xs
xsm
sm
md
lg

“ข้างขึ้น ข้างแรม” ปรากฏการณ์บนดวงจันทร์ ที่นับวันจักเลือนหาย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แม้ฟากฟ้ายามราตรีของชาวโลกจะมากมายไปด้วยดวงดาวที่สกาวพราวพร่างจำนวนเหลือคณานับ หากแต่กับดวงจันทร์ของมนุษยชาติแล้ว กลับมีเพียงหนึ่งเดียว

แต่ว่าดวงจันทร์เพียงหนึ่งเดียวนั้นกลับเต็มไปด้วยเรื่องราวและเรื่องเล่ามากมายทั้ง งานเขียน บทเพลง บทกวี งานศิลปะ ในขณะที่บางคนชมจันทร์แล้วพลันเกิดจินตนาการเฉิดฉาย เห็นเป็นกระต่ายน้อยหูยาว บ้างเห็นตากับยายกำลังตำข้าวอยู่บนนั้น บ้างนึกถึง นีล อาร์มสตรอง ฯลฯ

นอกจากนี้หากมองและสังเกตให้ดีๆ ก็จะเห็นว่าดวงจันทร์หาได้เป็นดวงกลมทุกวันไม่ หากแต่จะแปรเปลี่ยนไปตามปรากฏการณ์การเกิด “ข้างขึ้น-ข้างแรม” (The Moon’s Phases) ของดวงจันทร์

บางคืนจันทร์แจ่มเต็มดวงกลมดิก บางคืนเป็นจันทร์ครึ่งซีก บางคืนเป็นเพียงเสี้ยวจันทร์ เสี้ยวใหญ่บ้าง เล็กบ้าง เหมือนกับว่ากำลังยิ้มให้กับคนบนโลก ในขณะที่บางคืนเดือนดับอับแสง ซึ่งปัจจุบันมีน้อยคนนักที่จะรู้จักว่า “ข้างขึ้น-ข้างแรม” คืออะไร?? แล้วมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องอย่างไรกับชีวิตของคนเราอย่างไร?? การเกิดข้างขึ้น-ข้างแรม นั้น

**แหงนมองดวงจันทร์ รู้จัก “ข้างขึ้น- ข้างแรม”

ศาสตราจารย์ ดร.ระวี ภาวิไล นักดาราศาสตร์อาวุโสวัย 80 ปี ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ พ.ศ. 2549 ได้อธิบายถึงปรากฏการณ์ “ข้างขึ้น-ข้างแรม” ว่า เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่เกิดจากการที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลก เมื่อดวงจันทร์โคจรไปรอบโลกเป็นวงกลม ในระยะทางห่างเฉลี่ยประมาณเกือบ 4 แสนกิโลเมตร โดยใช้เวลาประมาณ 29 วันครึ่ง หรือ 1 เดือนตามที่นับกัน

เมื่อดวงจันทร์เคลื่อนที่โคจรรอบโลกเป็นวงกลม แล้วได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ซึ่งเคลื่อนที่เป็นเส้นขนาน เป็นทางขนานมาตกลงบนดวงจันทร์ จากนั้นเมื่อดวงจันทร์เคลื่อนที่ไปรอบโลกในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา การมองเห็นดวงจันทร์จากโลกก็จะเห็นว่าดวงจันทร์มีลักษณะที่แตกต่างกันไปในแต่ละวัน

“เรื่องข้างขึ้น ข้างแรม เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทางวิทยาศาสตร์ที่มีมาตั้งแต่ 100 ปี หรือ 200 ปีมาแล้ว เป็นการคิดถึงแรงดึงดูดของดวงจันทร์กับน้ำบนโลก ดวงจันทร์นี่มันมีแรงดึงดูดแล้วมันก็ทำให้ผิวน้ำบนโลกมันโป่ง แล้วเมื่อดวงจันทร์มันเคลื่อนที่ไปผิวน้ำบนโลกที่มันโป่งมันก็ถูกดวงจันทร์ดูด มันก็เคลื่อนที่ไปบนโลก มันก็มาปรากฏบนน้ำขึ้น น้ำลงบนโลก และน้ำขึ้น น้ำลงที่เขาพยากรณ์กัน กรมอุตุนิยมพยากรณ์ก็อาศัยการคำนวณของแรงดึงดูดของดวงจันทร์กับน้ำบนโลก ว่ามันจะเคลื่อนยังไง น้ำบนโลกเคลื่อนที่ตามดวงจันทร์ไปอย่างไร นี่ก็เป็นคำตอบว่าในเรื่องทางวิทยาศาสตร์นี้ก็เกี่ยวกับแรงดึงดูดของดวงจันทร์กับน้ำบนโลก ทำให้เกิดน้ำขึ้น น้ำลง” ศ.ดร.ระวี อธิบาย

