xs
xsm
sm
md
lg

“การทดลองในมนุษย์” ความเสี่ยง...ที่ต้องมีจริยธรรมกำกับ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ยารักษาโรค วัคซีน สเต็มเซลล์... เป็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่มีรากฐานมาจากการวิจัยและพัฒนาเกือบทั้งสิ้น ซึ่งกว่าผลการวิจัยทางการแพทย์จะได้รับการยอมรับเพื่อใช้ในการรักษาโรคจะต้องผ่านขั้นตอนมากมาย ทั้งคิดค้น ทดลองทางคลินิกกับสัตว์ทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนมั่นใจว่ายาหรือวัคซีนนั้น มีประสิทธิผล ปลอดภัยเพียงพอ จึงจะมีการนำมาทดลองกับมนุษย์

คำถามที่ตามมาคือ การทดลองกับมนุษย์มีความปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน? คนไทยได้กลายร่างเป็นหนูทดลองยาให้บริษัทยาข้ามชาติหรือไม่? เนื่องจากโดยข้อเท็จจริงแล้วไม่มีกฎหมายมารองรับหรือคุ้มครองใดๆ ทั้งสิ้น

**ท้าทาย...หรือเสี่ยงตาย

ศ.กิตติคุณ นพ.อเนก อารีพรรค คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประธานสำนักงานคณะกรรมการร่วมพิจารณาจริยธรรมการวิจัยในคนในประเทศไทย หรือ เจเรค (JREC) ให้คำตอบเรื่องนี้กับสังคมไทยว่า ปัจจุบันการวิจัยในคนในประเทศไทยยังมีความเสี่ยงต่อทั้งผู้ทำการวิจัยและผู้ที่เข้าร่วมการวิจัยหรืออาสาสมัคร เพราะปัจจุบันไม่มีกฎหมายใดๆ มารองรับหรือคุ้มครองทั้ง 2 ฝ่าย มีเพียงข้อบังคับของแพทยสภาที่มีการนำมาใช้ดูแลในส่วนของเวชปฏิบัติและการทำงานของแพทย์

ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ นักสังคมศาสตร์ นักจิตวิทยา ที่มีการทำวิจัยลักษณะเดียวกันยังไม่มีการควบคุม โดยส่วนกลไกสำคัญที่ใช้ในการควบคุมกำกับการวิจัยในคนคือ หลักจริยธรรม ซึ่งมีการกำหนดให้ตั้งคณะกรรมการจริยธรรมขึ้นในแต่ละสถาบันตามข้อบังคับแพทยสภา

“หากมีคณะกรรมการจริยธรรมพิจารณาสกรีนแต่ละโครงการให้ดีก็จะมีความปลอดภัย เพราะคงไม่มีหมอคนไหนที่ยอมเสี่ยงทั้งๆ ที่รู้ว่าโครงการเป็นอันตราย ที่สำคัญคือการที่หมอจะต้องทำความเข้าใจกับผู้ที่เข้าร่วมวิจัยให้ดีถึงผลกระทบ ผลข้างเคียงต่างๆ ก็จะไม่มีปัญหาเกิดขึ้น”

ศ.กิตติคุณ นพ.อเนก บอกอีกว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมา แม้ไม่ทราบว่ามีผู้ได้รับผลระทบจากการวิจัยมากน้อยแค่ไหน แต่พบว่ามีความเสี่ยงจากการวิจัยที่อาจเสียชีวิต โดยเฉพาะในยาบางตัวที่มีฤทธิ์รุนแรง เช่น ยารักษาโรคมะเร็ง ยารักษาความดันโลหิต อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งบางรายเข้าร่วมโครงการโดยตั้งความหวังว่ายาที่ทำการทดลองจะช่วยให้หาย แต่ก็ไม่หายและเสียชีวิตไปก็มี ดังนั้น ไม่ใช่หวังว่ารักษาแล้วจะหายทุกโรค อย่างไรตาม ผู้ป่วยจะไม่สามารถเอาผิดผู้วิจัยได้เพราะมีการเซ็นหนังสือยินยอม ส่วนจะมีผู้เสียชีวิตมากน้อยแค่ไหนไม่สามารถบอกได้ เนื่องจากไม่มีใครทำสถิติเรื่องนี้ออกมา มีแต่ต้องการที่จะปิดบัง

“สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ทุกสถาบันบอกว่าตัวเองมีจริยธรรมในการพิจารณาโครงการวิจัย ขณะที่พบว่า กรรมการจริยธรรมหลายแห่งไม่มีประสิทธิภาพ เพราะจริยธรรมไม่สามารถจับต้องได้ขึ้นอยู่กับความรู้สึก ไม่มีใครวัดได้ ทั้งยังไม่เคยมีใครตรวจสอบว่ามีมาตรฐานจริยธรรมจริงหรือไม่ ไม่มีการสร้างระบบตรงนี้ขึ้นมา ทุกวันนี้ยังเป็นแบบต่างคนต่างทำ ซึ่งคนที่เสียประโยชน์ก็คือ อาสาสมัคร”

**สิทธิ ความปลอดภัย...สำคัญสูงสุด

สำหรับแนวปฏิบัติที่จริยธรรมนั้น ศ.กิตติคุณ นพ.อเนกอธิบายว่า การศึกษาวิจัยในคนต้องให้ความสำคัญ 3 ข้อคือ การเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ การยึดหลักผลประโยชน์ และหลักความยุติธรรม สำหรับการเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ คือการเข้าร่วมโครงการจะต้องเป็นการสมัครใจไม่ใช่การบังคับ พร้อมกับให้ข้อมูลที่เพียงพอ มีอิสระในการตัดสินใจ โดยเฉพาะบุคคลที่ไม่สามารถตัดสินใจเองได้ เช่น ผู้ป่วยไม่มีสติสัมปชัญญะ เด็ก หรือผู้ต้องขัง ผู้ที่ด้อยโอกาสในสังคม รวมทั้งจะต้องรักษาความลับของผู้ให้ข้อมูลด้วย

ส่วนหลักผลประโยชน์ คือการคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของผู้เข้าร่วมวิจัย โดยป้องกันความเสี่ยงหรืออันตรายที่จะเกิดขึ้นให้มากที่สุด และเกิดอันตรายน้อยที่สุด ดังนั้น จึงต้องมีการประเมินความเสี่ยงและความไม่สะดวกสบายที่อาจเกิดขึ้นเปรียบเทียบกับประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ และสุดท้ายหลักความยุติธรรม ซึ่งผู้ทำการวิจัยจะต้องได้รับค่าตอบแทน ค่าชดเชย การสูญเสียรายได้ การดูแลในเรื่องสุขภาพ การรักษาพยาบาลในกรณีที่เกิดอันตราย และความเสี่ยงที่เกิดจากการวิจัย

“ตราบใดที่ไม่มีกฎหมายรองรับ ประชาชนก็ยังคงมีความเสี่ยงอยู่ ดังนั้น แนะนำว่าผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการวิจัยควรปกป้องสิทธิของตนเอง โดยสอบถามข้อมูลต่างๆ จากสถานพยาบาลและแพทย์ให้ชัดเจนก่อนจะลงชื่อยินยอมพร้อมกับต้องอ่านข้อมูลให้ละเอียด เช่น มีการประกันชีวิตหรือไม่ หากเกิดผลกระทบต่อสุขภาพใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ ถามข้อมูลทั้งหมดจากแพทย์ที่รับผิดชอบ หรือถ้าในใบสัญญามีรายละเอียดมากก็ควรให้แพทย์หรือผู้ทำโครงการใช้ภาษาที่ไม่มีคำศัพท์ทางการแพทย์หรือภาษาอังกฤษ แต่มีการเขียนให้มีความกระชับ อ่านเข้าใจง่าย ที่สำคัญคือผู้เข้าร่วมวิจัยในคนมีสิทธิที่จะออกจากการเข้าร่วมโครงการได้ตลอดเวลา”

