xs
xsm
sm
md
lg

‘ป่า’ รกเพราะ ‘เสือ’ ยัง...

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ไม่รู้ว่าชั้นประถมศึกษาเดี๋ยวนี้ยังสอนให้ท่องกลอนสั้นๆ จังหวะสวยๆ บทที่เป็นจั่วหัวนี้อยู่หรือเปล่า

...ครั้งที่เราไปเยือนเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง มีเจ้าหน้าที่มูลนิธิสืบนาคะเสถียรคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า มีนักวิจัยเกี่ยวกับเสือที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็น ‘มือหนึ่ง’ ของเมืองไทยอยู่ที่นี่

ประมาณว่า ‘เขา’ อยู่ในระนาบเดียวกันเมื่อเราเอ่ยชื่อ ศ.ดร.พิไล พูลสวัสดิ์ ย่อมต้องนึกถึงนกเงือก หรือเมื่อพูดถึงมดก็ต้องนึกถึง รศ.ดร.เดชา วิวัฒน์วิทยา แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

เราจึงซักถามจนได้ชื่อเสียงเรียงนามของเขา-ศักดิ์สิทธิ์ ซิ้มเจริญ ปัจจุบันเขาเป็นนักวิชาการป่าไม้ 8ว. หัวหน้าสถานีวิจัยสัตว์ป่าเขานางรำ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง

ขณะนี้เขาอายุ 45 ปี และเขาใช้เวลาเกือบ 20 ปีที่ผ่านมาคลุกคลีกับงานวิจัยสัตว์ผู้ล่า (Carnival) ในผืนป่าห้วยขาแข้ง โดยเริ่มจากสัตว์อย่างชะมด อีเห็น และขยับขึ้นมาเป็นเสือในที่สุด จากวันที่ประเทศไทยแทบไม่มีองค์ความรู้เกี่ยวกับเสือเลย จนถึงวันนี้ องค์ความรู้ในบ้านเราเกี่ยวกับเจ้าป่าชนิดนี้สามารถออกมายืนอยู่ในระดับแถวหน้าของโลก หากจะบอกว่าเป็นองค์ความรู้ที่เขาเป็นผู้สั่งสมมาตลอดเกือบ 20 ปีก็คงไม่ใช่สิ่งเกินเลยที่จะพูดอย่างนั้น

ตลอดการพูดคุยเกือบ 2 ชั่วโมง เขาย้ำเสมอว่าเสือไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่โหดร้ายดังที่มนุษย์เราเข้าใจ แต่เสือคือศักดิ์ศรีของป่า มันถูกธรรมชาติมอบหมายหน้าที่ให้เป็น ‘ผู้ล่า’ ที่สัตว์ชนิดอื่นไม่สามารถทำหน้าที่นี้ได้ และวลีที่ว่า ‘ป่ารกเพราะเสือยัง...’ ไม่ใช่แค่วลีเท่ๆ ที่ต้องการเพียงจังหวะคล้องจอง แต่มันหมายความเช่นนั้นจริงๆ

-1-

ศักดิ์สิทธิ์จบการศึกษาด้านการจัดการสัตว์ป่า จากคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อปี 2529 ออกไปทำงานได้ระยะหนึ่งจึงกลับมาเรียนต่อปริญญาโทที่สถาบันเดิม และเริ่มสนใจศึกษาเกี่ยวกับสัตว์ผู้ล่ามาตั้งแต่บัดนั้น

ปี 2531 ขณะที่เขากำลังทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโท เขาได้มีโอกาสพบกับ ดร.อลัน บราโนวิทซ์ นักวิทยาผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเสือจากัวร์ และนักวิทยาศาสตร์ผู้นี้เองที่ได้มอบพื้นฐานการทำงานวิจัยเกี่ยวกับเสือให้แก่เขา

