สิ่งของต่างหน้าของ “ศิลปิน” คือ “ศิลปะ” เป็นทายาทของการงานแห่งความรัก ฝากเอาไว้ให้ระลึกถึงว่าใครคนหนึ่งเคยมีลมหายใจ และใช้เวลาไปกับโลกแห่งจินตนาการอันไร้ขอบเขต โดยไม่ต้องเคี่ยวเข็ญใจ
หลังปลดระวางตัวเองจากอาชีพคนทำโฆษณา ในปี 2543 ปู่-เกษมศักดิ์ ตรานุชรัตน์ ศิษย์เก่าคณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร รุ่นที่ 29 เริ่มนับหนึ่งกับอาชีพศิลปินอิสระ โดยเลือกชุมชนเล็กๆ ที่ยังหลงเหลือบรรยากาศของความเป็นชนบท ละแวก ต.ป่าแดด อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เป็นฐานที่มั่น
“เบื่อกรุงเทพฯ อยากจะไปเขียนรูป” คือเหตุผลสั้นๆ ที่เขาเคยบอกเล่าแก่ภรรยาและบรรดาเพื่อนสนิท ไร้ซึ่งถ้อยคำฟุ้งฝัน ...ฉันจะไป..เพื่อจะเป็น...หรือยึดมั่นกับวิถีใด
“ปู่เขาจะเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดหรอก ว่าเขาฝันจะไปทำอะไรหรือไปเป็นอะไร เขาคิดจะรีไทร์ตัวเอง เขาก็รีไทร์ ไม่ได้ประกาศกับใครว่าอยากจะไปเป็นศิลปิน แต่เท่าที่รู้จักกันมา ผมคิดว่าเขาคิดอยู่ในใจตลอดเวลา
"เขาเป็นคนที่วางแผนชีวิต เป็นคนมีระเบียบมาก วางแผนว่าตัวเองจะทำอะไร แต่จะเป็นคนที่ไม่ชอบบอกให้ใครรู้ ไม่ใช่ว่าปิดบังอะไร แต่เขาจะเป็นคนที่ไม่ค่อยคุยเรื่องส่วนตัวให้ใครฟังมากนัก”
ชูเกียรติ เจริญสุข ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท Euro R S C G Flagship จำกัด หนึ่งในเพื่อนรักของเกษมศักดิ์ ซึ่งคบหากันมาตั้งแต่ครั้งที่ทั้งคู่ยังศึกษาอยู่ที่โรงเรียนไทยวิจิตรศิลป์ ก่อนที่จะกอดคอกันแหววสู่รั้วโรงเรียนช่างศิลป์ กรมศิลปากร และคณะจิตรกรรมฯ ม.ศิลปากร กระทั่งร่วมงานกันในสายอาชีพโฆษณา ...ให้ความเห็น
แต่กลับกลายเป็นว่าการนับหนึ่งของเกษมศักดิ์ มันคือการนับหนึ่งเพื่อถอยหลังคืนสู่ศูนย์ ปี พ.ศ.2548 เขาถูกโรคมะเร็งปอดคุกคามชีวิต ประคองตัวประคองใจอยู่ได้ราวสองปี วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2550 เกษมศักดิ์หมดลมหายใจ ทิ้งงานศิลปะไว้ให้ดูต่างหน้า
*เพลิงชีวิต
แม้ร่างของเกษมศักดิ์ได้ถูกเผามอดไหม้ไปแล้วพร้อมกับเปลวเพลิง แต่เพลิงชีวิตของเขาได้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง ด้วยผลงานที่เขาสร้างขึ้นในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิต
ปลายเดือนตุลาคม 2550 ผลงานวาดเส้น จิตรกรรม และภาพพิมพ์ รวม 60 ชิ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของผลงานราว 200 ชิ้นของเขา ถูกขนย้ายลงมาจากบ้านที่เชียงใหม่ เพื่อมาติดแสดงที่ผนังหอศิลป์จามจุรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยความร่วมมือร่วมใจของบรรดาเพื่อน 'จิตรกรรมฯ รุ่นที่ 29' ที่อยากสานฝันของเกษมศักดิ์ให้เป็นจริง ทดแทนหนังสืองานศพที่ไม่มีทำแจกในวันเผาเพื่อน
ก่อนหน้าที่จะตรวจพบโรคร้ายในร่างกายและอำลาจากโลกนี้ไปในที่สุด เกษมศักดิ์ได้วางแผนที่จะจัดแสดงเดี่ยวผลงานศิลปะ ครั้งที่ 3 ของตัวเอง อีกทั้งได้จองพื้นที่หอศิลป์จามจุรีไว้แล้ว เนื่องจากว่าหอศิลป์แห่งนี้ศิลปินต้องจองกันข้ามปี เพราะมีคิวจัดแสดงยาวเหยียด
ขณะที่การแสดงเดี่ยวผลงานศิลปะ ครั้งที่ 1 และ 2 'มนุษย์..มนา' (Human) ปี 2548 และ 'หน้าเปลือย' (Naked) ปี 2549 เคยถูกจัดขึ้น ณ หอนิทรรศการศิลปวัฒนธรรม คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และได้รับการตอบรับจากแฟนผลงานเป็นอย่างดี
แม้แฟนผลงานส่วนใหญ่จะไม่ใช่นักสะสมงานศิลป์ที่มีชื่อเสียง แต่ก็เป็นผู้ที่ตามติดดูงานของเขามาอย่างสม่ำเสมอ และมักเป็นผู้ที่ซื้อไปชื่นชมมากกว่าหวังทำกำไร
“ผมติดตามงานเขามาเมื่อไม่นาน ผมชอบงานเขา เพราะมันเป็นงานที่แรงมาก เขากล้าทำ โดยเฉพาะงานวาดเส้นด้วยหมึกบนกระดาษสา มันสวยมาก”
เลียม อยุทธ์กิจ ประธานกรรมการบริษัท พรอพเพอร์ตี้ แคร์ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด หรือ PCS บอกเล่า ในวันที่เดินทางมาจับจองผลงานของเกษมศักดิ์จำนวน 9 ชิ้น ก่อนการตัดริบบิ้นเปิดนิทรรศการ Lust for Life ซึ่งมี ไชยยันต์ เศรษฐไพศาล แห่ง Spindler & Associates เป็นประธาน
มีเพียงเพื่อนและ “ราษี ศรบรรจง” ภรรยาของเกษมศักดิ์เท่านั้นที่อยู่ร่วมสนทนา ขณะที่ภาพถ่ายขยายเท่าตัวจริงของเกษมศักดิ์บนแผ่นไม้อัด ถูกติดตั้งไว้กลางห้องนิทรรศการเป็นสัญลักษณ์แทนตัวเขา
นักธุรกิจผู้ไม่เคยฝืนใจซื้อในสิ่งที่ไม่ชอบและถือคติ “ถ้าคิดจะทำกำไรจากงานศิลปะ ไปเล่นหุ้นจะดีกว่า” เผยว่ามีโอกาสได้เห็นผลงานของเกษมศักดิ์ครั้งแรกที่หอศิลป์คณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
ซึ่งครั้งนั้นน่าจะเป็นครั้งที่เกษมศักดิ์แสดงผลงานร่วมกันกับเพื่อนศิลปินหญิงร่วมรุ่นคณะจิตรกรรมฯ ศรีวรรณ เจนหัตถการกิจ ในนิทรรศการชุด หน้าต่างสองบาน (The Two windows)