เมื่อถามถึงว่าการเกิดข้างขึ้น ข้างแรมนั้นมีความสัมพันธ์ เกี่ยวเนื่องอย่างไรต่อการการดำเนินชีวิตของคนเรา เรื่องนี้ ศ.ดร.ระวี บอกว่าถ้าหากว่าพูดถึงการเกิดข้างขึ้น ข้างแรม ก็จะเห็นได้จากในเรื่องของทางศาสนา ที่มีการใช้การดูข้างขึ้น ข้างแรม มาเป็นตัวกำหนดวันต่างๆ ทางพระพุทธศาสนา อย่างเช่นการกำหนดวันพระข้างขึ้น วันพระข้างแรม วันวิสาขบูชา วันมาฆบูชา วันอาสาฬหบูชา ซึ่งเป็นการบอกให้รู้ถึงวันสำคัญต่างๆ ทางพระพุทธศาสนา

“การรู้ข้างขึ้น ข้างแรม ก็ช่วยให้รู้ว่าวันไหน เป็นวันตามประเพณี คนในสมัยที่ยังไม่มีการเข้ามาอยู่ในเมือง และยังไม่มีไฟฟ้าคลุมเมือง เขาก็อยู่ใกล้ธรรมชาติ เขาก็อาศัยความรู้ จากที่เขามองดูรู้ข้างขึ้น ข้างแรม มันก็เป็นประโยชน์ไม่น้อย ในแง่ที่เขาไม่ต้องดูปฏิทิน เขาก็รู้ว่าตอนนี้จะถึงวันพระ วันโกนแล้วหรือยัง” ศ.ดร.ระวีบอก

ดูเหมือนว่าการดูข้างขึ้น ข้างแรมเป็นนั้นมีความผูกพัน และยังประโยชน์ต่อวิถีชีวิตของคนเราอยู่ไม่น้อย แต่ว่าปัจจุบันนี้คนเรากลับเริ่มห่างไกลจากการรู้จัก และดูข้างขึ้น ข้างแรมไม่เป็นกันแล้ว ซึ่งเมื่อสอบถามศ.ดร.ระวี ว่ามีความรู้สึกอย่างไรต่อเรื่องนี้ ท่านตอบด้วยความคิดเห็นส่วนตัวว่า

“คิดว่ามันเป็นเพราะว่าในสมัยนี้ คนอยู่ในเมือง แสงเมือง หรือว่าตึกรามบ้านช่องในเมือง ทำให้คนไม่ได้มีเวลา หรือไม่มีโอกาสที่จะมองเห็นดวงจันทร์ ไม่มีโอกาสมองเห็นดวงดาว โดยเฉพาะดวงดาวยิ่งมองไม่เห็นใหญ่ เพราะเหตุว่าอากาศฟ้าในเมืองมันทำให้มองไม่เห็น แต่ต่างจากชาวบ้านนอกเมือง คนในชนบท ชาวไร่ ชาวนา เขายังใกล้ธรรมชาติมากกว่า เขาได้เห็นดาว เห็นเดือน เขารู้ข้างขึ้น รู้ข้างแรมจากการมองดูดวงจันทร์ มองดูดวงดาว มองดูดวงอาทิตย์มากกว่าคนในเมืองมาก”

“ถ้าอยากรู้สึกว่าตัวเองอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ก็ออกไปนอกเมืองเสียบ้าง แล้วก็ดูท้องฟ้าจะได้เห็นดาว เห็นเดือนชัดเจนขึ้น ผมว่ามีความสุขดี”ศ.ดร.ระวี กล่าวเชิญชวน

**ข้างขึ้น-ข้างแรมสิ่งสำคัญในการออกเรือ

ถึงแม้จะดูเหมือนว่าเรื่องการเกิดข้างขึ้น ข้างแรม อาจจะเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับใครหลายๆ คน แต่ทว่าก็ยังมีกลุ่มคนบางกลุ่ม ที่ยังอาศัยและใช้หลักการของการเกิดข้างขึ้น ข้างแรม มาเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตประจำวัน อย่าง

