xs
xsm
sm
md
lg

มหกรรมศิลปะการแสดงและดนตรีนานาชาติ ครั้งที่ 9 เสพศิลป์ระดับโลกใจกลางกรุงเทพ เฉลิมฯ 80 พรรษา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

PallabiDe Kathak Dancers
อีกเพียงไม่ถึงสองอาทิตย์ "มหกรรมศิลปะการแสดงและดนตรีนานาชาติ ครั้งที่ 9 กรุงเทพฯ" ก็จะเริ่มเปิดม่านขึ้น ไม่เพียงเป็นเทศกาลที่รวบรวมการแสดงระดับโลก อาทิ บัลเลต์ โอเปร่า และวงดนตรีซิมโฟนี ออร์เคสตรา ฯลฯ จากทุกภูมิภาคทั่วโลกมาไว้ได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ยิ่งใหญ่อลังการด้วยแสง สี เสียงตระการตาแล้ว การจัดงานครั้งนี้ ยังแฝงนัยสำคัญเนื่องด้วยตรงกับวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 ปีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ลำดับรัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี ซึ่งทางคณะผู้จัดงานได้คัดเลือกคอนเสิร์ตบทเพลงพระราชนิพนธ์เป็นโชว์เปิดการแสดงในวันที่ 9 เดือน 9 ที่กำลังจะมาถึงนี้อีกด้วย

บทเพลงแห่งพระอัจฉริยะภาพ

เป็นเวลา 9 ปีมาแล้วที่กรุงเทพมหานครได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของวัฒนธรรมในเอเชีย นับตั้งแต่ "มหกรรมศิลปะการแสดงและดนตรีนานาชาติ" ได้เริ่มต้นขึ้น จวบจนวันนี้ มหกรรมศิลปะการแสดงและดนตรีนานาชาติได้ชื่อว่าเป็นเทศกาลที่รวบรวมศิลปะการแสดง การร่ายรำ และดนตรีที่เป็นเลิศจากทุกหนแห่งทั่วโลกมาไว้เพื่อผู้ชมผู้ฟังในกรุงเทพฯ ซึ่งความหลากหลาย แปลกใหม่ และความเป็นเลิศที่ผู้ชมเรียกร้องจะยังคงปรากฏในปีที่ 9 นี้ ระหว่างวันที่ 9 กันยายนถึง 11 ตุลาคม พ.ศ. 2550

โดยปีนี้ คนไทยทั้งประเทศต่างพร้อมใจเฉลิมฉลองวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงมีพระชนมายุครบ 80 พรรษา มหกรรมศิลปะการแสดงและดนตรีนานาชาติครั้งนี้ จึงคัดสรรการแสดงเพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติพระองค์ท่าน โดยเปิดมหกรรมนี้ด้วยคอนเสิร์ตแสดงบทเพลงพระราชนิพนธ์ "His Majesty's Blues Concert"

เอกสิทธิ์ โชติภักดีตระกูล กรรมการจัดงานมหกรรมศิลปะการแสดงและดนตรีนานาชาติ กล่าวถึงที่มาในการจัดงานครั้งนี้ว่า เริ่มต้นเมื่อ 9 ปีก่อน มีนักธุรกิจกลุ่มหนึ่งเป็นแฟนการแสดงประเภท art & culture ทั้งในยุโรป อเมริกาและเอเชียมานาน และเล็งเห็นว่าประเทศไทยควรมี Art Festival เหมือนเช่นประเทศอื่นๆ เมื่อเห็นว่าประเทศไทยมีความพร้อมแล้วจึงรวมตัวกันจัดทำมหกรรมศิลปะการแสดงและดนตรีนานาชาติขึ้นมา ซึ่งได้จัดต่อเนื่องมาจนถึงปีนี้เป็นปีที่ 9 แล้ว

