พม่าบุก! แรงงานพม่ากำลังจะยึดเมืองไทย !
เสียงอื้ออึงทำนองนี้แพร่สะพัดไปทั่ว ภายหลังจากที่สื่อบางฉบับนำเสนอข่าวกรณีที่แรงงานอพยพสัญชาติพม่า ซึ่งเข้ามาตั้งรกรากและทำมาหากินในพื้นที่ อ.มหาชัย จ.สมุทรสาคร จำนวนนับแสนคน คิดเป็นจำนวนกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรที่เป็นคนไทย
หน่วยงานด้านความมั่นคง เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในพื้นที่ต่างไม่อยู่นิ่งเฉย มีการสุ่มตรวจและออกจับแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายไม่เว้นแต่ละวัน ขณะที่อีกส่วนหนึ่งก็จับตามองความเคลื่อนไหวของ 'ชาวพม่า' เหล่านี้อย่างใกล้ชิด เพราะเกรงว่าอาจมีการใช้เมืองไทยเป็นฐานกำลังเพื่อเคลื่อนไหวเรียกร้องทางการเมือง ต่อต้านรัฐบาลทหารพม่า
สถานการณ์ยิ่งดูสุ่มเสี่ยงแหลมคมยิ่งขึ้น เมื่อมีการเปิดเผยข้อมูลว่า มีการตั้งตัวเป็น 'มาเฟีย' ทั้งค้ายาเสพติดและแรงงานเถื่อนผิดกฎหมายในชุมชนแรงงานต่างด้าว แม้กระทั่งบุคคลระดับรองนายก อบต. ก็ยังออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ทุกวันนี้คนไทยในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร แทบไม่มีที่ยืน หันไปทางไหนก็เห็นแต่คนต่างด้าว พูดจาภาษา 'พม่า' เกลื่อนถนนหนทางไปหมด แม้กระทั่งวัดที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยก็ยังถูก 'ยึด' จนคนไทยไม่มีที่ทำบุญ ตอกย้ำความเชื่อที่ว่าพม่าจะมา 'ยึดเมือง' ยิ่งขึ้นไปอีก
"หากไม่มีการจัดระเบียบโดยเร็วเชื่อแน่ว่าอีกไม่นานคนไทยคงไม่อยากอยู่ที่ จ.สมุทรสาคร เพราะวิถีชีวิตดั้งเดิมเปลี่ยนไปหมดแล้ว แม้กระทั่งวัดวาอารามก็ยังถูกต่างชาติเข้าไปใช้ประกอบพิธีทางศาสนาแทนคนไทย บางวัดมีต่างด้าวเข้าไปใช้สถานที่จัดงานวัดชาติด้วยซ้ำ ไม่เข้าใจว่าทำไมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงปล่อยให้เป็นเช่นนี้" (หนังสือพิมพ์คมชัดลึก 24 กันยายน 2550)
ไม่ได้ปฏิเสธว่า ข้อมูลข้างต้นไม่เป็นความจริงเสียทั้งหมด แต่ทว่ายังมีอีกด้านหนึ่งของมหาชัยที่ซุกซ่อนแง่มุมเล็กๆ มากมายที่คนภายนอกไม่เคยเห็น หรืออาจจะมองข้ามไป เพราะมัวตะลึงกับภาพใหญ่ที่ตกเป็นข่าว จนอาจละเลยความเป็น 'มนุษย์' ที่มีมาก่อนคำว่ารัฐชาติหรือเผ่าพันธุ์เสียอีก
เปิดใจให้กว้าง...รับฟังเรื่องราวจากหลายแง่มุม แล้วค่อยตัดสินก็ยังไม่สาย
-1- มุมมองและอคติ