“ผมตามไปดูผลงานของเขาอีกครั้งที่มอชอ ผมซื้องานของเขามาหลายภาพ ตอนนั้นคุณเกษมศักดิ์ สุขภาพไม่ค่อยจะดีแล้ว ครั้งสุดท้ายที่เจอเขา เขาไม่สบายมาก ไม่อยากจะรบกวนเขา เพราะเขาไม่ค่อยมีแรงพูดเยอะ เพียงแค่ชมว่างานเขาสวยมาก”
ด้านชูเกียรติฉายภาพว่า หลังจากที่เกษมศักดิ์ป่วย ทุกครั้งที่ลงมือทำงานศิลปะ เกษมศักดิ์ทำงานเหมือนคนที่คิดว่าตัวเองจะไม่มีวันพรุ่งนี้อีกแล้ว
“เขาจะรีบทำมาก และกล้า นึกจะเพนต์อะไรก็เพนต์ ไม่ว่าจะเป็นงานดรออิ้ง หรืองานเพนต์ ทีแปรงค่อนข้างจะแรงและมีพลังมาก”
ช่วงเวลาสุดท้ายก่อนจากกันชั่วชีวิต ขณะที่ชูเกียรติปลอบเพื่อนไม่ให้เป็นทุกข์กับเวลาของชีวิตที่เหลือน้อยลงเต็มทีด้วยบางประโยคที่ว่า "ชีวิตนี้ได้ทำในสิ่งที่อยากทำมาพอแล้ว" เกษมศักดิ์เองได้เป็นฝ่ายขอร้องให้ชูเกียรติช่วยเขียนอธิบายถึงชื่อ นิทรรศการ Lust for Life แก่ผู้ชม ผ่านสูจิบัตรนิทรรศการแทนตัวเขาซึ่งไม่อาจอยู่อธิบายได้
ชื่อนิทรรศการที่เป็นชื่อเดียวกันกับหนังสือ Lust for Life หรือ ‘ไฟชีวิต’ ที่ Irwing Stone เขียนถึง Van Gogh
สำหรับเกษมศักดิ์แล้ว มันเป็นชื่อที่บันดาลไอเดียให้เขาเวลาที่ทำงานศิลปะ แต่ชื่อภาษาไทยของนิทรรศการ เขาตั้งใจอยากให้ชื่อว่า “เพลิงชีวิต” ซึ่งกร่อนมาจาก “เชื้อเพลิงชีวิต”
“กูมองว่าตัณหามันเหมือนเชื้อเพลิงที่ป้อนพลังงานให้แก่ชีวิตเรา มันเตือนเราให้ลืมตาตื่นในตอนเช้า ถีบเราลงจากเตียง เร่งให้เราออกจากบ้าน มุ่งไปข้างหน้า ออกไปล่าชื่อเสียงเงินทอง ความรื่นรมย์มาปรนเปรอชีวิต เมื่อเราประสบความสำเร็จในการล่า ตัณหามันจะกระตุ้นหัวใจให้เต้นแรงด้วยความปิติ เพื่อให้เราเสพติดในการ 'ได้' สิ่งนั้น”
แต่เมื่อเราพลาดในการล่ามันก็จะลงโทษเรา ทำให้เราอ่อนแอ ท้อแท้ บีบให้หัวใจเราเต้นช้าเพื่อให้เราพยายามมากขึ้นในคราวหน้า มันจะวนเวียนอยู่อย่างนี้นับวันนับเดือนมาเป็นปีๆ จนเรายึดเอาว่านี่แหละชีวิต”
เชื้อเพลิงชีวิตไม่มีวันหมด เกษมศักดิ์เชื่อเช่นนั้น
“ถ้ายังวนเวียนชีวิตซ้ำซากอยู่ในวงจรนี้ มันไม่มีวันหมด ที่แย่คือมันมีแต่จะเพิ่มขึ้น เพราะทุกครั้งที่เราล่าได้หรือไม่ได้ เราจะเกิดอาการเสพติดความต้องการมันจะเพิ่มมากขึ้น ก็เหมือนกับการเติมเชื้อเพลิง กลับผลักดันให้เราต้องไปต่อ...ไม่จบ”
...วันนี้ปู่หยุดเติมเชื้อเพลิงให้ชีวิต และวงจรนั้นหยุดสนิท สิ่งที่เหลืออยู่คือผลงานศิลปะจำนวนมากที่เปรียบเสมือนบันทึกของการดิ้นรน ไล่ล่า ไขว่คว้า ตลอดช่วงเวลา 50 กว่าปีของปู่ ในขณะที่เชื่อเพลิงนั้นยังขับเคลื่อนชีวิตอยู่...