"ในปีนี้เป็นปีมหามงคล อยากทำให้ยิ่งใหญ่และสมพระเกียรติ ได้รับการยอมรับทั้งจากชาวไทยและต่างชาติ ทุกปีจะเปิดการแสดงด้วยบัลเลต์หรือโอเปร่า แต่ปีนี้เราเปิดการแสดงด้วย H.M. Blues ที่นำบทเพลงพระราชนิพนธ์มาเรียบเรียงใหม่ เวทีจะมีลักษณะเป็นโพธิ์เก้าต้น สื่อว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของพสกนิกรชาวไทย นับเป็นการเริ่มต้นอย่างยิ่งใหญ่ สมเกียรติ สมฐานะ เอกอัครราชทูตของหลายประเทศก็ได้ให้ความร่วมมือส่งการแสดงระดับชาติที่มีชื่อเสียงที่สุด นักแสดงที่ดีที่สุด ทั้งฉาก แสง สี เสียง มาร่วมมหกรรมครั้งนี้ด้วย"

ตลอดช่วงระยะเวลาที่ทรงครองสิริราชสมบัติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชนิพนธ์บทเพลงแนวบลูส์ไว้ถึง 48 บทเพลง และการแสดงชุดเปิดในงานนี้ จะมีศิลปินชั้นนำของไทย มารวมตัวกันเพื่อขับขานบทเพลงพระราชนิพนธ์ที่คัดสรรจากทั้ง 48 บทเพลง พร้อมบรรเลงดนตรีโดยวงออร์เคสตรา โดยมีพงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา โปรดิวเซอร์ นักแต่งเพลง และนักดนตรี เป็นผู้ทำงานเบื้องหลังโครงการนี้ หลังจากประสบความสำเร็จในปีที่แล้วในคอนเสิร์ตเนื่องในวโรกาสฉลองการครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี การแสดงคอนเสิร์ตในครั้งนี้จึงนับเป็นโอกาสที่ผู้ฟังจะได้ดื่มด่ำกับบทเพลงพระราชนิพนธ์ที่หาฟังได้ยากอีกครั้งหนึ่ง

มนต์เสน่ห์แห่งดนตรี

ดนตรีเป็นการแสดงหลักของงานมหกรรมฯ มาตลอดหลายปี และการแสดงดนตรีของปีนี้ยังคงมีความหลากหลาย ทั้งวงดนตรีเพอร์คัสชัน คอนเสิร์ตซิมโฟนี และเพลงแจซ โดยในวันที่ 12 กันยายน จะเป็นการแสดงของวงเพอร์คัสชันนักดนตรีหญิงล้วน "สตริ ชักติ" (Stree Shakti) วงดนตรีที่ใช้กลองและเครื่องกระทบแบบดั้งเดิม ภายใต้การนำของ "อานูราทา ปาล" (Anuradha Pal) นักดนตรีประเภทกลองระดับแนวหน้าของอินเดีย
วันที่ 23 กันยายน จะเป็นการแสดงดนตรีซิมโฟนีออร์เคสตรา โดยคณะเอคาเตรินเบิร์ก (Ekaterinburg Symphony Orchestra) ซึ่งเป็นคณะโอเปราและบัลเลต์เก่าแก่ที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดคณะหนึ่งในรัสเซีย เพื่อร่วมเฉลิมฉลองวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงมีพระชนมมายุครบ 80 พรรษา วงเอคาเตรินเบิร์กจะบรรเลงบทเพลง Symphony no.9 in D minor ผลงานลำดับที่ 125 ของลุดวิก ฟาน เบโธเฟน ซึ่งความโดดเด่นของบทเพลงชิ้นนี้คือ เป็นครั้งแรกที่ผู้ประพันธ์ใช้เสียงของมนุษย์มาเป็นเหมือนเสียงดนตรี การแสดงชุดนี้ประกอบด้วยนักร้องประสานเสียงเต็มวงและนักร้องนำ 4 คน และยังมีการบรรเลงเพลง Scheherazade ผลงานลำดับที่ 35 ของนิโคไล ริมสกีคอร์ซาคอฟ ควบคุมวงโดยวาทยกร มิคาอิล กรานอฟสกี จากบอลซอยเธียเตอร์ ซึ่งเป็นวาทยกรที่ได้รับความนิยมสูงสุดคนหนึ่งในรัสเซีย