บุญทัน กรัญญิรัตน์ อายุ 41 ปี ลูกน้ำเค็มแห่งหมู่บ้านชาวประมงสลักคอก เกาะช้าง จ.ตราด เป็นชาวประมงคนหนึ่งที่ประกอบอาชีพทำการประมงมากว่า 20 ปี โดยสืบทอดอาชีพประมงมาจากรุ่นพ่อ รุ่นแม่ และก็ยังยึดถือวิถีชีวิตการออกทำประมงแบบโบราณ คือ มีการอาศัยดูการเกิดข้างขึ้น ข้างแรม เป็นตัวช่วยในการดูวันที่จะออกไปทำการประมงหาปู หาปลา

“การดูข้างขึ้น ข้างแรม เป็นตัวบอกลักษณะของน้ำในการทำประมง อันนี้มันเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่ถ่ายทอดมานานแล้ว คือจะดูข้างขึ้นข้างแรมในการออกหากิน ดูเดือนมืด เดือนหงาย ดูน้ำดีหรือไม่ดี ดูว่าน้ำไหลมันไหลขึ้นไหลลงอะไรประมาณนี้นะครับ” บุญทันเล่า

บุญทัน บอกให้รู้อีกว่าการออกไปทำประมงนั้น หากอาศัยการดูข้างขึ้น ข้างแรม ด้วยก็เป็นตัวช่วยให้การทำประมงนั้นง่ายขึ้น ซึ่งคนโบราณจะนิยมดูข้างขึ้น ข้างแรมกันมากในการออกไปทำประมง แต่ว่าเมื่อมาถึงสมัยนี้การออกไปทำประมงก็ต้องดูอะไรหลายๆ อย่างประกอบกันไปด้วย

บุญทันยกตัวอย่างให้ฟังว่าการทำประมงอย่างการออกไปหาปลา และกุ้งนั้น ถือว่าอาศัยการดูข้างขึ้น ข้างแรมเป็นตัวช่วยที่ดี อย่างการออกไปหากุ้งต้องดูลักษณะน้ำ ว่าในวันที่จะออกไปหากุ้งนั้นน้ำเป็นอย่างไร ซึ่งการออกไปหากุ้งต้องดูวันที่น้ำไหล เพราะถ้าวันนั้นน้ำไหลอวนที่วางไว้ก็จะไหลไปตามน้ำทำให้กุ้งติดอวนเยอะ ซึ่งการออกไปหากุ้งก็สามารถออกไปได้ทั้งวันข้างขึ้น และข้างแรม แต่ว่าส่วนใหญ่จะออกไปหากุ้งในวันข้างขึ้นมากกว่าข้างแรมเพราะข้างขึ้นน้ำจะไหลดีกว่า อย่างเช่นถ้าออกทะเลไปหากุ้งตอนข้างขึ้น 5 ค่ำ พอกลับมาแล้ว ก็ค่อยกลับออกไปหากุ้งอีกครั้งตอน 5 ค่ำข้างแรม ซึ่งเดือนหนึ่งจะออกไปได้ 2 ครั้ง

“ส่วนการออกไปหาปลาก็เอาข้างขึ้น ข้างแรมมาเป็นตัวช่วยบ้างแต่ไม่เน้นมาก จะเน้นดูเดือนมืดหรือเดือนหงาย เวลาเดือนหงายท้องฟ้ามันจะสว่างมาก ปลามันจะเห็นอวน มันก็จะไม่มาติดอวน แต่ถ้าเป็นเดือนมืดปลามันจะไม่เห็นอวน มันจะติดอวนครับ” บุญทันบอกให้รู้

เมื่อถามบุญทันว่า ดูเหมือนว่าแล้วเดี๋ยวนี้ชาวประมงหลายๆ คน ไม่ค่อยที่จะดูข้างขึ้น ข้างแรมกันบ้างแล้วในการออกไปทำประมงกันแล้ว มีความคิดเห็นอย่างไร บุญทันตอบว่า

“อันนี้มันก็แล้วแต่บุคคลแหละครับ ใครที่ยึดถือเขาก็ยึดถือ ใครที่ไม่ยึดถือเขาก็ทำตามสบายเขาแหละครับ ตัวผมเองทุกวันนี้ทำประมงก็ยังยึดถือดูข้างขึ้น ข้างแรมด้วย ควบคู่ไปกับดูวันตามความสะดวกในการออกไปทำประมง ดูสภาพดินฟ้าอากาศด้วยว่าเหมาะแก่การออกไปทำประมงไหม อย่างผมจะดูเลยว่าเดือนที่แล้วผมออกกี่ค่ำ แล้วเดือนหน้าผมก็ดูให้มันตรงกันกับที่ผมเคยออกครับ” บุญทันเล่าประสบการณ์ให้ฟัง