ศ.กิตติคุณ นพ.อเนก แนะอีกว่า อีกประเด็นที่ต้องระวังคือ หากผลตอบแทนการวิจัยให้ผลการตอบแทนสูงมากก็อย่าเพิ่งไว้ใจ หรือตอบตกลง เพราะหลายๆ ครั้งพบว่า จำนวนเงินที่มากส่งผลให้เกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาดได้ โดยค่าตอบแทนที่ได้รับที่คระกรรมการจริยธรรมอนุญาตอยู่ที่ประมาณ 500 บาทต่อ 1 ครั้ง หากมีการต้องเจาะเลือด หรือใช้สารคัดหลั่งอาจอนุโลมให้ได้สูงถึง 3,000 บาท ต่อ 1 ครั้ง โดยจะสูงมากว่า 4,000 บาทต่อครั้ง ไม่ได้ ดังนั้นจะต้องพิจารณาให้หนักเพราะการทดลองนั้นอาจเป็นยาที่มีผลกระทบรุนแรงและมีผลข้างเคียงมาก

**ศึกษาวิจัยในคนได้หรือเสีย

ปัจจุบันในประเทศไทยมีโครงการวิจัยมากมายที่เข้าสู่การพิจารณาคณะกรรมการจริยธรรมของสถาบันต่างๆ ที่ยังมีปัญหาคอขวดคือ ไม่ทันกับความต้องการในการวิจัย ดังนั้น เมื่อเร็วๆ นี้จึงมีการตั้งสำนักงานคณะกรรมการร่วมพิจารณาจริยธรรมการวิจัยในคนในประเทศไทย หรือเจเรค (JREC) ขึ้น เพื่อช่วยลดขั้นตอนและย่นระยะเวลาในการพิจารณาโครงการวิจัยให้สั้นลง

ศ.กิตติคุณ นพ.อเนก บอกว่า เดิมโครงการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหลายสถาบัน (Multi center) จะมีการยื่นโครงการต่อคณะกรรมการพิจารณางานวิจัยแต่ละสถาบันพิจารณา ซึ่งต้องใช้เวลานาน 3-4 เดือน แต่เจเรคสามารถที่จะพิจารณาโครงการให้แล้วเสร็จภายใน 1-2 สัปดาห์ และเมื่อการพิจารณามีความรวดเร็ว ประกอบกับเป็นการดำเนินการที่มีประสิทธิภาพกว่าก็ทำให้ประเทศไทยมีโอกาสดึงดูดทุนวิจัยเข้ามาในประเทศได้มากขึ้น

“ในประเทศไทยมีการตั้งคณะกรรมการจริยธรรม ตั้งแต่ปี 2517 แต่ไม่มีกฎหมายรองรับ ไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน หลายครั้งที่โครงการวิจัยตัวเดียวกันเข้ามา แต่เมื่อยื่นโครงการต่อสถาบันแล้ว บางสถาบันให้ผ่าน บางสถาบันไม่ให้ผ่าน ขณะที่คณะกรรมการร่วมพิจารณาจริยธรรมนี้จะมี 2 ชุด ชุดหนึ่งจะต้องประกอบจากหลายภาคส่วน มีความหลากหลาย ทั้งนักสังคมสงเคราะห์ พระ นักจิตวิทยา นักกฎหมาย ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง จำนวน 14 คน โดยที่แบ่งหญิงชายเท่าๆ กัน” ศ.กิตติคุณ นพ.อเนก กล่าว

ศ.กิตติคุณ นพ.อเนก บอกอีกว่า ในส่วนของคุณภาพมาตรฐานเจเรคจะยื่นหนังสือเพื่อขอการรับรองมาตรฐานจากองค์การอนามัยโลกในอีก 2 เดือนข้างหน้า โดยขณะนี้เพิ่งเริ่มดำเนินการ 3-4 เดือน ซึ่งขณะนี้มี 5 โครงการที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา ในอนาคตตั้งเป้าที่จะรับพิจารณาโครงการ 10 โครงการต่อเดือน ซึ่งเรามีหน้าที่นี้โดยตรงสามารรถทุ่มเทเวลาในการพิจารณาในแต่ละโครงการได้เต็มที่