แม่น้ำท่าจีนปลายฤดูฝนไหลเอื่อย เรือประมงหลายลำจอดเทียบท่าอยู่ริมฝั่ง วิถีชีวิตผู้คนสองฟากลำน้ำต่างใช้เรือเป็นพาหนะสัญจรไปมาหาสู่ ตั้งแต่เรือพายลำเล็กเหมือนเช่นในอดีต ไปจนถึงเรือข้ามฟากลำใหญ่ในปัจจุบัน ขณะที่มองดูเรือเหล่านั้น อดนึกไปถึงบทเพลงเก่าของชรินทร์ นันทนาคร ที่เล่าถึงความรักของหนุ่มท่าฉลอมกับสาวมหาชัยที่มีแม่น้ำสายนี้คั่นกลางอยู่ไม่ได้
บางครั้งความหวัง ความฝันของคนเราก็มีสายน้ำคั่นอยู่ กว่าจะถึงฝั่งฝัน หลายครั้งก็แทบหมดแรงเงื้อฝีพาย แต่ในดินแดนที่แม่น้ำแห่งสงครามไหลทอดผ่านไปทั่วทุกหัวระแหง ผู้คนจำนวนหนึ่งยอมสละเรือละทิ้งความหวังทุกสิ่ง หอบเพียงชีวิตรอดเพื่อมาเผชิญหน้ากับแม่น้ำสายใหม่เท่านั้น
สุกัญญา เบาเนิด นักวิจัยเรื่องแรงงานข้ามชาติ จ.สมุทรสาคร เป็นอีกผู้หนึ่งที่คลุกคลีกับวิถีประเพณีของชนชาติมอญมาตั้งแต่กำเนิด เพราะเธอสืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษที่เป็นชาวมอญแท้ๆ ที่มาตั้งรกรากอยู่ที่นี่นับร้อยปีจนแตกลูกหลานกลายเป็นคนไทยเชื้อสายมอญในปัจจุบัน
แม้จะมีเชื้อสายมอญอยู่ในตัว แต่สุกัญญาก็รู้สึกว่าเธอและครอบครัวคือคนไทยคนหนึ่ง การได้สัมผัสโลกทั้งสองด้านนี้เอง ทัศนะเกี่ยวกับประเด็นแรงงานอพยพชาวมอญของสุกัญญาจึงมองด้วยความเข้าใจ และปลอดอคติทางชาติพันธุ์
"คนมอญอยากให้คนไทยมองเห็นตัวตน จิตใจที่แท้จริงของคนก่อนที่จะมีคำว่ารัฐชาติ ต้องทำความเข้าใจ รู้จักซึ่งกันและกัน ทั้งตัวตน วิธีคิดและการแสดงออก หากย้อนกลับไปมองประวัติศาสตร์ความเป็นมาทางการเมือง เราจะเห็นว่าพม่าเป็นชนชาติหนึ่ง และมอญก็เป็นอีกชนชาติหนึ่ง จนเกิดการผสมผสานกลมกลืนทางวัฒนธรรมในเวลาต่อมา" ซึ่งในการทำงานวิจัย สุกัญญาพบสิ่งที่เรียกว่า 'อคติทางชาติพันธุ์' หรือมายาคติของคนไทยจำนวนไม่น้อยที่มีต่อคนพม่า
"ที่ผ่านมาปัญหาแรงงานพม่าล้นเมืองมหาชัย ถูกมองด้วยสายตาของความมั่นคงและเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว ไม่มองมิติทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรมและมานุษยวิทยา เราควรให้โอกาสคนที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้แสดงความคิดเห็น ไม่มองคนที่อยู่ที่นี่แค่ว่าเป็นแรงงานที่ผิดกฎหมาย หรือสร้างปัญหาสภาพแวดล้อม แต่ควรเปิดพื้นที่เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน"
สุกัญญาเชื่อมั่นว่า "ถ้าอ่านมหาชัยออก ก็จะอ่านการเมืองพม่าออกเหมือนกัน" เพราะพื้นที่แห่งนี้เป็นแหล่งที่อยู่ของแรงงานอพยพจำนวนมาก จึงควรเตรียมพื้นที่ให้พร้อมรับมือกับปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในพม่า เพราะในอนาคตต้องมีผู้ลี้ภัยและแรงงานอพยพซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ เข้ามาในเมืองไทยเพิ่มมากขึ้น