สำหรับคอเพลงแจซและป็อป ค่ำคืนของวันที่ 8 ตุลาคมเป็นเวลาที่จะได้ดื่มด่ำกับการแสดงดนตรีแจซและป็อปที่รวมไว้ในวันนี้ อาทิ การแสดงของวง "ซาสเกีย ลารู" (Saskia Laroo band) จากเนเธอร์แลนด์ โดยซาสเกีย ลารู เป็นหนึ่งในนักดนตรีหญิงไม่กี่คนที่เล่นทรัมเป็ต จนได้รับการยกย่องจากประชาชนและสื่อมวลชนอเมริกันว่าเป็น Lady Miles of Europe หรือไมลส์ เดวิสหญิงแห่งยุโรป นอกจากนี้ยังมี "เมอซิเออร์ กามองแบรต์" (Monsieur Camembert) วงดนตรีแนว "Gyprock" ระดับแนวหน้าของออสเตรเลียที่กวาดรางวัลทางดนตรีมามากมาย หรือวง "โคดา แจซ กรุ๊ป" (Coda Jazz Group) ที่ผสมผสานดนตรีแบบคลาสสิก ร็อก อิเล็กทรอนิกส์ โอเปอเรติก และแจซเข้าด้วยกัน เป็นต้น

พลังแห่งโอเปรา

การแสดงโอเปรานับเป็นสุดยอดของการแสดงในมหกรรมศิลปะการแสดงและดนตรีนานาชาติเสมอ ปีนี้มีให้ชม 2 เรื่อง ได้แก่ "เยฟเกนี โอเนกิน" (Eugene Onegin) ในวันที่ 22 กันยายน และ "ลา ทราเวียตา" (La Traviata) ในวันที่ 24 กันยายน ทั้งสองเรื่องแสดงโดย คณะเอคาเตรินเบิร์ก โอเปรา เธียเตอร์ ซึ่งมีอายุเก่าแก่ที่สุดและมีชื่อเสียงมากที่สุดคณะหนึ่งของรัสเซีย และเป็นครั้งแรกในกรุงเทพฯ ที่จะมีการแสดงโอเปราภาษารัสเซีย โอเปรา 3 องก์เรื่อง "เยฟเกนี โอเนกิน" เป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของโอเปราที่เดินเรื่องตามเนื้อเรื่องเดิมในนิยายของปุชกิน โอเปราชุดนี้ประกอบด้วยศิลปินนักแสดงและนักดนตรีวงออร์เคสตรากว่า 180 คน และเป็นผลงานชิ้นเอกอีกเรื่องหนึ่งของไชคอฟสกี

สำหรับโอเปรา 3 องก์เรื่อง "ลา ทราเวียตา" (La Traviata) ของแวร์ดิ มีเค้าโครงจากบทละครเรื่อง La dame aux Cameilas ของอเล็กซานเดอร์ ดูมัส มีนาตาเลีย มาร์กริต มารับบทเป็น วิโอเลตตา วาเลรี เป็นนักร้องเสียงโซปราโนที่โด่งดังที่สุดคนหนึ่งของอิตาลี และเป็นนักแสดงประจำที่ลา สกาลา และปารีส โอเปรา เฮาส์ (เธอเคยร่วมงานกับโคเซ คาร์เรราส) ขณะที่บท อัลเฟรโด รับบทโดยดมิโตร คุซมิน นักเต้นเดี่ยวของเคียฟโอเปราเฮาส์

พลิ้วไหวเริงระบำ

นอกเหนือไปจากการแสดงดนตรีและโอเปร่าแล้ว การเต้นทั้งการแสดงบัลเลต์แบบคลาสสิค และการแสดงระบำพื้นเมืองจากหลากทวีปทั่วโลก ก็ถูกนำมาเปิดการแสดงในงานมหกรรมครั้งนี้ด้วย อาทิ คณะบัลเลต์ร่วมสมัย คิบบุตซ์ คอนเทมโพรารี แดนซ์ คอมปานี เป็นคณะระบำที่โดดเด่นที่สุดคณะหนึ่งในอิสราเอล โดยมี รามี บีเออร์ เป็นผู้ออกแบบท่าเต้นและสร้างชื่อเสียงให้คณะจากการตระเวนแสดงในประเทศต่างๆ ทั่วโลก