อย่างไรก็ตาม แม้การวิจัยในคนจะมีบริษัทยาเป็นผู้ว่าจ้าง แต่รับรองว่าจะไม่ตกเป็นเครื่องมือของบริษัทยาอย่างแน่นอน เพราะเรามีการปฏิบัติตามกฎระเบียบ และถูกขั้นตอนกำกับจริยธรรมอยู่แล้ว ส่วนผลดีคือการที่เราจะทำให้ได้เงินตราจำนวนมากเข้าประเทศ แพทย์ได้รับชื่อเสี่ยงเมื่อผลวิจัยประสบผลสำเร็จ แต่จะผลที่ได้รับของผู้ร่วมวิจัยก็ต้องมีผลดีต่ออาสาสมัครไม่ใช่มีผลเสีย

ขณะที่ นิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ บอกว่า ที่ผ่านมาเรามีการทดลองยากับมนุษย์มานานนับสิบๆ ปีแล้ว แต่กระบวนการทดลองอยู่ในส่วนของนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ ชุมชนเพิ่งเข้าไปมีส่วนร่วมช่วง2-3 ปีหลัง ไม่สามารถบอกได้ว่ามีการละเมิดสิทธิของผู้ป่วยหรือไม่ แต่เป็นการดำเนินการของนักวิจัยเพียงด้านเดียว

อย่างไรก็ตามเชื่อว่านักวิจัยน่าจะปฏิบัติตามกติกาแต่อาจจะต้องมีความพยายามในการสร้างความเข้าใจกับชุมชนมากขึ้น โดยอธิบายให้มีความรอบด้านมากที่สุด เช่น มีความปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน ทำความรู้จักกับวัคซีนหรือยาที่จะทำการทดลองเพราะปัญหาหลายๆ ครั้งที่พบคือชาวบ้านไม่เข้าใจถ่องแท้ เพราะนักวิจัยขาดการอธิบาย แค่บอกต้องการอาสาสมัครเท่านั้นเท่านี้ แล้วให้จัดหามาก็จบ

“จริงๆ ถามว่าการให้มีการวิจัยในคนเป็นความคุ้มค่าหรือสูญเสีย คงต้องบอกว่า การคิดค้นวิจัยยาหรือวัคซีนใหม่ๆ ควรเป็นการทำงานร่วมกันในทุกภาคส่วนของสังคม เพราะหากไม่มียาใหม่หรือวัคซีนใหม่ เพื่อรักษาผู้ติดเชื้อให้ดีขึ้น ก็ลำบาก โดยหลักการจึงเป็นการร่วมกันรับผิดชอบเพียงแต่การวิจัยนั้นจะต้องตั้งอยู่บนหลักฐานทางจริยธรรมการทดลองจะต้องมีกติกา ระเบียบ อาสาสมัครไม่ให้ถูกเอาเปรียบ ไม่ใช่ว่า เราตั้งป้อมคัดค้าน แต่การเคารพสิทธิเป็นโจทย์ใหญ่ ดังนั้นหากงานวิจัยผ่านการพิจารณาจริยธรรม ก็ถือว่ามีความปลอดในระดับหนึ่งที่สามารถไว้ใจได้”

นิมิตรบอกอีกว่า ปัจจุบันคงไม่ได้มาถกเถียงกันว่า ปลอดภัยหรือไม่ปลอดภัย แต่ต้องดูว่าโครงการมีความเหมาะสมหรือไม่ อาสาสมัครหรือผู้เข้าร่วมวิจัยได้มีโอกาสในการตัดสินใจเข้าหรือไม่เข้าร่วมโครงการด้วยตัวเองหรือเปล่า เช่น กลุ่มตัวอย่างการวิจัยวัคซีนป้องกันในกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติดกทม. หรือยังเป็นในลักษณะเกรงใจหมอ หรือการมีบุญคุณกัน หรือผู้เข้าร่วมวิจัยได้รับข้อมูลมีครบถ้วนรอบด้านหรือไม่ มากกว่า