-2- รากเหง้าแห่งวิถี
กอผักตบสีเขียวไหลเรื่อยมาตามน้ำปะปนกับเศษขยะ ในสายตาบางคนมองว่ามันคือสวะ เพราะเป็นพืชที่ลอยล่องไปเรื่อยสุดแต่กระแสน้ำจะพัดพาไป แต่คนเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต่างจากผักตบ เพราะการที่ไร้บ้าน ไม่ได้หมายความว่าพวกเขา 'ไร้ราก'
รูปปั้นหงส์สีทองขนาดใหญ่ภายในวัดโคกหรือวัดศรีบูรณาวาสที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ คือสัญลักษณ์อันหมายถึงเมืองหงสาวดีของชนชาติมอญ เช่นเดียวกับวัดศิริมงคลที่มีสัญลักษณ์แบบมอญ ไปจนถึงชุมชนไทยเชื้อสายมอญล้วนอย่างวัดเกาะที่มีสถาปัตยกรรมแบบมอญสมัยอยุธยา
ทั้งนี้ มีหลักฐานการตั้งชุมชนมอญเก่าแก่ในย่านมหาชัย จ.สมุทรสาคร มาอย่างน้อยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 โดยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้สร้างป้อมและขุดคลองสุนัขหอน และโปรดฯ ให้ยกครัวมอญในเจ้าพระยามหาโยธา ไปทำมาหากินที่จังหวัดสมุทรสาคร เมื่อ พ.ศ.2371 สอดคล้องกับคำบอกเล่าของสุกัญญาที่ว่า ที่สมุทรสาครมีกลุ่มชาติพันธุ์มอญอยู่อาศัยมานานนับ 200 ปีแล้ว
สุกัญญาเล่าต่อว่า รอบๆ วัดโคกนั้นเดิมเป็นที่อยู่อาศัยของคนไทยเชื้อสายมอญ ทางวัดมักจะมีพระสงฆ์จากเมืองมอญมาจำพรรษาอยู่เสมอ พุทธศาสนิกชนที่มาทำบุญที่วัดจึงมีทั้งมอญเมืองมอญและมอญเมืองไทย
ปัจจุบัน บริเวณไม่ไกลจากวัดแห่งนี้มีแรงงานมอญอพยพเช่าบ้านอยู่รายรอบ เรียกว่าชุมชน 'มหาชัยนิเวศน์' คนมอญส่วนใหญ่ทำงานโรงงานในละแวกโดยรอบ บ้างก็เปิดร้านค้าแบบมอญเมืองมอญ มีการนำสินค้าจากพม่าเข้ามาขาย โดยผ่านทางคนมอญสังขละบุรี
ตลาดมหาชัยนิเวศน์ มีสินค้าอุปโภคบริโภคจากเมืองมอญนานาชนิดจำหน่าย ทั้งอาหารสดอาหารแห้ง อย่าง พริก ผักสดพื้นบ้าน หมากพลูที่จีบขายกันเป็นคำๆ กับข้าวอาหารคาวหวานที่ปรุงรสอย่างมอญแท้ๆ ไปจนถึงเทปเพลง ซีดีคาราโอเกะภาษามอญก็หาซื้อได้ที่นี่
ยามเย็นที่เราไปเยือนนั้น จึงเห็นภาพชาวมอญนุ่งโสร่งใส่ผ้าถุง ประแป้งพม่าที่เรียกว่าตะนาคา เดินเลือกซื้อหากับข้าวมื้อเย็น ขณะที่แรงงานในชุดหนุ่มสาวโรงงานจำนวนหนึ่งก็เพิ่งเลิกกะกลับถึงบ้าน บรรยากาศคึกคักคล้ายต่างจังหวัดบางแห่งของประเทศไทย เพียงแต่ภาษาที่ได้ยินทั่วไปไม่ใช่ภาษาไทยเท่านั้นเอง
อาจเป็นเพราะเหตุนี้ เมื่อมีคนไทยเข้ามาที่นี่จึงรู้สึกแปลกแยก ไม่กลมกลืน นำไปสู่ความรู้สึกที่ว่าแรงงานต่างด้าวเหล่านี้กำลังจะมายึดเมือง
