xs
xsm
sm
md
lg

เยือน ‘บ้านทอนฮีเล’ วิถีแห่งมนต์เสน่ห์ทะเลใต้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


1.ชีวิตของเรา

ดวงอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้าเหนือทะเลทิศตะวันออก แต่แสงเงินแสงทองกำลังเริ่มทอแสงตรงโค้งขอบฟ้า ในเพลาที่หลายชีวิตในเมืองใหญ่ยังไม่ฟื้นจากหลับใหล ปรากฏเงาชายฉกรรจ์หลายคนขึ้นที่ริมหาดบ้านทอนฮีเล อ.เมือง จ.นราธิวาส พวกเขาตรงไปที่เรือลำใหญ่ที่จอดสงบนิ่งอยู่

“อารีซัน รอแม” และเพื่อนกำลังใช้กำลังทั้งหมดดันเรือลงสู่ทะเล แรงเดียวไหนจะสู้ 6 แรง ไม่นานนัก “เรือกอและ”สมญา “นางฟ้าทะเลใต้” ลำใหญ่ก็ลงสู่ทะเล เช่นเดียวกับลำอื่นของพรรคพวก อารีซันก็ไปช่วยออกแรงดันสู่ผิวน้ำเช่นเดียวกัน

เครื่องยนต์ครางกระหึ่มแข่งกับเสียงคลื่น ก่อนจะถูกเร่งเครื่องและนำชาวประมงทั้งหมด “ออกเล” หากก้อนเมฆดำที่ลอยอย่างเบาบางอยู่ทางทิศเหนือไม่แปรสภาพเป็นพายุใหญ่ เห็นทีถังแกลลอนขนาดเขื่องบนลำเรือของอารีซันคงมีปลาหมึกยักษ์หลายกิโลติดมาพอให้แช่มชื่นหัวใจ

ใครจะรู้ว่าเด็กหนุ่มที่ชื่ออารีซันคนนี้จะมีอายุเพียง 19 ปีเท่านั้น หนวดเคราและมัดกล้ามเนื้อทั้งหน้าท้อง ช่วงแขนและหัวไหล่ ทำให้เด็กหนุ่มคนนี้ดูแก่เกินอายุ

มีแต่งานเท่านั้น ที่หล่อหลอมให้คนๆ หนึ่งแข็งแกร่งเกินวัยได้ อารีซันลงเรือตั้งแต่อายุ 13 และใช้ชีวิตอยู่กับมันจนเป็นหนุ่มเต็มตัว เช่นเดียวกับ “ซาดี” คู่หูของเขา ที่ใช้ชีวิตเกินครึ่งอยู่กับเรือประมง

“ให้ไปทำงานอื่นก็ไม่รู้จะทำอะไร เพราะเรียนน้อย” อารีซันบอก

แค่เรื่องเรียนน้อยคงไม่ใช่เหตุผลที่ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะอารีซันเลือกที่จะออกจากโรงเรียนตั้งแต่ ป. 5 เหตุผลเดียวที่เด็กหนุ่มยอมตัดอนาคตที่ใครๆ เขาว่าดีคือท้องทะเลอันกว้างใหญ่หน้าหาดบ้านทอนฮีเล

เขาอดทนรอจนอายุ 13 ปี กล้ามเนื้อเริ่มแข็งแรงจึงได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่ให้ลงเรือ แผลเป็นตรงฝ่ามืออารีซันที่แตกน้ำข้าวครั้งแล้วครั้งเล่าจนด้านแข็งดั่งฝอยหิน คือประกาศนียบัตรลูกทะเลตัวจริงเสียงจริง การกรำงานหนักดูแลพ่อที่เป็นอัมพฤกษ์ เพราะรายได้จากแม่และพี่สาวที่รับจ้างตากปลากะตักอีกเล็กน้อยไม่พอใช้ในครัวเรือนเท่าใดนัก

“ ถ้าไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่เที่ยวไม่ใช้จ่ายจนสุรุ่ยสุร่าย แค่นี้ก็พอกินพอใช้สบายแล้ว” เขาบอก

ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นเหนือศรีษะ... แสงแดดจ้าขับเน้นให้ทะเลสีฟ้าครามดูเด่นชัด เรือกอและหลายลำทยอยกลับเข้าฝั่ง เช่นเดียวกับเรือของอารีซันที่เข้ามาจอดเทียบท่า

“วันนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่” อารีซันบอกพลางดึงถังแกลลอนมาเปิดออก และหยิบหมึกยักษ์ขนาดเขื่องหลายตัวขึ้นให้ดู