เมื่อเขามาประจำอยู่ที่ห้วยขาแข้งในช่วงปี 2533 คงพอจะเดาได้ไม่ยากว่าเขาต้องเคยทำงานกับ สืบ นาคะเสถียร ศักดิ์สิทธิ์คนนี้เองที่เป็นคนช่วยสืบสำรวจสัตว์ป่าในเขตทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง ในช่วงที่สืบต้องทำการอพยพสัตว์ป่าที่ได้รับผลกระทบจากเขื่อนเชี่ยวหลาน เขาบอกว่า พี่สืบคือแบบอย่างในการทำงานของเขา

“ช่วงที่ผมอยู่ห้วยขาแข้งปี 2533-2536 ผมก็เริ่มเข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าสถานีวิจัยสัตว์ป่าเขานางรำ กำลังคิดว่าจะทำอะไร ช่วงนั้นเราคิดแค่ว่าสนใจเรื่องสัตว์ป่า หัวข้อที่จะทำงานน่าจะเป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยซึ่งก็คือสัตว์ผู้ล่าและเราเห็นว่ามันมีความสำคัญ เพราะสัตว์ผู้ล่าเป็นสัตว์ที่มีอาหารหลักคือเนื้อ ดังนั้น หน้าที่หลักๆ ของสัตว์ผู้ล่าคือการควบคุมประชากรของสัตว์ที่เป็นเหยื่อและคัดเลือกพันธุ์”

เวลาพูดคำว่า ‘สัตว์ผู้ล่า’ ส่วนใหญ่เรามักนึกถึงเสือ เครือญาติเดียวกันกับแมว แต่ศักดิ์ศรีเจ้าป่าของมันดูจะยิ่งใหญ่กว่าญาติของมันหลายเท่าตัวความคิดคำนึงที่ตามติดมาคือความน่าสะพรึงกลัว ความดุร้าย การสังหารเหยื่ออย่างดุดันอำมหิต บางคนอาจไปไกลถึงเรื่องเล่าอาถรรพ์จากพงไพรอย่างเสือสมิง

สำหรับศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่ายังไงๆ เสือก็ยังเป็นสัตว์ที่น่าเกรงขาม แต่นั่นเป็นเพราะมันได้รับหน้าที่ให้เป็นผู้ถ่ายทอดและหมุนเวียนพลังงานของธาตุอาหารในระบบนิเวศ ควบคุมประชากรของสัตว์ และกำจัดสัตว์สายพันธุ์ที่อ่อนแอออกไปจากป่า เขาบอกว่าไม่เคยเห็นเสือตัวไหนฆ่าสัตว์ที่ฉลาดและแข็งแรงได้

“เสือไม่ได้มีความยิ่งใหญ่ที่จะคุมสัตว์อื่นหรอก สัตว์อื่นต่างหากที่จะคุมมันด้วยซ้ำ เพราะถ้ามันไม่มีเหยื่อ มันก็อยู่ไม่ได้ หน้าที่ของเสือจึงเป็นการควบคุมเหยื่อให้อยู่ในภาวะที่เหมาะสม ไม่ให้มากเกินไป ลองนึกถึงฝูงวัวควายจำนวนมากที่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน อาหารมันจะหมด ดินมีการเหยียบย่ำทำให้เกิดการแข็ง การเจริญเติบโตของไม้พื้นล่างก็จะไม่ดี”

บอกตามตรงว่าขณะที่เขาพูดถึงหน้าที่ของเสือที่ถูกมองว่าโหดร้าย เรากลับนึกถึงสังคมอารยะของมนุษย์ที่ธรรมชาติไม่ได้กำหนดให้เข่นฆ่ากัน แต่มนุษย์กลับห้ำหั่นกันด้วยสารพัดวิธี ตั้งแต่สงครามในทะเลทรายถึงในสำนักงาน ใครกันแน่ที่โหดร้าย?