ในความเป็นจริงแล้ว 'บ้าน' ของชาวมอญในชุมชนมหาชัยนิเวศน์ มีตั้งแต่ห้องเช่าเล็กๆ ราคาถูกปลูกสร้างอยู่ใกล้กองขยะ ไปจนถึงตึกแถวที่เจ้าของคนไทยนำมาแบ่งซอยเป็นห้องๆ คล้ายคอนโดให้เช่าอยู่ด้านหลังตลาด บางห้องอยู่อาศัยกันทั้งครอบครัวเกือบสิบชีวิต ภายในห้องเล็กๆ ห้องเดียว
วันที่แขกแปลกหน้ากลุ่มใหญ่อย่างพวกเราเข้าไปในชุมชนนั้น สายตาของชาวมอญส่วนใหญ่ต่างจับจ้องอยู่ห่างๆ คำถามที่ได้รับอยู่เสมอๆ ก็คือ พวกเรามาทำอะไร? อาจฟังดูเหมือนข่มขู่ คุกคาม แต่ความจริงไม่ใช่ เราทราบสาเหตุภายหลังว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนทางเจ้าหน้าที่รัฐยกกำลังมากวาดจับแรงงานต่างด้าวที่นี่ไปนับร้อย ความระมัดระวังจึงอาจดูคล้ายระแวงภัย แต่เมื่อทราบว่าผู้มาเยือนมาอย่างมิตร รอยยิ้มก็ปรากฏตามมาหลังจากนั้นตลอดการเดินทาง
ด้วยความที่สมุทรสาครมีชาวไทยเชื้อสายมอญตั้งรกรากอาศัยมาตั้งแต่ในอดีต ทำให้คนไทยบางส่วนสามารถติดต่อสื่อสารกับแรงงานมอญอพยพได้ ในปี 2533 ที่มีการหลั่งไหลของแรงงานอพยพจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาในประเทศไทยมาก แรงงานต่างด้าวชาวพม่าเชื้อสายมอญจึงนำพาอัตลักษณ์ของชนชาติตนมาเผยแพร่ต่อชาวไทยเชื้อสายมอญที่ส่วนใหญ่ลืมเลือนอัตลักษณ์ดั้งเดิมไปเกือบหมดแล้ว
"ก่อนหน้านี้เราจะใช้ภาษามอญแค่ในชุมชน พอมีแรงงานอพยพเข้ามา ปัจจุบันก็เริ่มใช้ภาษาพูดเวลาไปตลาดหรือนอกชุมชน คนในพื้นที่เริ่มปรับตัวตามแรงงานมอญต่างด้าว ความรู้สึกคนมอญในเมืองไทยก็ยังมีการแบ่งชั้น เรารู้สึกว่าเราเป็นคนไทย แต่เขาเป็นแรงงาน แต่ท่ามกลางการแบ่งชั้นก็ยังมีจุดเชื่อมคือใช้ภาษาเดียวกัน จากปรากฏการณ์ที่เฝ้าสังเกต ผลกระทบที่ชาวไทยเชื้อสายมอญได้รับก็คือ ภาษาพูดมอญก็เริ่มฟื้นคืนมา เช่นเดียวกับภาษาเขียน เริ่มมีป้ายเขียนเป็นภาษามอญในชุมชน"
การทำบุญ ก็เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของชาวมอญที่ได้ชื่อว่าเป็นศาสนิกชนที่เคร่งครัดอย่างยิ่ง เมื่อแรงงานมอญอพยพมาอยู่ที่นี่จำนวนมาก ก็ยังคงไปทำบุญที่วัดมอญในพื้นที่ไม่ขาด จนเกิดความเข้าใจผิดที่ว่าแรงงานเหล่านี้จะมาแย่งวัดคนไทยทำบุญ หนักไปกว่านั้น การรวมตัวทำบุญทางศาสนาของคนมอญจำนวนมาก ยังถูกทางการไทยเพ่งเล็งว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดงานรำลึกวันชนชาติมอญ ที่ถูกมองว่าเป็นการจัดงานปลุกระดมกู้เอกราช