“ถ้าช่วงดีๆ นะ เหลือกินเหลือขาย กลางคืนมาก่อไฟย่างกินกันแถวริมหาดนี่สบายใจเลย” เขาบอก พาลให้ผู้มาเยือนคิดอิจฉา นึกภาพชีวิตภายใต้แสงดาวและกองไฟ

หลังเรือจอดเทียบฝั่ง พรรคพวกอีกหลายแรงก็มาช่วยกันเข็นนำขึ้นมาจอดไว้บนฝั่ง เช่นเดียวกับลำอื่นที่ต่างทยอยผลัดกันออกแรง

ชีวิตที่ต่างพึ่งพาอาศัยค้ำจุนกันด้วยมิตรไมตรีและความเอื้ออาทร คือชีวิตที่พานพบกันได้ที่บ้านทอนฮีเล

2.บ้านของเรา

เส้นรุ้งที่โค้งเหนือทะเลสีฟ้าตรงหน้า ช่วยแต้มสีสันให้หมู่บ้านแห่งนี้สดใสขึ้นมาครามครัน ยามตะวันบ่ายคล้อยลงไปทางตะวันตก เบื้องหน้าคือหาดทรายนวลที่ต้องแดดเย็นแลดูวาววับ และถัดไปเบื้องหน้า เรือกอและลำงาม -นางฟ้าทะเลใต้กำลังทอดร่างอวดโฉมอยู่ริมหาดเป็นแนวยาว

ถ้าคุณรู้จัก “เรือกอและ”, โฉมงามแห่งทะเลใต้ คุณจะรู้ว่าจุดกำเนิดของมันคือ “บ้านทอนฮีเล” ซึ่งอยู่ในตำบลโคกเคียน อ.เมือง จ.นราธิวาส หมู่บ้านชาวประมงขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ริมทะเลอ่าวไทยตอนล่าง และตอนนี้คือที่ที่เรายืนอยู่ คือหมู่บ้านที่ขึ้นชื่อเรื่อง “สินในน้ำ”

“ไม่ต้องการอะไรแล้ว แค่ได้ปลาทุกวันก็อยู่ได้” อาบังคนหนึ่งบอกขณะชักรอกเรือขึ้นจากทะเล

“ที่นี่ไม่ได้จับปลาหมดทุกคน เพราะของมันเยอะ บางคนต้องแยกไปประกอบอาชีพจับหมึก บางคนจับแมงกะพรุน บางรายพาคนในครอบครัวไปตกปูเพียงอย่างเดียว

เป็นเครื่องยืนยันว่า คนที่นี่ไม่ต้องแข่งขันกับใคร...

หมู่บ้านแห่งนี้มีชื่อเสียงโด่งดังเพราะมีเพียงไม่กี่หมู่บ้านที่ยังใช้เรือกอและหาปลา แม้จะเป็นเรือกอและดัดแปลงตัดท้ายต่อเครื่องยนต์แปรสภาพเป็นเรือประมงโดยสมบูรณ์ แต่ก็ยังคงเอกลักษณ์ความงดงามเอาไว้ไม่สร่าง ช่วงบ่ายถึงเย็นจึงเห็นเรือกอและนับร้อยๆ ลำจอดทอดเรียงบนหาดทรายขาวดูละลานตา

แสงอาทิตย์สุดท้ายกำลังเคลื่อนลงหลังยอดมะพร้าว ส่งแสงแสดทองวับวาบก่อนจากหายไป รัตติกาลค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาแทนที่ วงเวียนวัฏจักรของแสงคือรูปเงาที่ฉาบฉายให้หมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ชายทะเลฝั่งตะวันตกมีชีวิตชีวา ทั้งกลางวันและกลางคืน...

“ไป...เย็นกินน้ำชากัน” อาแบ (พี่ชาย) คนหนึ่งชวน

“หาปลาขึ้นฝั่ง ขายปลาเสร็จก็ถักอวน เย็นแล้วไม่รู้จะไปไหน คนหนุ่มๆ ไปเล่นฟุตบอล คนแก่ๆก็รอจนละหมาดเย็นเสร็จก็ไปกินน้ำชาอย่างนี้แหละ ถึงเวลาแล้วไปนอนเอาแรงอีกที” แกบอกเล่าชีวิตประจำวันให้ฟัง ซึ่งผู้มาเยือนจากภายนอกอย่างวันนี้ สัมผัสแล้วว่ามันแสนเรียบง่ายเสียจนน่าอิจฉา