-2-

ในช่วงต้นของการทำงาน ศักดิ์สิทธิ์ให้ความสนใจทำการศึกษาแบบที่เรียกว่าเป็นจุดๆ เป็นเรื่องๆ สนใจสัตว์ชนิดไหนก็ทำวิจัยสัตว์ชนิดนั้น กระทั่งช่วงปี 2537 เขาจึงหันมาศึกษาเสือดาวอย่างจริงจังและกลายเป็นข้อมูลพื้นฐานที่ดีที่นำไปสู่การศึกษาเสือโคร่งในภายหลัง

แต่ขณะที่เขาทำงานอยู่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น??? เขาถูกสั่งให้ย้ายออกจากเขานางรำ ศักดิ์สิทธิ์ไม่ต้องการรื้อฟื้นความหลังครั้งนั้นว่าเป็นเพราะอะไรเขาจึงถูกย้าย เราจึงไม่อยากซักไซ้อดีต การถูกย้ายทำให้เขากลับไปเรียนต่อปริญญาเอกแต่ภายหลังก็ประสบปัญหา (เจ้าตัวบอกแค่นั้น) เขาจึงลาออกก่อนที่จะจบและกลับมาทำงานอีกครั้งที่สถานีวิจัยสัตว์ป่าภูหลวงเป็นเวลา 3 ปี

ปี 2547 ศักดิ์สิทธิ์หวนกลับมาที่เขานางรำอีกครั้ง เขาถือว่าการที่ถูกย้ายไปอยู่ที่อื่น 3 ปี นับเป็นช่วงเวลาที่เขาได้พักผ่อนและทบทวนการทำงาน บวกกับอายุที่เพิ่มขึ้น ม่านฝุ่นที่เคยฟุ้งอยู่ภายในจึงเริ่มตกตะกอนและตกผลึก

“การกลับมาครั้งนี้มันมีประสบการณ์ เราเห็นว่าอดีตที่ผ่านมาเรามองเป็นจุดๆ ทำเป็นเรื่องๆ จุดๆ แต่ไม่เคยเชื่อมและตอบสนองกับการจัดการเลย คือเรารู้ข้อมูลที่มีประโยชน์เพราะเป็นองค์ความรู้ ถ้าใครหยิบมาใช้ก็มีประโยชน์ แต่ถ้าไม่หยิบมาใช้มันก็อยู่กับที่”

ศักดิ์สิทธิ์ใช้ฐานความรู้เดิมที่มีเกี่ยวกับเสือดาวมาต่อยอดสู่การศึกษาเสือโคร่ง เขาเล่าให้ฟังว่า

“เสือโคร่งกับเสือดาวคล้ายกัน มันมีลักษณะของอุ้งตีนคล้ายกัน มันแยกไม่ออก และสัตว์ในตระกูลนี้เวลาที่มันจะถ่าย มันจะใช้ตีนหลังครูดดินให้เป็นพูนดิน เสือโคร่งกับเสือดาวก็ทำคล้ายกัน ดังนั้น เราจึงต้องมาเรียนรู้ตั้งแต่รอย ศึกษาว่ารอยตีนของเสือโคร่งกับเสือดาวต่างกันอย่างไร ซึ่งจากการศึกษาเราพบว่าขนาดตัวของเสือดาวเหมือนกับว่ามีช่วงจำกัด อุ้งตีนของมันมีขนาดจำกัด ไม่มีเสือดาวตัวไหนที่เราจับที่จะมีอุ้งตีนหน้ามีขนาดใหญ่เกินกว่า 6 เซนติเมตร แต่เสือโคร่งตอนนั้นเรายังไม่รู้ เราใช้รอยตีนของเสือดาวเป็นหลักเพื่อใช้จำแนกกับเสือโคร่ง ในธรรมชาติจะไม่มีรอยตีนขนาด 6.5 หรือ 6.4 ไม่มี พอ 6 แล้วจะขึ้นไป 7 เลย ฉะนั้น เราจึงสมมติฐานว่ารอยตีนขนาด 7 เซนติเมตรนี้น่าจะเป็นของเสือโคร่ง ช่วงนั้นเราจึงสามารถบอกได้ว่ารอยตีนแต่ละรอยที่เราเจอเป็นของเสือดาวแน่ๆ แต่จะเป็นของเสือโคร่งหรือเปล่า เราไม่รู้”