คณะโปรตุกีส เนชันนัล บัลเลต์ (Portuguese National Ballet) หนึ่งในคณะบัลเลต์ชั้นนำของโปรตุเกสที่ผู้ชมทั่วทั้งยุโรปต่างตั้งตาคอยการแสดงของคณะอยู่เสมอ ปีนี้คณะมีอายุครบ 30 ปี และจะเข้ามาเปิดการแสดงในกรุงเทพฯเป็นครั้งแรก กับบัลเลต์เรื่องดัง "สวอนเลก" (Swan Lake) ในความดูแลของ เมต์เมต บัลคาน ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของคณะที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้อำนวยการดีเด่นโดย Dance Europe มาแล้วถึงสองครั้ง
ร่วมด้วย "กอมปาเญีย อาแตร์บัลเลตโต" (Compagnia Aterballetto) ซึ่งเป็นคณะบัลเลต์ที่โดดเด่นที่สุดคณะหนึ่งของอิตาลี โดยมาริโอ บิกอนเซตติ ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของคณะ เป็นนักออกแบบท่าเต้นแบบสมัยใหม่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของอิตาลี ฉากและเครื่องแต่งกายออกแบบโดยฟาบริซิโอ เปลซซี นักออกแบบชื่อก้องโลก

อีกหนึ่งไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้คือ การแสดงที่ชื่อว่า "ฝันกลางฤดูร้อน" (A Midsummer Night's Dream) โดย ซูริก บัลเลต์ (Zurich Ballet) คณะบัลเลต์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคณะหนึ่งในยุโรป โดยมี ไฮนส์ สเปอร์ลิ เป็นผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ และเป็นนักออกแบบท่าเต้นชั้นนำคนหนึ่งของยุโรป การแสดงชุดนี้มีวาทยกรชื่อดัง เจมส์ ทักเกิล จากสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ควบคุมวงออร์เคสตรา

เปลี่ยนบรรยากาศมาชมศิลปะการแสดงแบบพื้นเมืองในปีนี้ เริ่มจาก "กัตทัก" (Kathak) หนึ่งในหกนาฏศิลป์พื้นฐานหลักของอินเดีย และเป็นการร่ายรำแบบดั้งเดิมที่พลิ้วไหวมากที่สุด, การแสดงระบำพื้นเมืองจากเมืองเวราครูซ ประเทศเม็กซิโก โดย "กรูโป จาโรโช เนชันนัล แดนซ์ คอมปานี", ระบำแทงโกจากประเทศอาร์เจนตินา โดยคณะโน-ไบลาส แทงโก กรุ๊ป และพบกับการแสดงจากคณะ "โซล เมโทรโพลิแทน แดนซ์ เธียเตอร์" ที่จะนำเสนอการร่ายรำแบบเกาหลียุคโบราณให้คนทั่วโลกได้รู้จัก

ปิดท้ายด้วย การแสดงจากคณะบัลเลต์ นาเซียวนัล เดอ เอสปาญา (Ballet Nacional de Expana) ในวันที่ 10-11 ตุลาคม นักบัลเลต์กว่า 50 คน จะแสดงระบำฟลาเมงโก (Flamenco) และระบำสเปนแบบอื่นๆ ใน 3 รูปแบบ ได้แก่ กาปริโชส (Caprichos) ดัวเลีย (Dualia) และกัมบาลาเช (Cambalache) คณะได้สร้างศิลปินนักบัลเลต์ชาวสเปนจำนวนมากมายและยังได้พัฒนารูปแบบศิลปะการเต้นทุกแขนงของสเปนโดยผสมผสานแบบแผนดั้งเดิมและลีลาสมัยใหม่เข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน ผู้ชมจะประทับใจจากการแสดงที่มีประกอบด้วยแสงเสียงงดงามตระการตา

ไทยจะเป็น 'ฮับ' ด้านการแสดงของเอเชีย?