“พอสถานการณ์ภายนอกเป็นอย่างนี้ เราก็รู้ว่าคนไม่ค่อยกล้าเข้ามา แต่อยากบอกพวกเขาว่า มาเถอะ... คนใต้ไม่ใจดำกันทุกคนหรอก” อาแบคนเดิมบอก ขณะเดินนำหน้าลิ่วไปยังร้านน้ำชาประจำหมู่บ้าน เพื่อนแบกกล้องพะรุงพะรังเดินตาม เด็กตัวเล็กตัวน้อยหลายคนวิ่งตามดู “ตัวดูดรูป” ที่ถ่ายครั้งแรกบางคนถึงกับน้ำตาซึม เพราะคิดว่าไอ้เครื่องเหลี่ยมๆ มีกระจกกลมๆ ดูดเขาเข้าไปอยู่ในนั้น รอจนคุ้นเคยแหละ หันเลนส์ไปทางไหน ไม่วายวิ่งตามกันกรู ...เหมือนอย่างเช่นตอนนี้

“มีไฟไหม” หนูน้อยรายหนึ่งเอ่ยปากถาม ไฟที่หนูน้อยหมายถึงคือแฟรชแสงวาบๆ

“อ๋อ...ไฟเสีย” เพื่อนตอบอย่างรู้ความหมาย

“อย่างนั้น...ก็ดี...เวลาเราอยู่ข้างในจะได้ไม่ร้อน”
.....................

ร้านน้ำชาที่อยู่ตรงหน้า คล้ายกับร้านขายของชำทั่วไป อาแบ อาบังหลายรายนั่งอยู่แล้ว นับว่าที่นี่เป็นร้านน้ำชาที่โรแมนติคที่สุดแห่งหนึ่ง เพราะฉากหลังของร้านคือทะเล ผู้มาเยือนและเพื่อนได้รับการแนะนำตัวผ่านอาแบ ทุกคนยื่นมือทำสลาม (การทักทายแบบมุสลิม) กับทุกคน อาแบ อาบังหลายคนยิ้มให้ด้วยความเป็นมิตร

ชีวิตคนไทยมุสลิมผูกพันธ์กับร้านน้ำชาอย่างยิ่ง ทุกตรอกซอกซอยทุกหมู่บ้านใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ขาดร้านน้ำชา เพราะกฏเกณฑ์ทางศาสนาที่ห้ามศาสนิกยุ่งเครื่องดองของเมาโดยเด็ดขาด ทำให้น้ำชา กาแฟ หรือที่เรียกว่า “แต...”ชนิดต่างๆ กลายเป็นเครื่องดื่มประจำวงสนทนาไปโดยปริยาย

“ก๊ะ...เอาแตออแก้วนึง” เพื่อนส่งเสียงบอกคนขาย คำว่า “ก๊ะ” ในภาษามลายูหมายถึงพี่สาว ส่วน “แตออ” นั้น หมายถึงชาร้อนใส่น้ำตาล อันเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของคนที่นี่

“เมื่อก่อนที่นี่มีคนเดินทางมาเที่ยวกันเยอะ” อาแบเล่าให้ฟัง

“บ้างก็มาจากกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ก็เป็นคนในเมืองและจากมาเลเซียนั่นแหละ เพราะชายหาดที่นี่สวยมาก เล่นน้ำได้”

“ใครๆ เขาก็คิดว่าที่นี่รุนแรง จริงๆ มันไม่ได้เกิดขึ้นทุกที่หรอก ใน 3 จังหวัดยังมีสถานที่เที่ยวได้อีกเยอะ แต่พอมันเกิดสักที่แล้วคนพูดต่อๆ กันไปว่าที่นี่มันไม่ดี คนก็เลยไม่กล้ามา”

จริงอย่างที่อาแบว่า บางครั้งมายาคติ อคติคือตัวแบ่งแยกทางความรู้สึกที่น่ากลัวเหลือเกิน สามารถทำให้คนหมู่หนึ่งกับคนอีกกลุ่มหนึ่งขาดการปฏิสัมพันธ์กันไปโดยปริยาย เพียงแค่ได้ยินได้ฟังต่อๆ กันมาว่าที่นั่นที่นี่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จึงทำให้ขาดโอกาสดีๆ ที่จะได้พบเห็น สัมผัส และพูดคุยกับมิตรจากแดนไกล

ซาดีเล่าให้ฟังว่าในหมู่บ้านของเขาไม่เคยมีเหตุรุนแรงใดๆ เกิดขึ้น ตลอด 3 ปีที่เหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คลื่นแห่งความหวาดกลัวความหวาดระแวงไม่เคยย่างกลายเข้ามาในหมู่บ้าน

นอกจากสายสัมพันธ์ที่เข้มแข็งของคนในชุมชน ระแวดระวังภัยให้แก่กันแล้ว ภายในหมู่บ้านยังมีสถานีตำรวจภูธรตำบลโคกเคียนตั้งอยู่ นอกจากนี้ยังมีชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านดูแลอีกทางหนึ่ง