พระปลัดโนรา อภิวโร เจ้าอาวาสวัดศิริมงคล ต.บ้านเกาะ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ซึ่งเป็นวัดที่ปรากฏเป็นข่าวในกรณีแรงงานมอญข้ามชาติใช้เป็นสถานที่จัดงานวันชาติ ชี้แจงว่าการจัดงานวันชาติของแรงงานมอญอพยพนั้น เป็นเพียงการทำบุญประเพณีเพื่อรำลึกถึงบรรพบุรุษมอญที่ล่วงลับไป ไม่ใช่งานที่จัดขึ้นเพื่อเคลื่อนไหวทางการเมือง ขณะนี้ทางการได้ขอให้งดจัดงานชั่วคราว เพราะหลังจากที่ตกเป็นข่าวดังกล่าวก็ทำให้สถานการณ์ความมั่นคงในพื้นที่เปราะบางขึ้นมาทันที ทางวัดจึงให้ความร่วมมือ
"ข้างนอกจะจับก็จับไป แต่ถ้ามาจับถึงในวัดอาตมาก็พยายามขอร้องเจ้าหน้าที่ว่าเขามาทำบุญ ขอเถอะ เราก็เป็นชาวพุทธด้วยกัน ชาวบ้านรอบๆ วัดก็ไม่ได้เดือดร้อน เพราะคนไทยมักจะมาทำบุญตอนเช้า ส่วนคนมอญอพยพจะมาตอนกลางวัน"
-3- โลกที่ไม่เท่ากันของแรงงานพลัดถิ่น
ชุมชนตลาดกุ้ง ใน ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ซึ่งเป็นชุมชนขนาดใหญ่อีกแห่งที่มีแรงงานต่างด้าวจำนวนมากพักอาศัยอยู่ ด้วยสาเหตุที่ตั้งอยู่ใกล้กับตลาดกุ้ง ตลาดค้าส่งอาหารทะเลขนาดใหญ่ของมหาชัย จึงกลายเป็นถิ่นทำงานของคนไกลบ้านและเป็นแหล่งพำนักของแรงงานมอญอพยพ แต่กลับได้รับการขนานนามว่าเป็น 'เมียนมาร์ทาวน์'
ทั้งที่แท้จริงแล้ว แรงงานต่างด้าวที่นี่มีหลากหลายเชื้อชาติ ทั้งพม่า มอญ เขมร และลาว หาใช่มีแต่พม่า ในความเข้าใจของคนไทยส่วนใหญ่ไม่
อีกมุมหนึ่งซึ่งเป็นเสียงสะท้อนจากชาวมอญอพยพ สุรชัย อาจานัว แรงงานชาวมอญจากประเทศพม่า ให้สัมภาษณ์ผ่านเว็บไซต์ประชาไท (www.prachatai.com ) ถึงปัญหาของแรงงานข้ามชาติจากประสบการณ์กว่า 17 ปี ว่า แรงงานต่างชาติจะถูกกดดันในด้านการดำเนินชีวิต แม้แต่การปั่นจักรยานผ่านทางบางคนก็ถูกแกล้งถีบรถจนล้ม และมีแม้แต่กรณีการเคาะห้องแรงงานผู้หญิงแล้วเข้าไปข่มขืนในที่พักหลายราย ซึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้นก็ไม่สามารถนำไปปรึกษาหรือแจ้งกับใครให้เข้ามาช่วยเหลือได้ โดยเฉพาะแรงงานที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายและไม่ได้ขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวที่แม้ว่าจะพยายามทำงานสุจริตเพื่อไม่ให้มีความเดือดร้อนแต่บางครั้งก็ยังได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ในเรื่องภาษาในการสื่อสารก็เป็นอุปสรรคต่อความเป็นอยู่หรือการสื่อสารปัญหาต่างๆ ด้วย
สุรชัยยังกล่าวถึงประเด็นที่แรงงานข้ามชาติถูกมองว่ามาแย่งวัดคนไทยทำบุญ ว่า ไม่เข้าใจทำไมต้องมองเป็นการแก่งแย่ง ทั้งที่การทำบุญเป็นสิ่งดี แสดงถึงจิตใจอันบริสุทธิ์ และชาวมอญเองก็มีจิตใจเคารพและมีวิถีชีวิตที่ผูกพันอยู่กับพระพุทธศาสนา หากว่ามีการห้ามแรงงานในเรื่องนี้อีกชีวิตก็คงไม่มีที่ยึดเหนี่ยว เหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง
วิรัช วิลาวรรณ ครูผู้ดูแลโรงเรียนสอนเยาวชนมอญ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกหลานของแรงงานมอญอพยพ ชี้แจงว่า จ.สมุทรสาครไม่อาจขาดแรงงานต่างด้าว โดยเฉพาะแรงงานด้านประมงได้ เพราะเป็นงานที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ยอมทำ เนื่องจากงานทั้งหนักและสกปรก ค่าแรงน้อย มีแต่แรงงานต่างด้าวเท่านั้นที่ทำได้
"แรงงานในตลาดกุ้งสัก 100 คน คนไทยทำได้แค่ 10 คนเท่านั้น เพราะสภาพกลิ่นที่เหม็นมาก และสกปรก ค่าแรงก็ถูก คนไทยไม่ทำหรอก ทำไม่ไหว เพราะฉะนั้น ความจำเป็นเรื่องแรงงานของมหาชัยมีแน่นอน ถ้าไม่เอาพวกแรงงานต่างชาติ อุตสาหกรรมแทบทั้งหมดในสมุทรสาครก็คงต้องหยุด"
วิรัชกล่าวต่อว่า สำหรับแรงงานชาวมอญที่นี่รู้สึกตัวว่าพวกเขาอยู่ในฐานะพลเมืองชั้น 3-4 ถูกนายจ้างเอาเปรียบกดค่าแรง ให้ทำงานฟรีโดยไม่ยอมจ่ายเงินเดือน บางครั้งก็ยิ่งกว่าทาสเสียอีก ถ้าหากหน่วยงานรัฐบาลไทยเข้ามาดูแลเรื่องการจ้างแรงงานที่ยุติธรรมมากขึ้นก็น่าจะช่วยให้ชาวมอญอพยพเหล่านี้สำนึกบุญคุณ ไม่อยู่อย่างทนคับแค้นใจเช่นเดิม
ด้านสุรพล กองจันทึก นักกฎหมายสภาทนายความแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สังคมไทยยังมีทัศนคติหรือความเข้าใจที่ผิดๆ เกี่ยวกับแรงงานต่างด้าวหลายประการ ได้แก่ หนึ่ง แรงงานต่างด้าวคือคนจากประเทศเพื่อนบ้านที่เข้ามาทำงานเพื่อโกยเงินกลับประเทศข้างเคียง ซึ่งไม่ถูกต้องทั้งหมด เพราะแรงงานต่างด้าวเกินกว่าครึ่งเข้ามาในฐานะผู้อพยพหรือผู้ลี้ภัยทางการเมือง ซึ่งต้องมีการจัดการอีกรูปแบบหนึ่ง ด้วยเพราะพวกเขาไม่สามารถอยู่อาศัยในบ้านเมืองของตนได้ จึงต้องหนีความตาย ความเดือดร้อนอดอยากเข้ามา จึงต้องเข้ามาสู่กระบวนการเป็นแรงงานต่างด้าวเพื่อหาเลี้ยงชีพ
สอง มองว่าคนต่างด้าวพากันเข้ามายึด จ.สมุทรสาคร ซึ่งข้อเท็จจริงพวกเขาไม่ได้มายึด แต่เพราะ จ.สมุทรสาครมีงานให้เขาทำ สาม มองว่าแรงงานต่างด้าวเป็นภาระของประเทศไทยที่ต้องดูแล เป็นการเอาภาษีคนไทยไปช่วยเหลือแรงงานต่างด้าว แต่ในความเป็นจริงแรงงานต่างด้าวเหล่านี้ต้องเสียภาษี ถ้าหากเป็นแรงงานที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย "ในวัตถุประสงค์ของการขึ้นทะเบียนฯ เจ้าหน้าที่จะแจ้งกับเขาเลยว่า ต้องเสียภาษี เพียงแต่ที่พวกเขาส่วนใหญ่ไม่ต้องเสียภาษี เพราะมีรายได้ต่ำ แต่นอกจากภาษีรายได้ทางตรงนี้ ยังรวมถึงการเสียภาษีทางอ้อมอย่างการซื้อแฟ้บ ซื้อสบู่ ขึ้นรถเมล์ สรุปแล้วเขาเสียภาษีให้รัฐไม่ได้แตกต่างจากคนไทยเลย"