อย่างที่ทราบกันดี การทำงานวิจัยในบ้านเราค่อนข้างมีข้อจำกัดและอุปสรรคหลายอย่าง โดยเฉพาะงบประมาณสนับสนุน ศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ต่างกัน วิธีแก้ไขของเขา-ไม่ยากและเป็นเรื่องพื้นฐานที่สุด-ทำงานอย่างเต็มที่ภายใต้ข้อจำกัด จนกว่าจะมีคนเห็นความสำคัญ

ภายหลังเมื่อมีอุปกรณ์ช่วยงานวิจัยอย่าง ‘คาเมราแทร็ป’ (เป็นกล้องถ่ายภาพที่ติดตั้งไว้ในป่า เมื่อเสือเดินผ่านหน้ากล้อง มันก็จะทำการถ่ายโดยอัตโนมัติ) ซึ่งสามารถเก็บภาพของเสือโคร่งและเสือดาวไว้ได้ จึงทำให้ข้อสมมติฐานเกี่ยวกับรอยตีนของเขาได้รับการยืนยันว่าถูกต้อง

เขาบอกว่าการตั้งกล้องคาเมราแทร็ปไม่ใช่เรื่องที่จะคิดเอาเองแบบสุ่มสี่สุ่มห้าได้ เพราะเสือมีเส้นทางเดินของมันและการใช้ประโยชน์ของแต่ละเส้นทางก็แตกต่างกัน อย่างเช่นเสือจะมีเส้นทางหลักที่มันใช้เดินสำรวจพื้นที่เพื่อป้องกันการบุกรุกจากเสือตัวอื่น เนื่องจากเสือตัวหนึ่งต้องใช้พื้นที่อยู่อาศัยประมาณ 300 ตารางกิโลเมตร

“เมื่อมันต้องกันพื้นที่ไว้ มันจึงต้องเดินเหมือนทหารลาดตระเวน พื้นที่ 300 ตารางกิโลเมตรของมัน มันต้องเดินตรวจ 15 วันครบ 300 ตารางกิโลเมตร 15 วันนี่ไม่ใช่เดินหน้าอย่างเดียวนะ มีการกลับไปเช็ก ถอยหลัง เดินหน้า ตรงไหนที่เป็นพรมแดนมันก็จะทำเครื่องหมายไว้”

ดังนั้น จุดที่เหมาะสมกับการตั้งกล้องจึงต้องเป็นจุดที่เสือใช้ทำเครื่องหมายบอกอาณาเขต

-3-

ปัจจุบันป่าห้วยขาแข้งมีเสืออยู่ประมาณ 70-90 ตัว แต่ไม่ได้แปลว่าเป็นจำนวนที่เราสามารถสบายใจได้ เพราะถ้าใช้ภาษายุทธจักร ‘กวาดตาทั่วแผ่นดิน’ เราจะพบว่าในพื้นที่อนุรักษ์หลายสิบแห่งที่มีอยู่ในประเทศไทย เสือได้หายไปอย่างถาวรแล้ว

“แต่ก่อนผมไม่รู้ว่าทำไมเสือโคร่งในที่ต่างๆ จึงหมดไป คิดว่ามันคงถูกล่า แต่ประสบการณ์การล่าเสือโคร่งของคนไทยเรามีน้อยมาก เราไม่ได้จ้องที่จะล่าเสือโคร่ง แต่ที่เสือโคร่งหมดเพราะอาหารของเสือโคร่งคือสัตว์ใหญ่ และถ้าเรากลับไปดูในพื้นที่อนุรักษ์ของประเทศไทยจะพบว่าไม่มีสัตว์ใหญ่แล้ว กระทิง วัวแดง มีมั้ย แม้แต่กวางซึ่งถือเป็นสัตว์ที่ธรรมดามากก็ยังไม่มี ฉะนั้น ไม่ต้องล่าเสือโคร่งมันก็หมดเพราะอาหารหมด มันจึงออกไปกินสัตว์ชาวบ้าน คนถึงได้ฆ่าทิ้ง”