ชูเกียรติกล่าวไว้ในช่วงท้ายๆ ของ ‘Lust for Life บทสัมภาษณ์ 25 น.’ ซึ่งถูกตีพิมพ์ไว้ในสูจิบัตรนิทรรศการ นอกเหนือจากสิ่งที่ได้ตกปากรับคำเพื่อนไว้
*นักวาดเส้นมือหนึ่ง
ดอกคูนเสียงแคนแดนดินที่ราบสูง จ.ขอนแก่น โปรยทางนำพาชีวิตเกษมศักดิ์มุ่งสู่กรุงเทพฯ จากชั้นเรียนแรกที่บ้านเกิด ในวัย 10 ขวบ เขาเข้าชั้นเรียนใหม่ที่โรงเรียนเทเวศร์ศึกษา กระทั่งฉายแววด้านศิลปะให้เพื่อนร่วมรุ่นโรงเรียนช่างศิลป์ได้จดจำ เหตุเพราะจัดอยู่ในกลุ่มท็อปเท็นของชั้นเรียน ที่มักมีผลงานถูกนำไปติดบอร์ดเป็นประจำ ในวิชาสำคัญๆ อย่างวาดเส้น, จิตรกรรมสีน้ำ, องค์ประกอบศิลป์ ฯลฯ และยังเคยได้รับรางวัลที่ 1 ประเภทวาดเส้น ในงานประกวดศิลปะของนักเรียนโรงเรียนช่างศิลป์ ประจำปีการศึกษา 2514
เมื่อสอบเข้าเรียนในระดับปริญญาตรีที่ คณะจิตรกรรมฯ ความสามารถที่โดดเด่นเกี่ยวกับการวาดเส้น หรือ Drawing ของเขา การันตีด้วยคะแนนเต็ม 100 คะแนน ที่ยากจะมีนักเรียนหรือผู้สอบเข้ารายใดทำได้ในเวลานั้น และได้รับรางวัลที่ 1 ประเภทภาพ ‘ลายไทย’
ศิลปินอาวุโส ชะลูด นิ่มเสมอ กล่าวถึงเกษมศักดิ์ไว้ในสูจิบัตรนิทรรศการ “Lust for Life-เพลิงชีวิต’ ตอนหนึ่งว่า
“เขาเป็นคนที่มีฝีมือมาก โดยเฉพาะในงานวาดเส้น เราพูดกันเสมอถึงการทำงานศิลปะที่ต้องไปพร้อมกันทั้งมือ สมอง และใจ บางครั้งมือไปก่อน แต่พยายามให้ใจตามทัน"
ขณะที่ศิลปิน ปริญญา ตันติสุข เพื่อนร่วมรุ่นโรงเรียนช่างศิลป์และคณะจิตรกรรมฯ ก็เปิดปากยืนยันถึงความสามารถในด้านการวาดเส้นของเกษมศักดิ์เช่นกันว่า
“ด้วยความที่เขามีความแม่นและมีความมั่นใจในการวาดเส้น เขาจะใช้ปากกาเขียน แตกต่างกับคนอื่นซึ่งมักจะใช้ดินสอแล้วก็แรเงา ความโดดเด่นในเรื่องวาดเส้นของเขา มันส่งผลมาในงานชุดหลังๆ โดยเฉพาะชุดที่เขาทำมาตั้งแต่ปี 2549-2550 สิ่งหนึ่งที่เราสามารถเห็นได้ชัดเจนก็คือความกล้าหาญในการใช้ฝีแปรงของเขา”
ในช่วงชีวิตของการเป็นนักเรียนศิลปะ ชูเกียรติบอกว่างานวาดเส้นของเกษมศักดิ์ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปิน ถวัลย์ ดัชนี ก่อนจะคลี่คลายเป็นตัวของตัวเองในที่สุด
“เพราะช่วงนั้นปู่จะดรออิ้ง คล้ายๆ คุณถวัลย์ และสมัยที่เราเริ่มต้นเรียนศิลปะด้วยกัน ผมกับปู่ชอบไปดูงานของคุณถวัลย์กัน แล้วเราก็เอามาก็อบปี้บ้าง ทำอะไรบ้าง อิทธิพลคงมาอย่างนั้น สังเกตเห็นในงานเขาอยู่บ้าง ในช่วงที่เขาเริ่มต้นทำงานศิลปะ หลังจากที่รีไทร์ตัวเองจากงานโฆษณาใหม่ๆ แต่ปู่เขาจะเป็นคนที่มีพรสวรรค์มาก น่าจะเก่งที่สุดในบรรดาเพื่อนในรุ่น ในแง่ของดรออิ้ง หาได้ไม่กี่คนที่จะดรออิ้งได้เก่งอย่างปู่”