เอกสิทธิ์ยอมรับว่า การจะสามารถรวบรวมการแสดงระดับโลกมาจัดเทศกาลที่ประเทศไทยอย่างงานนี้ มิใช่เรื่องง่าย เพราะในระยะแรกนั้น คณะการแสดงของทั่วโลกไม่ค่อยเชื่อถือว่าประเทศไทยจะสามารถจัดเทศกาลแบบนี้ได้ ประการต่อมา เรื่องตารางการแสดงของแต่ละวงที่ค่อนข้างแน่น และเป็นระบบ ทำให้ต้องใช้เวลามากในการติดต่อประสานงานในปีแรกๆ แต่เมื่อผ่านพ้นปีที่ 3 ปัญหาเหล่านี้ก็ค่อยๆ หมดไป เนื่องจากทางคณะผู้จัดงานเริ่มได้รับการยอมรับ อีกทั้งยังมีอัครราชทูตจากประเทศต่างๆ ที่เคยอยู่ในเมืองไทย ได้ให้การรับรอง สร้างภาพพจน์ที่ดีให้กับประเทศไทยอีกแรงหนึ่ง

"ในการติดต่อจริงๆ แล้วมีความยุ่งยากมาก เพราะแต่ละคณะจะมีการแสดงเพียง 1-2 โชว์เท่านั้น ถ้าเป็นโชว์เชิง commercial ปกติจะไม่สามารถทำได้ ยกตัวอย่างเช่น เฉพาะฉาก อุปกรณ์ก็ต้องใช้มากกว่า 6 ตู้คอนเทนเนอร์ นักแสดงอีก 100 กว่าคน ซึ่งเราไม่สามารถให้นักแสดงทั้งหมดพักในโรงแรมที่เดียวกันพร้อมกันได้ แต่การจัดเทศกาล 8 ปีที่ผ่านมา ถือได้ว่าได้รับความสำเร็จอย่างสูง การจัดงานแบบนี้ในประเทศอื่นๆ ส่วนใหญ่จะเป็นภาครัฐบาลจัด แต่นี่คือเอกชนที่มีสปอนเซอร์เป็นบริษัทห้างร้านต่างๆ และยังได้รับความร่วมมือจากทั้งกระทรวงต่างประเทศจัดทำวีซ่าให้นักแสดง กระทรวงแรงงานให้ความช่วยเหลือเรื่องทำ work permit หรือการท่าอากาศยานก็ช่วยอำนวยความสะดวกที่สนามบิน รวมทั้งสถานทูตต่างๆ ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี"

สำหรับเกณฑ์ในการคัดเลือกการแสดงที่จะมาโชว์ในเทศกาลนั้น เอกสิทธิ์เผยว่า ใน 8 ปีที่ผ่านมา ทางคณะกรรมการจัดงานได้เดินทางไปชมการแสดงศิลปะและดนตรีจากทุกทวีปทั่วโลก จนมีลิสต์อยู่ในมือนับ 100 รายชื่อ จากนั้นจึงจะกลับมาประชุมเพื่อคัดเลือกการแสดงที่ดีที่สุด โดยใช้ดุลยพินิจของคณะกรรมการ หนึ่งในนั้นคือ ท่านผู้หญิงวราภรณ์ ปราโมช ณ อยุธยา ซึ่งเป็นนายกสมาคมบัลเลต์แห่งประเทศไทยร่วมอยู่ด้วย