ชีวิตของเสือจึงเป็นชีวิตที่เกี่ยวพันกับชีวิตอื่นๆ ทั้งป่า เป็นตัวชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า ศักดิ์สิทธิ์จึงพยายามเชื่อมโยงงานวิจัยเสือเข้ากับการจัดการ เขาให้เหตุผลว่า หนึ่ง-เสือมีความสำคัญต่อระบบนิเวศ สอง-เสือเป็นสัตว์ที่อยู่ในภาวะวิกฤตว่าจะสูญพันธุ์ และสุดท้าย-เสือเป็นสัตว์ที่อ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม

“เสือโคร่งไม่ได้ยืนอยู่บนตีนมันอย่างเดียว มันต้องอาศัยในพื้นที่ที่เหมาะสม มีเหยื่อที่เหมาะสม และมันต้องไม่ถูกล่า ถ้ามันถูกรบกวนปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ เราจะเห็นผลกระทบที่เกิดกับเสือได้ง่าย จากการศึกษาของเราพบว่าตัวผู้ใช้พื้นที่เกือบ 300 ตารางกิโลเมตร ภายในพื้นที่จะมีตัวเมีย 2-3 ตัว ถ้าเราต้องการรักษาพันธุกรรมของเสือโคร่งให้เสถียรจึงต้องใช้พื้นที่ขนาดใหญ่ ดังนั้น การรักษาเสือโคร่งไม่ได้หมายความว่าเรารักษาเสือโคร่งอย่างเดียวแต่การรักษาเสือโคร่งเป็นเหมือนตัวแทนของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด”

จุดสำคัญในการเชื่อมโยงงานวิจัยกับการจัดการอยู่ตรงที่ว่า หากพื้นที่อนุรักษ์แห่งใดที่มีการจัดการพื้นที่ได้ดี มีการลาดตระเวนที่มีประสิทธิภาพ อย่างน้อยที่สุดประชากรของเสือจะต้องคงที่หรืออาจเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่การจัดการผิดพลาด ประชากรของสัตว์อ่อนไหวอย่างเสือจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทันที เขาย้ำ “เสือคือภาพรวมของป่า”

งานวิจัยในระยะต่อจากนี้จึงต้องศึกษา 3 ประเด็น คือประชากรเสือ เหยื่อ และพื้นที่

“เราได้วางแผนในการวิจัยโดย หนึ่ง-ศึกษาประชากรของเสือด้วยคาเมราแทร็ป เพื่อจะบอกว่าสถานภาพของเสือแต่ละช่วงเวลาเป็นอย่างไร สอง-เราจะต้องวางแผนการสำรวจเหยื่อว่าเหยื่อที่เป็นเหยื่อหลักของเสือ ได้แก่ กระทิง วัวแดง เก้ง กวาง และหมูป่า ประชากรมันเป็นยังไง คงที่หรือเพิ่มขึ้น สาม-เราต้องศึกษาพื้นที่อยู่อาศัยของเสือโคร่ง ต้องเข้าไปสำรวจ ทำแผนที่ ออกมาว่าตรงไหนเป็นพื้นที่อยู่อาศัยจริงๆ ของเสือ และเมื่ออีก 2-3 ปีย้อนกลับเข้าไปดูใหม่ พื้นที่เหล่านั้นยังเป็นพื้นที่ของเสือหรือเปล่า หรือขยายพื้นที่ หรือหดลง ถ้าเมื่อไหร่พื้นที่อยู่อาศัยของเสือหดลงนั่นแสดงว่าการจัดการมีปัญหา”