ไม่แปลกอะไรที่ทุกคนลงความเห็นเช่นนั้น เพราะตลอดชีวิตของเกษมศักดิ์ ไม่ว่าเขาเดินทางไปไหนมาไหน ใกล้หรือไกล เขามักจะพกพากระดาษสำหรับ Drawing ติดตัวไปด้วยตลอด
*อดีตคนโฆษณาผู้ก่อตั้ง ‘แฟลกชิพ’
...หลังพ้นชีวิตมหาวิทยาลัย เกษมศักดิ์มีรายได้เลี้ยงชีวิตจากงานวาดการ์ตูน ออกแบบปกหนังสือ ออกแบบการ์ด โดยเฉพาะงานออกแบบปกและวาดการ์ตูนหนังสือแม่และเด็ก ฉบับ ‘คุณหนู’ และทำงานออกแบบการ์ดที่ บริษัท นนทิกร จำกัด แล้วหันเหไปทำงานโฆษณาหลายบริษัทด้วยกันในช่วงระยะเวลาสิบกว่าปี ไม่ว่าจะเป็น บริษัท CP&S จำกัด, บริษัท Four Scope จำกัด, บริษัท Lobster จำกัด, บริษัท Chuo Senko (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท Lintas (ประเทศไทย) จำกัด
กระทั่งในปี 2537 เขาและหุ้นส่วนชาวญี่ปุ่นเปิดบริษัทโฆษณาขึ้นในชื่อ บริษัท Flagship จำกัด ซึ่งในปัจจุบันผลัดใบเป็น บริษัท Euro R S C G Flagship จำกัด และบริหารงานโดยชูเกียรติและหุ้นส่วน เพราะเมื่อแฟลกชิพดำเนินการมาได้ราว 6 ปี เกษมศักดิ์ก็รีไทร์ตัวเองไปทำงานศิลปะเต็มเวลา
“ปู่คงจะเป็นคนที่ nice เกินไปที่จะอยู่ในวงการโฆษณา จะว่าไปแล้วในสายอาชีพนี้ เขาประสบความสำเร็จระดับหนึ่งเท่านั้นเองเมื่อเทียบกับความสามารถที่เขามีอยู่ อาจจะเป็นเพราะว่าเขาเป็นคนที่ nice เกินไป การเป็นครีเอทีฟโฆษณา มันค่อนข้างที่จะเป็นคนไม่ค่อย nice เท่าไหร่ มันต้องมีความกล้า ในแง่ของการคิดงาน ทำงาน ค่อนข้างจะต้องดื้อ แต่ปู่จะเป็นคน nice กับคนรอบข้างมาก ไอ้ตรงนี้มั้งที่อาจจะทำให้เขาไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร” ชูเกียรติลงความเห็น
*เพื่อนชีวิต
การเป็นมิตรผู้กว้างขวาง เป็นผู้มีจิตใจดี ตลอดจนพรสวรรค์ที่มีอยู่ในตัวหลายด้าน ส่งผลให้เกษมศักดิ์เป็นที่รักใคร่ของบุคคลรอบข้างและบรรดาเพื่อนฝูง ในช่วงวัยเรียนเขาถือเป็นคนหนึ่งที่ยกให้เป็นฮีโร่ในหมู่เพื่อน
“เขาอาจจะเป็นเพื่อนในไม่กี่คนที่คุยกันได้หมดทุกเรื่อง ไม่ว่าจะคุยเรื่องปรัชญา ศาสนา ประวัติศาสตร์ ศิลปะ เพลง ปู่จะเป็นคนสนใจอะไรหลากหลาย เขาเป็นคนมีพรสวรรค์หลายด้าน โดยเฉพาะด้านดนตรี เขาเป็นนักร้องที่ร้องเพลงเก่งมากคนหนึ่ง เพราะเขาจะเป็นคนชอบฟังเพลง ชอบเก็บสะสมเพลงทุกยุคทุกสมัย มีคอลเลกชันซีดีเยอะมาก”