ทุกโชว์นั้นทางนักแสดงและผู้จัดงานตั้งใจจัดแสดงอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อผู้ชมทั้งชาวไทยและต่างชาติ "โดยปกติงานบางกอกเฟสติวัลจะมีผู้จัดงานแสดงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น มาเลเซีย, สิงคโปร์ หรือจากฮ่องกง มาเก๊า เดินทางเข้ามาชมด้วย เราก็อยากให้เขารับรู้รับทราบว่าประเทศไทยสามารถจัดการแสดงในระดับโลกได้ และได้อย่างดีด้วย อีกสิ่งที่สำคัญคือ เมื่อเราจัดการแสดง เราจะไม่ขายโชว์เหล่านี้ไปประเทศเพื่อนบ้าน คือโชว์ที่ประเทศไทยเสร็จแล้วก็บินกลับเลย แม้ว่าจะเป็นการลงทุนที่สูง แต่เราได้ในเรื่องของภาพพจน์ของประเทศ ได้ในเรื่องของนักท่องเที่ยวที่จำเป็นต้องเดินทางเข้ามาชม ซึ่งก็ถูกกว่าสำหรับนักท่องเที่ยวในเอเชียที่จะเดินทางมาประเทศไทย มากกว่าเขาจะต้องเดินทางไปยุโรป ถึงแม้จะไปถึงยุโรปก็ต้องจองตั๋วกันบางที 6-8 เดือนล่วงหน้า เพราะส่วนใหญ่ก็จะเต็มตลอด"

โดยทางผู้จัดงานตั้งใจจัดทำคำแปลบทร้องโอเปร่าเป็นภาษาไทยเพื่อให้ผู้ชมได้อรรถรสและเข้าถึงการแสดงอย่างเต็มที่อีกด้วย อย่างไรก็ตาม เอกสิทธิ์ยอมรับว่าด้วยภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นทุกปี ในปีหน้าทางผู้จัดงานอาจจำเป็นต้องนำการแสดงในเทศกาลไปโชว์ยังประเทศใกล้เคียงอื่นๆ ด้วย เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย

"ถ้ามีโอกาสไปดูเฟสติวัลที่ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ อย่างสิงคโปร์ มาเก๊า หรือฮ่องกง เราต้องขอท้าเลยว่าบางกอกเฟสติวัลของเราตอนนี้ไม่เป็นที่สองรองใคร เพียงแต่เนื่องจากข้อจำกัดทางบุคลากรและเรื่องเวลา เรายังขาดหลายๆ อย่างที่เฟสติวัลที่ประเทศอื่นๆ เขามี อย่างเช่นเฟสติวัลประเทศอื่นเขาจะมีการแสดงในลักษณะสตรีทโชว์ เอาโชว์เล็กๆ ไปโชว์หน้าห้างสรรสินค้าเป็นกิมมิค หรือว่าจะมีการจัดเวิร์กช็อปที่ให้ความรู้แก่นักเรียน นิสิต นักศึกษาในสถาบันต่างๆ อันนี้เป็นสิ่งที่เรายังขาดและไม่ได้ทำ เราก็หวังว่าวันหนึ่งข้างหน้าถ้ามีฝ่ายภาครัฐเข้ามาสนใจดูแลอย่างจริงจัง เราก็อยากจะทำให้ครบวงจร ซึ่งผมเห็นว่าเป็นสิ่งดีๆ ที่เด็กและเยาวชนของเราควรจะเรียนรู้"

ล่าสุด เป็นที่น่าภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อทางเว็บไซต์ที่รวบรวมลิสต์การแสดงระดับโลกได้บรรจุ "มหกรรมศิลปะการแสดงและดนตรีนานาชาติ กรุงเทพฯ" เข้าอยู่ในโปรแกรมเทศกาลการแสดงระดับโลกไว้ด้วย

"ตัวเลขที่เราเก็บได้ ซึ่งโดยความเป็นจริงอาจจะมากกว่านั้น ทุกปีจะมีชาวต่างชาติเกือบ 4 พันคน ทั้งจากออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลี แล้วก็ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี่เอง เดินทางเข้ามาชมงาน ประเทศไทยต้องการนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพสูง คือนักท่องเที่ยวทั้ง 4 พันคนที่เราเก็บเร็คคอร์ด เขาจะพักในโรงแรมชั้นหนึ่ง ดูตั๋วก็ดูตั๋วราคาแพงที่สุด นอกจากนั้น การใช้จ่ายอื่นๆ ของเขาไม่ว่าจะเป็นเรื่องสปา, กอล์ฟหรือเรื่องช็อปปิ้งก็จะมีค่าใช้จ่ายต่อหัวสูงมากกว่าคนปกติด้วย อันนี้ผมว่ามันเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวทางอ้อมที่ได้ผลมากๆ"