-4-

ถึงตรงนี้อาจมีคนทะลุกลางปล้องขึ้นมา-เสือไม่มีทางสูญพันธุ์ เพราะมีฟาร์ม มีสวนสัตว์ที่เพาะเสือได้มากมายทำไมไม่เอาไปปล่อยในป่า-ใช่, มันเป็นคำถามที่เราสงสัยอยู่เหมือนกัน แต่ศักดิ์สิทธิ์บอกว่าเสือในกรงก็ไม่ผิดอะไรกับแมว ต่อให้มีเสือเลี้ยงเป็นหมื่น เป็นแสนตัว แมวใหญ่เหล่านี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไร อีกทั้งการที่จะปรับพฤติกรรมเพื่อนำกลับคืนสู่ป่าก็เป็นเรื่องที่ยากและใช้ต้นทุนสูงมาก เนื่องจากเสือไม่ใช่กวาง ที่ไปปล่อยที่ไหนก็สามารถกินหญ้าได้ แต่เสือจำเป็นต้องเรียนรู้การเป็นเจ้าป่า แน่นอนว่าสัญชาตญาณในการฆ่าย่อมมีอยู่ในเสือทุกตัว แต่การล่า (เช่นการกินเม่นอย่างไรไม่ให้บาดเจ็บ) การดำรงชีวิต การเลี้ยงลูก ฯลฯ เป็นประสบการณ์ที่ต้องเสือเรียนรู้เองจากป่าที่ไม่มีใครสอนมันได้ การนำเสือเลี้ยงคืนสู่ป่าจึงไม่ต่างกับส่งพวกมันไปตาย

“เสือที่อยู่ในธรรมชาติกับเสือที่อยู่ในกรงเลี้ยงจึงเป็นคนละอย่างกัน ขอให้คิดไว้เลยว่ามันไม่ใช่เสือกลุ่มเดียวกัน และไม่สามารถทดแทนกันได้ ผมบอกว่าเสือในกรงเลี้ยงไม่ต่างอะไรกับแมว แต่เสือในป่ามันทำหน้าที่ที่ระบบนิเวศมอบหมายให้มันทำ ขณะที่เสือในกรงมีหน้าที่เพียงแค่โชว์หรือเป็นอาหารของมนุษย์บางกลุ่ม”

-5-

ในช่วงท้ายของการสนทนา ศักดิ์สิทธิ์บอกกับเราว่าเขาไม่อยากเอาเสือไปแปะบนหน้าตัวเอง พอๆ กับที่ไม่อยากเอาหน้าเขาไปแปะบนหน้าผากเสือ เพราะถ้าการทำงานอะไรสักอย่างผูกติดกับตัวบุคคล การแตกดับของคนคนนั้นอาจหมายถึงจุดจบของการทำงาน เขาตระหนักในข้อนี้ดี ทุกวันนี้เขาจึงพยายามสร้างคน สร้างทีมขึ้นมารับช่วงต่อ เขาบอกว่าเขาไม่ได้ทำคนเดียว แต่มีทีมคอยช่วยเหลือ

“เราไม่ได้ผลิตนักวิจัยน้อยไป แต่ว่ามันไม่มีตลาด เราผลิตมาแล้วใครจะใช้ กรมอุทยานฯ จะใช้มั้ย ถ้ากรมอุทยานฯ จะใช้ คนที่ผลิตออกมาทางด้านนี้ก็พอมี อย่างที่ผมบอกว่าผมจ้างผู้ช่วยไว้ 12 คนไม่ใช่ไว้ทำงานอย่างเดียว ผมพยายามสร้างให้เขามีองค์ความรู้ เมื่อโตขึ้น เมื่อได้รับการบรรจุแต่งตั้ง เขาก็จะได้ไปทำงานที่หลากหลายในพื้นที่ อาจจะไม่ต้องทำเรื่องสัตว์ผู้ล่า แต่ขอให้มีพื้นฐานที่มั่นคง มุมมองที่ชัดเจน เขาก็จะสามารถสร้างงานได้”

-6-

ตลอดการทำงานที่ผ่านมา เรียกได้ว่าศักดิ์สิทธิ์ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่แต่ในป่า เขาพูดว่าสมัยก่อนเดือนหนึ่งเขาต้องอยู่ในป่า 30 กับ 31 วัน มีช่วงหลังๆ นี้เองที่เขามีบทบาทด้านการบริหารจึงจำเป็นต้องออกจากป่าเข้าเมืองเป็นระยะ แต่ถ้าเลือกได้เขาเลือกที่จะอยู่ในป่า

