามวันได้มาหนึ่งหมื่นบ้างสองหมื่นบ้าง ชีวิตความเป็นอยู่เริ่มดีขึ้น”
*โดนระเบิดจนได้ฉายาช่างภาพเดนตาย เผยรอดเพราะเพลงชาติ !
“ถ่ายภาพทีวีให้รอยเตอร์ประมาณสองปีผมก็โดนระเบิดเกือบตาย วันนั้นตอนเช้าประมาณเจ็ดโมงเช้า มีระเบิดเกิดขึ้นที่แถวตลาดในเมืองนราธิวาสนี่แหละ พอมีคนโทรมาแจ้งผมคว้ามอเตอร์ไซค์ไปเลย พอไปถึงจอดมอเตอร์ไซค์ฝั่งตรงข้ามที่เกิดเหตุ แล้วจะเดินข้ามไปถ่ายจุดที่ระเบิด แต่พอถึงเกาะกลางถนน กำลังเดินจะข้ามไปแล้วก็มีเสียงเพลงชาติเคารพธงชาติตอนแปดโมงดังขึ้น ผมรีบจะไปถ่ายรุป แต่ก็เอ้าหยุดก่อนก็ได้เคารพเพลงชาติก่อน พอเพลงชาติจบผมเดินต่อไปอีกนิด ปรากฏว่า ตูมเลย เพราะคนร้ายวางระเบิดต่อเนื่องเอาไว้ในที่เกิดเหตุอีกลูก ล่อให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบแล้วกะระเบิดซ้ำ เสียงตูมขึ้นมานี่ผมสลบไปเลยครับ ไม่รู้เรื่องเลย
“ไปรู้สึกตัวที่โรงพยาบาล โชคดีที่บาดเจ็บแค่เล็กน้อยไม่ได้โดนที่ไหนสำคัญมาก แต่ก็ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลหลายวันครับ เย็บแผลไปร้อยกว่าเข็ม ถามว่ารอดมาได้อย่างไร ผมว่าเพลงชาติช่วยชีวิตผมไว้นะ เพราะช่วงเวลาแค่นาทีหรือนาทีครึ่งตรงนั้นนะ ถ้าผมไม่หยุดเคารพเพลงชาติที่เกาะกลางถนนก่อน แล้วข้ามไปที่เกิดเหตุเลย ผมคงโดนเต็มๆ เลยครับ นี่โชคดียังห่างรัศมีระเบิดออกมาหน่อย แต่ก็นอนเจ็บนอนพักอยู่นานครับ” เขาเล่าด้วยแววตาหวนรำลึก
*มองโลกในมุมใหม่ หลังรอดตาย
เพราะผ่านประสบการณ์ทั้งดีและร้ายมาเยอะ แม้แต่บาดเจ็บจากแรงระเบิด ทำให้ปัจจุบัน ธีระพงศ์ นรารัตน์วงศ์ เปลี่ยนใจหันมามองชีวิตในมิติที่กว้างขวางและลุ่มลึกขึ้น จากที่เคยคิดว่าลำบากมามากแล้วต่อไปถ้ามีโอกาสร่ำรวยได้ จะต้องรีบไขว่คว้า แต่ตอนนี้เขากลับเริ่มไม่ยินดียินร้ายกับเรื่องเงินทองเท่าไหร่ แต่ร่ำร้องอยากที่จะออกเดินทางไปสัมผัสโลกกว้างมากขึ้น
“ผมไปถ่ายรูปที่มาเลเซีย เห็นว่าโลกนี้กว้างจัง ยังมีสิ่งที่สวยงามอีกมาก ผมอยากออกเดินทางไปถ่ายรูปให้ทั่วโลกเลย แต่ติดขัดว่าตอนนี้ภรรยาผมกำลังตั้งท้องลูกอีกคน ใกล้จะคลอดแล้ว ก็คงจะหาโอกาสได้ยากอีกพักใหญ่ๆ แต่ไม่เป็นไรครับ แถวๆ บ้านผมในสามจังหวัดนี้ก็มีมุมสวยงามให้ถ่ายอีกมาก
ชายผู้นี้ไม่เคยมองชายแดนใต้ในมุมอื่นได้เลยนอกจากความสวยงามในโลกหลังเลนส์ที่เขาสัมผัสมาตลอด
“ผมเกิดที่นี่ และพบเห็นภาพที่คนไทย คนมุสลิม คนจีน อยู่ร่วมกัน ใช้ชีวิตร่วมกันได้แบบปกติ ไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรมาโดยตลอด คนท้องถิ่นที่นี่มีความน่ารักมาก ขอถ่ายภาพอะไรก็ได้ ผมถ่ายรูปมาเยอะครับก็เลยเปิดแกลลอรีชื่อ พงศ์ นราฯ แกลลอรี่ขึ้นมาเพื่อเก็บรวบรวมและจัดแสดงภาพถ่าย ใครจะมาเที่ยวชมก็เชิญได้เลยครับ และถ้าใครจะขอนำภาพไปใช้เพื่อการศึกษา หรือการกุศล ผมยินดีนะครับ อยากจะแบ่งปันให้คนได้เห็นภาพน่ารักๆ พวกนี้มากที่สุดครับ”