ส่วนค่าบัตรเข้าชมการแสดงนั้น ทางคณะผู้จัดงานยืนยันว่า ตั้งใจจำหน่ายในราคาที่ไม่สูงจนเกินกว่าคนทั่วไปสามารถเข้าชมได้ เนื่องจากต้องการเปิดโลกทัศน์ด้านศิลปะแก่ผู้ชมชาวไทย

"เวลาจัดการแสดงระดับนี้ คนมักจะคิดว่าต้องเป็นโชว์สำหรับชนชั้นระดับสูง แต่โดยส่วนตัวคณะกรรมการจัดงานต้องการให้ผู้ชมทุกภาคส่วนของสังคม โดยเฉพาะเยาวชน และนักเรียนนักศึกษาได้มีโอกาสเข้ามาชมงาน เพราะผมเชื่อว่าเป็นการแสดงศิลปะที่ไม่สามารถหาเสพได้ในชีวิตประจำวัน ที่ส่วนใหญ่มักจะเป็นดนตรีประเภทป๊อบหรือร็อค แต่นี่คือการแสดงที่เป็นรากเหง้าของวัฒนธรรมของประเทศต่างๆ ทั่วโลก"

สำหรับผู้ที่มีบัตรแล้ว แต่ยังกังวลว่าจะแต่งกายอย่างไรไปชมการแสดงดีนั้น เอกสิทธิ์บอกว่า ไม่จำเป็นต้องใส่ชุดสูทหรือชุดราตรีหรูหราอย่างที่เคยเห็นในภาพยนต์แต่อย่างใด ขอเพียงแต่ให้สุภาพก็เพียงพอแล้ว อย่างเช่นชุดที่สวมไปทำงานปกติก็ใช้ได้ ไม่จำเป็นต้องใส่สูท ทักสิโด้ หรืออีฟนิ่งกาวน์ ทางผู้จัดงานยังอำนวยความสะดวก ด้วยการจัดรถรับส่งฟรีระหว่างสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินกับศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยอันเป็นสถานที่จัดการแสดงอีกด้วย

"ผมอยากให้คนมีโลกทัศน์ใหม่ๆ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ถ้ามีรายได้ไม่มากนัก อาจเลือกมาชมการแสดงสัก 1-2 โชว์ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องดูทุกโชว์ ส่วนคนที่มีกำลังซื้อสูง ผมอยากให้ดูทุกงานเลย เพราะผมเชื่อว่าศิลปะการแสดงเหล่านั้นจะเป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ ให้ตัวของคุณเอง นอกจากจะได้ความรู้สึกดีๆ กลับไปแล้ว คุณชมการแสดงสักครั้งหนึ่ง มันเป็นความรู้ติดตัวคุณ ซึ่งคุณสามารถนำไปสนทนาเปิดโลกทัศน์กับผู้ที่มีความรู้หรือผู้ที่สนใจด้านศิลปวัฒนธรรมอย่างไม่เคอะเขินแล้ว ทางคณะผู้จัดงานยังมั่นใจว่าแต่ละโชว์นั้นต่างก็มีเสน่ห์ในตัวของมันเองอีกด้วย" เอกสิทธิ์ทิ้งท้าย

* บัตรเข้าชมมีจำหน่ายที่ ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ โทร 0 2-2623456 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล คัลเจอรัล โปรโมชั่น จำกัด โทร. 0 2661 6835-7

National Ball of Spain

A Mid Summer Nights Dream
Anuradha performing
CODA Jazz-Australia

Kibbutz-Israel

National Ball of Spain










กำลังโหลดความคิดเห็น