เพื่อนรักเช่นชูเกียรติบอกเล่า ซึ่งเรื่องนี้ศิลปินเจ้าของภาพสีหวาน สรรณรงค์ สิงหเสนี ก็น่าจะเป็นอีกผู้หนึ่งที่เห็นด้วย เพราะมักโชว์ลูกคอ ร้องเพลงและเล่นดนตรีด้วยกันบ่อยๆ
ก่อนหน้านั้นชูเกียรติ เคยหวังว่าปาฏิหาริย์จะมีจริงเพราะหากเกษมศักดิ์หายป่วย ทั้งคู่ตั้งใจจะไปทัวร์ยุโรปด้วยกัน
“เคยบอกกับเขาว่า ถ้าเขาหาย จะพาเขาไปเที่ยวอิตาลี เพราะเขาชอบอิตาลี”
จนกระทั่งถึงช่วงเวลาวิกฤติของชีวิต แม้จะได้รับคำตอบจากปากเพื่อนว่าไม่กลัวและไม่ห่วงอะไรอีกแล้ว แต่ชูเกียรติก็อดคิดไม่ได้ว่า เพื่อนผู้ชอบเก็บความรู้สึกและไม่ชอบเปิดเผยปัญหาให้ใครรับรู้เช่นเกษมศักดิ์ อาจบิดเบือนในสิ่งที่ใจคิดจนวาระสุดท้าย
“ด้วยความที่เขาเป็นคนไม่พูด เราเลยห่วงว่าเขาจะยังยึดมั่นอยู่ว่าตัวเองจะหาย ผมเลยบอกเขาไปว่าชีวิตเขา พอแล้วล่ะ เขาได้เดินทางไปทั่วโลกแล้ว ได้ใช้ชีวิตทุกรูปแบบ ได้เสพ ได้กินอะไรมาหมดแล้ว ไม่ควรจะมีอะไรที่ต้องห่วงหา หรือเสียดายอะไรอีกแล้ว ใช้ชีวิตพอแล้ว”
ภายหลังการจากไปของเกษมศักดิ์ ราษี ศรบรรจง ภรรยาคู่ชีวิตของเขาได้ชักชวนสมัครพรรคพวกหลายคนไปร่วมกันเขียนภาพประดับวัดที่จังหวัดลำปาง โดยหวังว่าสิ่งดีๆ ที่ทำจะเป็นบุญที่ส่งไปเกื้อหนุนสามีในชาติต่อๆ ไป
ก่อนหน้านี้เกษมศักดิ์เคยบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอให้ตัวเองหายป่วย และตั้งใจไว้ว่าจะเขียนภาพเกี่ยวกับหิมพานต์ถวายให้แก่วัด
แม้สิ่งที่เขาบนบานไว้จะไม่เป็นไปตามใจหวัง แต่ราษีก็สานต่อความตั้งใจของผู้เป็นสามีต่อไป เพื่อเป็นการตอบแทนความเป็นเพื่อนชีวิตที่ดีที่เธอสัมผัสความดีนั้นได้มาตั้งแต่เมื่อครั้งที่เขาและเธอเป็นนักเรียนช่างศิลป์กลุ่มเดียวกัน รวมถึงการใช้เวลาร่วมกันมายาวนานในฐานะคู่ชีวิต
“เราคบกันมาแบบเพื่อน เขาเป็นเพื่อนที่ใจดี มันก็เลยผูกพัน สิ่งที่เราทำ มันเหมือนเราทำให้เพื่อน และทุนการศึกษาที่เขาเคยมอบให้โรงเรียนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนที่เขาเคยเรียนที่ขอนแก่นหรือที่อื่นๆ ก็จะไม่เลิกให้ เพราะเราถือว่าเราพอมี เราก็ต้องแบ่งปัน”
ราษีบอกถึงความตั้งใจท่ามกลางของต่างหน้าหลายชิ้นบนผนังห้องแสดงงานที่ดูเหมือนมีชีวิต และกำลังสนทนากับผู้ชมทางสายตา แทนคำพูด
สิ่งของต่างหน้าของ “ศิลปิน” คือ “ศิลปะ แล้วเราล่ะ เมื่อเวลานั้นของชีวิตแวะเวียนมาทักทายบ้าง สิ่งของต่างหน้าเรา ...ควรคืออะไร
*************
เรื่อง-ฮักก้า