**“ตลาดน้ำท่าคา” นัดขายของตามข้างขึ้น -ข้างแรม

และนอกจากชาวประมงอย่างบุญทัน ที่อาศัยการดูข้างขึ้น ข้างแรมแล้ว ยังมีกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ยึดถือเอาการเกิดข้างขึ้น ข้างแรม มาเป็นตัวบทกำหนดวันเวลา นั่นก็คือบรรดาพ่อค้าแม่ขาย ที่ “ตลาดน้ำท่าคา” คลองพันลา หมู่ 2 ต.ท่าคา อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม

ตลาดน้ำท่าคาแห่งนี้ ถือว่าเป็นตลาดนัดโบราณแห่งเดียวในเมืองไทยก็ว่าได้ ที่ว่าพวกพ่อค้าแม่ค้าจะนัดกันมาขายของแบบแปลกๆ ไม่เหมือนใคร คือเป็นการนัดขายของกันโดยดูวันจากข้างขึ้น ข้างแรม เป็นตัวกำหนด ไม่ได้นัดกันมาขายตามวันจากปฏิทินสากล

ลุงจรูญ เจือไทย ชาวบ้านท่าคาวัย 73 ปี เป็นประธานกลุ่มโฮมสเตย์ และกลุ่มอนุรักษ์ตลาดน้ำท่าคาสมุทรสงคราม บอกเล่าเรื่องราวของตลาดน้ำท่าคาให้ฟังว่า ตลาดน้ำท่าคาถือว่าเป็นตลาดโบราณ ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร โดยเมื่อก่อนนั้นตลาดน้ำท่าคาเป็นตลาดบก ที่ชาวบ้านจะมานัดขายของกันที่สันเขื่อน ตรงหมู่ 5 ใกล้กับปากอ่าว มีทั้งชาวสวนและชาวเรือ นำสินค้าของตัวเองมาค้าขายแลกเปลี่ยนกัน หลังจากนั้นก็มีพ่อค้าแม่ค้านำสินค้าอื่นๆ มาขายด้วย แต่มีปัญหาตรงที่สถานที่ขายของตรงสันเขื่อนนั้นขึ้น-ลงลำบาก ค้าขายไม่สะดวก พ่อค้าแม่ขายในสมัยนั้นเลยเปลี่ยนมาซื้อขายกันในน้ำแทน จนเกิดเป็นตลาดน้ำขึ้นแล้วก็มีการเปลี่ยนสถานที่ขายร่นเข้ามาเรื่อยๆ จากปากอ่าว จนกระทั่งมาขายกันตรงสถานที่ปัจจุบันตรงคลองพันลา

“เรื่องการนัดขายของที่ชาวตลาดน้ำท่าคาที่ดูวันจากข้างขึ้น ข้างแรมนั้น ลุงไม่รู้ว่ามีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่ามีมานานแล้วตั้งแต่คนสมัยโบราณ ตั้งแต่รุ่นปู่ ย่า ตา ยายแล้ว ที่เขาจะนัดขายของกันแค่ 6 วันเท่านั้น คือ วันขึ้น 2 ค่ำ, 7 ค่ำ, 12 ค่ำ และ วันแรม 2 ค่ำ, 7 ค่ำ, 12 ค่ำ หรือทุกๆ 5 วัน (ชาวบ้านจะนัดขายของกันประมาณ 8 โมงเช้าถึงเที่ยง) ส่วนจะตรงกับวันอะไร วันที่เท่าไหร่ในปฏิทินสากลก็ต้องไปดูกันเอาเอง” ลุงจรูญบอก

ถามลุงจรูญว่า เคยคิดที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการขายของโดยดูจากวันที่ตามปฏิทินสากล เพื่อให้แม่ค้าพ่อขายมานัดขายของกันให้ตรงกับวันเสาร์-อาทิตย์บ้างไหม เพราะว่าจะได้มีคนมาซื้อของกันมากๆ เรื่องนี้ลุงจรูญบอกว่า เคยมีการคิดมาตั้งแต่ปี 41 ที่จะให้พวกแม่ค้ามาขายของกันในวันเสาร์-อาทิตย์ เพราะจะได้มีคนมาเที่ยวและมาซื้อของกันเยอะๆ แต่ว่าไม่ประสบผลสำเร็จ พ่อค้าแม่ขายไม่มีใครมาขายของกันสักราย