“ที่นี่ถ้าใครเข้ามาแล้วคิดไม่ดี เข้ามาสร้างความเดือดร้อนวุ่นวายแล้วละก็กลับออกไปยากมาก แต่เข้ามาท่องเที่ยว เข้ามาดูวิถีชาวประมงอย่างเป็นมิตรแล้วละก็เข้ามาเถอะ คนที่นี่ยินดีต้อนรับทุกคนที่เข้ามา”

ในหมู่บ้านที่มีวิถีชาวประมงอันเป็นเสน่ห์อย่างเหลือล้น ที่นี่ยังมีศูนย์ทำเรือกอและจำลองตั้งอยู่ด้วย โดยนำเอาเด็กๆ วัยรุ่นที่ขาดโอกาสในการศึกษาเข้ามาฝึกฝนฝีมือทำเรือกอและจำลองส่งออกเป็นสินค้าโอท็อปของชุมชน

บ้านทอนฮีเลจึงน่าจะเป็นชุมชนต้นแบบให้อีกหลายชุมชนของประเทศ ที่มีการสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างเป็นระบบ แต่ก็ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามธรรมชาติโดยไม่ต้องเข้าไปเสริมเติมแต่ง เพียงแค่ทุกคนมีใจรักในภูมิปัญญาและวิถีของตนเอง

ค่ำแล้ว...เสียงอาซานบอกช่วงเวลาละหมาดอีซาดังแว่วมาอย่าง อาบัง อาแบหลายคนขอตัวไปละหมาดก่อนจะเลยเข้าบ้านไปนอนเอาแรงก่อนออกเลในวันรุ่งขึ้น

“ตามสบายนะเด๊ะ” อาแบคนหนึ่งบอก

แสงไฟจากมัสยิดเห็นชาวบ้านมากมายทยอยเข้าไปละหมาด เราในฐานะคนนอกจึงออกเดินไปสูดอากาศริมทะเล พระจันทร์เสี้ยวหนึ่งลอยเด่นอยู่เหนือโพ้นสมุทรเป็นดั่งแสงนำทางเรือประมงท่ามกลางคืนอันมืดมิด

เสี้ยวจันทร์กับเรือประมงคงไม่ต่างจากที่คนบ้านทอนฮีเลมีศาสนาเป็นแสงสว่างนำทาง...

3.แผ่นดินของเรา

วันนี้ท้องฟ้าดูโปร่ง กรมอุตุนิยมวิทยาก็บอกว่าวันนี้จะปราศจากมรสุม...เหมือนเช่นทุกวัน อารีซันและซาดียังใช้แรงดันเรือลงสู่ท้องน้ำในขณะที่พระอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบสมุทร วันนี้เขาอยู่ในชุดเสื้อแขนยาว กางเกงขายาวและหมวกปีกกลมคล้ายเบเร่ต์

“พร้อมสู้แล้ว” เขาบอกพลางฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะกระโดดขึ้นลำเรือกอและ -นางฟ้าแห่งทะเลใต้

หลังปลุกปล้ำกันอยู่พักใหญ่ เสียงเครื่องยนต์ก็ครางกระหึ่มขึ้นเหนือท้องน้ำ แข่งกับเสียงคลื่นที่ยังคงครางครืนๆ มาทั้งคืน จากเสียงเรือของอารีซันและซาดีก็ไปสู่เรือลำอื่นและลำอื่นของเพื่อนบ้าน

ภารกิจเพื่อปากท้องจากแผ่นดินสู่ผืนน้ำได้เริ่มขึ้นแล้ว

“เดี๋ยววันหน้าเจอกัน อย่าลืมมาเยี่ยมอีกนะ” เด็กหนุ่มวัย 19 ตะโกนบอกพลางโบกมือให้ ผู้มาเยือนได้แต่ยืนโบกมือตอบและยิ้มให้เจ้าของบ้านผู้มีไมตรีจิต

อารีซันยิ้มแล้วบอกซาดีเร่งเครื่อง นางฟ้าแห่งทะเลใต้พาพวกเขาออกไปพร้อมความหวังเพื่อเผชิญกับมหาสมุทรแล้ว ร่างของเขาทั้งสองค่อยๆ จางหายไปกับกระแสคลื่นและความมืดที่ยังไม่จาง

ทิ้งผู้มาเยือนไว้บนริมชายหาด

ชายหาดที่เป็นทั้งแผ่นดินของเขาและของเรา...

ณรรธราวุธ เมืองสุข เรื่อง
พ่อหนุ่มเจ้าสำราญ ภาพ
ศูนย์ข่าวชายแดนใต้ (www.stbnews.net)






กำลังโหลดความคิดเห็น