***ตามไปดู “วัคซีนป้องกันเอดส์”

ถึงตรงนี้ คงต้องหันมาดูโครงการวิจัยในบ้านเรากันบ้างว่า จริงแล้วเป็นอย่างไร

นพ.ศุภชัย ฤกษ์งาม ผู้อำนวยการ “โครงการศึกษาวัคซีนเอดส์ทดลองปูพื้น-กระตุ้น” ระยะที่ 3 บอกว่า โครงการนี้เป็นโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและสหรัฐฯ ในการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคเอดส์สำหรับคนไทย ซึ่งวัคซีนเอดส์ทดลองที่ใช้ในโครงการนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะสำหรับป้องกันเชื้อเอดส์สายพันธุ์ “บี” และ “อี” ที่พบมากที่สุดในประเทศไทย โดยมีการดำเนินงานของโครงการฯ เริ่มตั้งแต่ปี 2546 มีการรับอาสาสมัครจากจังหวัดระยองและชลบุรีเข้าร่วมโครงการฯ รวมทั้งสิ้น 16,000 คน

ทั้งนี้ ในการรับอาสาสมัครคัดกรองผู้เข้าร่วมโครงการวิจัย ใช้เวลาถึง 2 ปี มีการเปิดหน่วยรับอาสาสมัคร 47 หน่วย โดยต้องเป็นไปตามมาตรฐานสากลอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ผลการวิจัยเป็นที่ยอมรับ เพราะหากสุดท้ายบอกว่าอาสาสมัครไม่มีมาตรฐานก็จะเท่ากับว่าการดำเนินโครงการ 5-6 ปี หมดความหมายดังนั้น ในขั้นตอนนี้จึงมีความละเอียดรอบคอบอย่างมาก มีการซักซ้อม เตรียมการ เพื่อความมั่นใจให้กับอาสาสมัครจนเดือนกุมภาพันธ์ 2547 จึงสามารถเปิดหน่วยที่รับสมัครครบ จนกระทั่งในเดือนธันวาคม 2548 จึงรับสมัครผู้เข้าร่วมโครงการวิจัยครบจำนวน 16,000 คน

“ไม่ว่าจะเป็นอาสาสมัครกลุ่มที่ได้รับวัคซีนหรือที่ได้รับวัคซีนเลียนแบบจะให้การดูแลและปฏิบัติอย่างดีเหมือนๆกัน ทั้งการดูแลสุขภาพการให้คำปรึกษา แต่เราจะปล่อยให้เขาใช้ชีวิตปกติ โดยไม่ได้มีการยุยงส่งเสริมให้อาสาสมัครมีความเสี่ยงในการติดเชื้อเพิ่มขึ้น แต่ก็มีบางรายที่ตรวจพบว่ามีการติดเชื้อเนื่องจากติดจากสามี ซึ่งเราไม่สามารถเข้าไปควบคุมดูแลไปถึงจุดนั้นได้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าวัคซีนล้มเหลวเพราะต้องดูในภาพรวมด้วย”

ผู้อำนวยการโครงการศึกษาวัคซีนเอดส์ทดลองปูพื้น-กระตุ้นระยะที่ 3 เล่าอีกว่า หลังจากเริ่มมีการฉีดวัคซีนเข็มแรก ในปี 2548 และฉีดครบทุกราย ทั้ง 4 เข็ม คนสุดท้ายในเดือนกรกฎาคา 2549 และมีการติดตามความคืบหน้าทุกๆ 6 เดือน เป็นเวลา 3 ปี ขณะนี้เพิ่งจะครบ 1 ปี ซึ่งจำนวนอาสาสมัครวิจัยจาก 16,000 คน เสียชีวิตด้วยสาเหตุต่าง ประมาณ 50-60 คน โดยใน 16,000 คน มีผู้ที่ฉีดวัคซีนครบ 4 เข็ม 14,000 คน เนื่องจากบางรายเมื่อมีการได้รับวัคซีนเกิดการตั้งครรภ์ขึ้น บางรายมีอาการป่วย บางรายขอออกจากโครงการ เนื่องจากมีความจำเป็นจริงๆ ซึ่งหากในปีสุดท้ายเป็นการวิเคราะห์ผลและสิ้นสุดโครงการในเดือนกรกฎาคม 2552 นี้ เหลืออาสาสมัครในการวิจัย 10,000 คน ก็สามารถสรุปผลการทดลอง โดยจะมีการนำผลของอาสาสมัคร 2 กลุ่มมาเปรียบเทียบกันว่า กลุ่มไหนมีการติดเชื้อมากว่ากัน หากกลุ่มที่ได้รับวัคซีนติดเชื้อน้อยกว่า 50% แสดงว่าวัคซีนได้ผล