“ผมก็เคยพยายามเปลี่ยนเป็นเสาร์ อาทิตย์ แต่พวกเขาก็ไม่ยอมเปลี่ยน แม่ค้าก็ไม่มา ทำยังไงก็ไม่มา ทำอะไรก็ไม่ได้ เคยให้ทุนแม่ค้าร้านละ 1,000 บาท เอาของมาขาย เอากำไร แต่แม่ค้าก็ยังไม่เอา แต่ถ้าบางครั้งเกิดไปตรงกับวันเสาร์ วันอาทิตย์ก็ดี เพราะเขาจะขายดี พวกแม่ค้าเขาก็จะรู้ว่าถ้าข้างขึ้นข้างแรมตรงกับเสาร์-อาทิตย์ เขาก็จะเตรียมของขายไว้เยอะ แต่ถ้าปกติให้เตรียมมาขายเสาร์-อาทิตย์ พวกเขาก็จะไม่มา ก็เลยต้องปล่อยไปตามวิถีของเขาแบบนี้ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่” ลุงจรูญบอก พร้อมกับยังบอกอีกว่าการนัดขายของตลาดน้ำท่าคาโดยดูวันจากข้างขึ้น ข้างแรมแบบนี้ ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ที่ดีของตลาดน้ำท่าคา ซึ่งหาไม่ได้จากที่ไหนในประเทศไทยอีกแล้ว

ท้ายนี้ลุงจรูญยังได้ฝากข้อคิดทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า “ผมของวิงวอนว่าคนรุ่นใหม่หรือรุ่นเก่าก็ดี หากว่าได้ยินคำว่าข้างขึ้นข้างแรมให้มองย้อนหลังถึงคำของรุ่นพ่อรุ่นแม่เราว่าให้คงไว้ ผมว่าของโบราณมันไม่เสียหายหรอกครับ และก็อยากเชิญชวนให้ทุกคนมาเที่ยวที่ตลาดน้ำท่าคาด้วย”

นิทานเรื่องเล่าเกี่ยวกับ “ข้างขึ้น ข้างแรม”

ปรากฏการณ์ “ข้างขึ้น ข้างแรม” นอกจากจะเป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์แล้ว ยังเป็นตำนานปรัมปราที่เกิดเป็นนิทานพื้นบ้านหลายเรื่อง ซึ่งจะขอยกตัวอย่างมาให้ได้อ่านกันดังนี้

จากหนังสือเรื่องไทยใหญ่ มีการกล่าวถึงเรื่องราวความเชื่อเรื่อง “ข้างขึ้น ข้างแรม” เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า พระจันทร์ คือ กระต่ายตัวน้อยที่คลุมตัวด้วยเงินอยู่ในเรือนแก้วที่มีหน้าต่างถึง 15 บาน และเจ้ากระต่ายตัวน้อยก็ต้องเปิดหน้าต่างคืนละบานๆ จนครบเดือนก็ทำจะให้ค่อยๆ สว่างไปทั่ว ก็จะกลายเป็นการเกิดข้างขึ้น และก็จะต้องปิดหน้าต่างคืนละบานๆ จนครบ 15 บาน ก็เป็นการเกิดข้างแรม

นิทานอีกเรื่อง เป็นนิทานพื้นบ้านของชาวไอนุ ประเทศญี่ปุ่น ที่เชื่อกันว่าพระอาทิตย์กับพระจันทร์นั้นเป็นสามีภรรยากัน พระอาทิตย์นั้นเป็นเพศชายที่จะมีเสื้อผ้าดีๆ สวมใส่ ก็เลยมีแสงสว่างจ้าในตัว ส่วนพระจันทร์นั้นเป็นภรรยา ที่จะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีขาวและสีดำเท่านั้น จึงมีแสงสองชนิด เมื่อยามใดที่พระจันทร์สวมเสื้อผ้าสีขาวก็เกิดเป็นข้างขึ้น และเมื่อไหร่ที่สวมเสื้อสีดำก็เกิดเป็นข้างแรม

******************

เรื่อง - ทีมข่าวท่องเที่ยว

ดวงจันทร์เต็มดวงทอแสงสุกสกาว
อาชีพประมงยังคงอาศัยการดูข้างขึ้น-ข้างแรม ในการออกเรือ
ตลาดน้ำท่าคา ที่การนัดขายของยังคงอิงกับข้างขึ้น-ข้างแรม
ศาสตราจารย์ ดร.ระวี ภาวิไล
ลุงจรูญ เจือไทย
กำลังโหลดความคิดเห็น