อยู่แต่ในป่าแบบนี้ ครอบครัวไม่ว่าอะไรหรือ? ไม่ ภรรยาของศักดิ์สิทธิ์ดูจะเข้าอกเข้าใจเขาเป็นอย่างดี ส่วนเจ้าตัวเล็กที่บ้าน ด้วยความที่เกิดในป่าและใช้ชีวิตจำนวนวันไม่น้อยในผืนป่ากับพ่อ เรื่องแบบนี้จึงไม่เป็นปัญหา

“ส่วนใหญ่ถ้าเป็นไปได้ ลูกก็จะไปหาผม เขาเกิดในป่า ตอนเด็กๆ ก็อยู่กับผมในป่า แฟนผมก็ช่วยงานตลอด เขาทำเรื่องอาหารเสือ แล้วเวลาจะออกไปไหนผมก็แวะบ้านก่อน แต่บางครั้งถ้าหายไปนานๆ ลูกก็มีงองแงบ้าง”

อย่างว่า การใช้ชีวิตมีต้นทุนเสมอ ยิ่งเมื่อคุณเลือกทางที่ชัดเจนของตัวเองแล้ว ก็ยิ่งต้องรู้วิธีบริหารจัดการต้นทุนให้ไม่ทำร้ายตัวเองและคนอื่นจนเกินไป

-7-

แม้จะทำงานกับเสือมานาน แต่ศักดิ์สิทธิ์สารภาพตรงๆ ว่า ทุกวันนี้เวลาทำงานเขาก็ยังตื่นเต้นอยู่เหมือนที่เคยเป็นมา

“ลองนึกถึงตอนที่ต้องเจอกันตัวต่อตัวหรือเวลาที่ต้องจ้องตากับเสือ มันน่าตื่นเต้น ความกลัวทุกคนมันมีอยู่ แต่ว่าเราเป็นหัวหน้า เราแสดงอาการไม่ได้ ทุกครั้งที่ผมจับเสือผมก็ยังตื่นเต้นอยู่ทุกครั้ง ไม่มีครั้งไหนที่ไม่ตื่นเต้น เสือมันมีพลัง ใช่, อย่างลูกน้องผมตอนที่ไปจับเสือครั้งแรก เขาเล่าให้ฟังว่าพอได้ยินเสียงเสือคำราม เข่าอ่อนเลยนะ เสียงมันมีพลังมาก แต่ผมอ่อนไม่ได้ ยังไงเราก็ต้องแข็งกว่ามัน จิตเราต้องแข็ง ต้องบอกมันว่าไม่กลัว”

อันที่จริงยังมีเรื่องน่าสนใจอีกมากที่เขาเล่าสู่กันฟัง ทั้งเรื่องการทำงาน ธรรมชาติของเสือ น่าเสียดายที่เรามีสัมปทานพื้นที่จำกัด แต่เท่าที่คุณๆ อ่านกันมาคงพอจะเห็นภาพบ้างแหละว่า ‘ป่ารกเพราะเสือยัง’ เป็นอย่างไร

“ผมไม่อยากให้มองภาพว่าการรักษาเสือ เป็นแค่การรักษาเสือ เสือเป็นตัวแทนของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในระบบนิเวศที่เราจับต้องได้ ถ้าเรารักษาเสือก็คือเรารักษาระบบนิเวศทั้งระบบ เรารักษาเสือเพื่อมนุษย์”

**************************

เรื่อง-กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล








การติดตั้งคาเมรา แทร็ป และคาเมรา แทร็ปที่ติดตั้งเรียบร้อยแล้ว


เสือ ศักดิ์ศรีแห่งป่า ภาพที่ได้จากคาเมรา แทร็ป


กำลังโหลดความคิดเห็น