จากความใจกว้างและเอื้อเฟื้อนี่เอง ทำให้ขณะนี้ภาพของเขาถูกหน่วยงานราชการและองค์กรต่างๆ ขอนำไปใช้อย่างมากมาย แน่นอนว่าส่วนใหญ่เขาจะไม่คิดเงินเพราะอยากร่วมช่วยสังคม
*บันทึกวัฒนธรรมด้วยคมเลนส์
ภาพถ่ายของธีระพงศ์ มักจะเป็นการเข้าไปสังเกตการณ์แล้วเกิดความประทับใจก็เลยถ่ายภาพเก็บเอาไว้ โดยเฉพาะภาพสะท้อนให้เห็นถึงความสามัคคีของคนในชุมชน และภาพที่แสดงอัตลักษณ์ที่แจ่มชัดและสะท้อนให้เห็นถึงมรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่นที่สวยงาม
“เช่นภาพนี้เป็นภาพการล้มวัวเพื่อนำมาเป็นอาหารในงานเลี้ยง ช่วงที่มีการฆ่าวัวนี้ภาษายาวีเรียกว่า การฆรือแบร์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นานมาก แล้วใครที่ใจอ่อนก็อาจจะสงสารเพราะวัวจะคอยดิ้นและร้องดังมาก บางตัวมีน้ำตาไหลอออกมา การถ่ายภาพของผมจะไม่เลือกช็อตที่แสดงความทรมานเลยครับ ผมจะเลือกถ่ายช่วงแรกๆ ที่เป็นการเตรียมการ มีการจูงวัวมา แล้วล่ามเชือกเตรียมการ จะบันทึกภาพช่วงนี้แหละ ให้คนที่ดูภาพคิดต่อเอาเอง แต่จะไม่ไปตอกย้ำภาพความรุนแรง ตอนเลือดไหล หรือวัวดิ้นพราดๆ ผมไม่เอาหรอกครับช็อตอย่างนั้น อาจดูสะใจ แต่ผมว่าไม่ได้ประโยชน์อะไร ถ่ายแบบศิลปะ ไม่ต้องชัดเจนมาก ให้คนคิดต่อดีกว่าครับ ผมต้องการแค่บันทึกภาพพิธีกรรมทางศาสนาให้คนได้รู้จักว่า นี่คือการฆรือแบร์ หรือการฆ่าวัวนะ แต่ตัวภาพไม่ต้องชัดเจนมากก็ได้ เพราะมันน่ากลัว
“อีกภาพ ผมไปถ่ายที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งเป็นเขตชุมชนเทศบาลในเมืองนี่เอง เป็นภาพที่เด็กๆ เล่นน้ำกันในลำคลอง เห็นไหมครับโดดคลองกันสนุกสนานเลย ตั้งสิบกว่าคน ดูในแง่ความเป็นธรรมชาติของเด็กๆ น่ารักดี โดดน้ำกันกระจาย แต่ถ้าดูในแง่เนื้อหายิ่งน่าสนใจเข้าไปอีก เพราะเด็กพวกนี้ เพิ่งเลิกเรียนจากโรงเรียนตาดีกา (สอนศาสนา)ในหมู่บ้านแล้วชวนมาเล่นน้ำ เสื้อผ้าที่เป็นชุดมุสลิมหรือหนังสือแบบเรียนก็กองอยู่ข้างๆ คลอง แล้วพากันแก้ผ้าเล่นน้ำ ที่ผมมองก็คือ นี่ไง ตรงนี้ก็เหลือกันแต่ความเป็นเด็กหลังจากที่ไปทำหน้าที่นักเรียนมุสลิมอย่างจริงจังมาแล้ว ผมคิดว่า น่ารักดี องค์ประกอบภาพก็ดี แสง เงา แอ็คชั่นต่างๆ ขอองเด็กในภาพก็น่ารัก ก็เหมือนๆ เด็กทั่วๆ ไปใช่ไหม คนบางคนคิดว่า เด็กที่ใต้คงจะมีความทุกข์ หวาดกลัวอะไรไปเหมือนในข่าว แต่ที่จริง เห็นไหม เด็กก็คือเด็ก ยังมีความซื่อใสบริสุทธิ์ เหมือนๆ กันทั้งโลก”
ปัจจุบันธีระพงศ์กำลังสนุกกับบทบาทล่าสุด คือ บรรณาธิการฝ่ายภาพส่วนพื้นที่ของ “ศูนย์ข่าวชายแดนใต้” เนื่องจากเห็นว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้ผลักดันภาพถ่ายดีๆ จากชายแดนใต้ออกไปช่วยสื่อความหมายและสร้างความเข้าใจอันดีให้เกิดขึ้นเนื่องจากปัจจุบันคนรับรู้ข้อมูลข่าวสารจากพื้นที่ชายแดนใต้น้อยเต็มที นอกจากนี้กำลังจะมีหนังสือรวมผลงานภาพถ่ายและบทกวีออกมาเล่มหนึ่งชื่อ “หัวใจเดียวกัน : ยีวอ ยังซามอ” ซึ่งมีพี่ชาย ชุมศักดิ์ นรารัตน์วงศ์ เป็นบรรณาธิการ โดยมีบทกวีประกอบกว่า 20 บทจากนักกวีทั่วประเทศไทย ทั้งศิลปินแห่งชาติ กวีซีไรต์ ฯลฯ ที่มาร่วมแรงร่วมใจเพื่อพี่น้องชาวใต้