**ร่าง พ.ร.บ. วิจัยในคน

สุดท้าย คงต้องย้อนกลับมาดูที่ตัวบทกฎหมายที่จะต้องมาตรการควบคุมกันอย่างเข็มแข็งจริงจัง เพื่อให้ทั้งฝ่ายผู้ทำการวิจัยและผู้เข้าร่วมวิจัยได้รับการคุ้มครอง

นพ.ปกรณ์ ศิริยง กรรมการและเลขานุการของคณะกรรมการพิจารณาการศึกษาวิจัยในคน กระทรวงสาธารณสุข บอกว่า ความคืบหน้าในส่วนของร่างกฎหมายการวิจัยในคนขณะนี้อยู่ในระหว่างขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน โดยมีการรับฟังความคิดเห็นแล้วหลายครั้ง ซึ่งกฎหมายเน้นในเรื่องการลงโทษในการคุ้มครองทั้งนักวิจัยและผู้เข้าร่วมการวิจัย ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับการชดเชยความเสียหายจากการวิจัยอาจถูกตัดออกจากร่างกฎหมาย เนื่องจากมีการวิจารณ์ว่ามีความไม่เหมาะสมอย่างมาก ดังนั้น จึงใช้วิธีการตั้งกองทุนชดเชยขึ้นให้กับผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการวิจัย โดยสามารถนำกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องมาใช้ด้วยกันได้ ซึ่งขณะนี้กำลังหาแนวทางที่เหมาะสมอยู่ คาดว่าจะแล้วเสร็จ ภายในปี 2551

ขณะที่ศ.กิตติคุณ นพ.อเนก บอกว่า ถึงเวลาแล้วที่เราควรจะมีกฎหมายในการควบคุมกำกับเพราะหากมีกฎหมายนักวิจัย หรือ แพทย์ ก็จะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดตามกฎหมาย ที่ร่างขึ้น เพื่อให้มีความรอบคอบไม่ทำผิดพลาด และควรกำหนดมาตรการลงโทษอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามคาดว่า โดยเฉพาะมาตราที่มีการกำหนดโทษผู้วิจัยยังคงต้องมีการถกเกียงกันมาก เนื่องจากมีแพทย์ที่ออกมาคัดค้าน เพราะเกรงว่าจะถูกฟ้องร้อง อย่างไรก็ตามมองว่า หากผู้วิจัยกระทำผิดละเมิดผู้ป่วยก็ควรได้รับการลงโทษ เพื่อปกป้องอาสาสมัคร

ด้านนิมิตร์บอกว่า หัวใจสำคัญ ของพ.ร.บ.คือ การที่ประชาชน ชุมชน ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการวิจัยอย่างแท้จริง แต่ขณะนี้ยังไม่เห็นว่าพ.ร.บ.ฉบับนี้ จะช่วยแก้ปัญหาอย่างไร ทั้งยังอาจจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดีด้วย

ส่วน พ.ร.บ.วิจัยในคน จะออกมารูปร่างหน้าตาเป็นแบบไหนคงจะต้องติดตามกันต่อไป…

*******************

เรื่อง - วรรณภา บูชา






กำลังโหลดความคิดเห็น