ความเข้าใจผิดประการที่สี่คือ รัฐจะมีข้อมูลตลอดเวลาว่า ต้องดูแลการรักษาพยาบาลให้แก่แรงงานต่างด้าวฟรีนับปีละ 300 ล้านบาท ซึ่งเป็นภาษีของคนไทยทั้งสิ้น แต่ไม่มีการให้ข้อมูลต่อว่า รัฐบาลไทยได้เงินจากคนเหล่านี้เท่าไหร่ เพราะแรงงานที่ขึ้นทะเบียนต้องเสียเงินซื้อประกันสุขภาพต่อปีรายละ 1,000 บาท ปัจจุบันมีแรงงานข้ามชาติทั้งหมด 700,000 - 800,000 คน รวมแล้วรัฐจะมีรายได้ส่วนนี้จากแรงงงานข้ามชาติถึง 1,000 ล้านบาท และงบประมาณส่วนนี้รัฐอนุญาตให้โรงพยาบาลจัดการงบประมาณเองได้โดยไม่ต้องคืนหลวง
"ถ้าหักรายรับแล้วกำไรแน่นอน เพราะฉะนั้น เราไม่เคยเอาภาษีคนไทยไปใช้รักษาพยาบาลแรงงานต่างด้าวเลย"
ห้า แรงงานต่างด้าวเป็นแหล่งอาชญากรรมและลักขโมย สุรพลหยิบยกข้อเท็จจริงช่วงเหตุการณ์สึนามิที่มีข่าวว่าแรงงานต่างด้าวซึ่งก่อเหตุลักขโมยทรัพย์สินผู้เสียหาย แต่กลับมีคนไทยถูกจับด้วยข้อหาเดียวกันมากกว่า 9 เท่า แถมเมื่อคดีถึงชั้นศาล แรงงานต่างด้าวที่ถูกตั้งข้อหาทั้งหมดนั้นกลับถูกปล่อยตัว เพราะไม่มีหลักฐาน ผมไม่ได้บอกว่าแรงงานต่างด้าวไม่ได้ทำผิดเลย คนที่ทำ"ผิดก็มี แต่ภาพที่ออกมามันเกินจริงมากกว่านั้น"
หก จากสภาวะที่รัฐอ้างว่าประชากรเพิ่มขึ้น การเข้ามาของแรงงานต่างด้าวจึงมาแย่งชิงทรัพยากรคนไทยใช้ แต่มีการศึกษาพบว่าประชากรไทยเพิ่มขึ้นถึงจุดสูงสุดในอีก 5 ปีข้างหน้าแล้วจากนั้นจะลดลงและคงที่อยู่ที่ 63 ล้านคนในระยะเวลา 20-30 ปีนี้ ทำให้ต่อเนื่องถึงความเข้าใจผิดถัดมาว่า แรงงานต่างด้าวเหล่านี้มาแย่งอาชีพคนไทย แต่ในความเป็นจริงแล้วงานที่แรงงานต่างด้าวทำส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นงานที่คนไทยไม่นิยมทำอยู่แล้ว เช่น อาชีพแรงงานประมง เป็นต้น
"ข้อสุดท้าย นำไปสู่ว่า รัฐไม่จำเป็นต้องดูแลคนเหล่านี้ เพราะคนเหล่านี้ไม่ใช่คนไทย ลำพังคนไทยเราก็ดูแลไม่ไหวอยู่แล้ว ซึ่งผิดครับ เพราะข้อเท็จจริงตามหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทุกคนที่อยู่ในแผ่นดินไทยอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ต้องได้รับการดูแลปฏิบัติอย่างเท่าเทียมเสมอภาคกัน แรงงานต่างด้าวถูกข่มขืน ถูกละเมิดสิทธิ รัฐก็ต้องดูแลเท่าเทียมกับคนไทยใช้กฎหมายเดียวกัน ทั้งหมดนี้เป็นความเข้าใจผิดที่คลาดเคลื่อน ไม่ตรงกับความเป็นจริงซึ่งนำไปสู่อคติ"
ไม่ว่าบทสรุปของปัญหาแรงงานต่างด้าวที่สมุทรสาครจะจบลงเช่นไร แต่เราก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ปัญหาของพวกเขาไม่เกี่ยวข้องกันกับเรา เพราะทุกคนต่างก็อยู่บนผืนแผ่นดินเดียวกัน แม้จะต่างถิ่นที่มา...