“ผมเป็นคนที่นี่ เกิดที่นี่ โตที่นี่ แล้วก็ตั้งใจจะตายบนแผ่นดินนี้ ผมว่าพื้นที่ชายแดนใต้มีความสวยงามและความน่าสนใจมากมายเหลือเกิน ในการทำงานถ่ายภาพและทำข่าวทำให้ผมโชคดีได้พบเห็นความสวยงามมากมาย แต่น่าเสียดายที่คนภายนอกไม่ค่อยรู้เพราะพื้นที่นี้เหมือนโดนปิดกั้น คนที่ไม่เคยมาเห็นจะไม่รู้ว่าที่นี่มีความสวยงามและเสน่ห์มากมาย ผมเชื่อว่าคนทุกศาสนาสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ และควรมีการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่นเอาไว้ ผมตั้งใจที่จะทำงานถ่ายภาพพวกนี้ต่อไปเรื่อยๆ ให้ดีที่สุด เพราะไม่รู้ว่าในอนาคตพวกศิลปะพื้นบ้านเหล่านี้จะยังคงเหลืออยู่อีกหรือเปล่า” ธีระพงศ์กล่าวด้วยท่วงท่าสงบนิ่ง
เสียงกีตาร์กำลังพริ้วไหวบนเส้นสาย จากนิ้วมือข้างเดียวกันกับที่เคยกดชัตเตอร์บันทึกภาพสวยงามมานับไม่ถ้วน ลูกค้าในร้านอาหารอมยิ้มไปกับภาพที่ปรากฏตรงหน้า ชายหนุ่มเจ้าของร้านเล่นกีตาร์ให้หญิงสาวท้องแก่ผู้เป็นภรรยาขับขานเพลงสำเนียงมลายูไพเราะกังวาน ลูกสาวคนโตวัยหกขวบก็คอยวิ่งสาละวนคอยส่งโน้ตเพลงให้กับพ่อแม่
ถ้าโลกหลังเลนส์ของธีระพงศ์สะท้อนให้เห็นมุมมองแง่บวกของสังคมและวัฒนธรรมที่น่าชื่นชม ภาพความจริงที่ปรากฏตรงหน้า..ก็ยืนยันความงดงามของชีวิต..ที่น่าชื่นใจไม่น้อยเช่นกัน
เรื่องโดย... ธนาคม พจนาพิทักษ์
ศูนย์ข่าวชายแดนใต้ (Southern Border News : STBNEWS)
ภาพโดย พงศ์ นราฯ, ชวิน ถวัลย์ภิยโย
.............................................................
**ชวนชมภาพถ่าย “ชายแดนใต้ : ในภาพถ่ายมีชีวิต”**
น่ายินดีว่าภาพถ่ายของธีระพงศ์ และเพื่อนๆ ช่างภาพจำนวนมากจะไม่ใช่ภาพถ่ายส่วนตัวอีกต่อไปแล้ว เนื่องจากศูนย์ข่าวชายแดนใต้ ได้นำภาพทั้งหมดมาเข้าโครงการ “ธนาคารภาพถ่ายชายแดนใต้” เพื่อสะท้อนเรื่องราวดีๆ ที่สวยงาม สร้างสรรค์ ในรูปของศิลปะภาพถ่าย หวังจะเป็นสื่อกลางให้คนทั้งประเทศเกิดความเข้าใจต่อผู้คนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกันและอยู่อาศัยร่วมกันสงบสุขมาช้านาน
นอกจากโครงการธนาคารภาพแล้ว ศูนย์ข่าวชายแดนใต้ยังได้นำภาพถ่ายไปจัดทำโครงการจัดแสดงนิทรรศการภาพถ่าย “ชายแดนใต้ : ในภาพถ่ายมีชีวิต” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำภาพถ่ายในแง่มุมที่สวยงาม สร้างสรรค์ และก่อให้เกิดความประทับใจ ทั้งเชิงวิถีชีวิต ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี สถานที่ท่องเที่ยว ฯลฯ ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมประมาณ 50 ภาพ ไปจัดแสดงงานตามสถานที่ต่างๆ ผู้สนใจร่วมงานหรือร่วมจัดติดต่อได้ที่คุณชวิน โทร. 081- 4504530 หรือ www.stbnews.net