ในยุคโลกไร้พรมแดนและการแข่งขันทางการค้าทวีความรุนแรงอย่างไม่หยุดยั้งเช่นปัจจุบันนี้ เราๆ ท่านๆ ย่อมทราบดีว่าการค้าโลกดำเนินไปภายใต้ข้อจำกัดและปัจจัยหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะความเป็นประชาธิปไตย การมีส่วนร่วม ความโปร่งใส การไม่เลือกปฏิบัติ การจ้างงานและการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม เข้ามาเกี่ยวข้องในการทำการค้าด้วย ซึ่งหลักการดังกล่าวนี้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ขององค์กรตราสัญลักษณ์แฟร์เทรด หรือเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Fairtrade Labelling Organization International (FLO)
Fairtrade Labelling Organizations International (FLO) เป็นองค์กรที่รับรอง ดูแล และประชาสัมพันธ์เรื่องการติดฉลากสินค้าแฟร์เทรด โดยจะมีการตรวจสอบการผลิตสินค้าว่าได้มาตรฐานการค้าโดยชอบธรรมหรือไม่ เพื่อให้ผู้บริโภคได้มั่นใจว่า การบริโภคสินค้าดังกล่าว จะทำให้ผู้ผลิตในทุกลำดับชั้นได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรมจริง ซึ่ง FLO ประกอบไปด้วยองค์กรสมาชิกจากชาติต่างๆ ซึ่งโดยมากจะมาจากกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วและมีมาตรฐานในการครองชีพสูง สำหรับตราสินค้าของ FLO นั้นจะใช้คำว่า Fairtrade (แฟร์เทรด)
นอกจากองค์กรตราสัญลักษณ์แฟร์เทรด จะให้ความสำคัญกับหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังให้ความสำคัญกับกลุ่มเกษตรกรรายย่อยมากกว่าผู้ส่งออกหรือผู้ผลิตรายใหญ่ๆ ดังนั้น การดำเนินงานขององค์กร FLO จึงมุ่งเน้นในการช่วยเหลือเกษตรรายย่อย โดยการส่งเสริมสินค้าเกษตรในประเทศกำลังพัฒนา ให้เข้าไปจำหน่ายในประเทศยุโรปหลายประเทศ รวมทั้งประเทศอุตสาหกรรม เช่น ญี่ปุ่นด้วย
We support
ในส่วนของประเทศไทย องค์กร FLO ได้ดำเนินการส่งเสริมผลผลิต 2 ประเภท ได้แก่ ข้าว และกาแฟ ซึ่งได้เริ่มส่งเสริมผลผลิตข้าวมาตั้งแต่ปี 2545 โดยทำงานอย่างใกล้ชิดกับสหกรณ์ผู้ผลิตของไทย 2 แห่ง คือในจังหวัดอยุธยา และในพื้นที่ใกล้กับจังหวัดยโสธรและศรีสะเกษ นอกจากนี้ ยังได้ร่วมงานกับกลุ่มชาวบ้านผู้ผลิตกาแฟในจังหวัดเชียงใหม่อีกด้วย
วาสน์วิไล สุรตริยานนท์ หรือ อ้อม เป็นผู้หนึ่งที่เข้ามาให้ความสนใจในสินค้าแฟร์เทรดของประเทศไทยเล่าให้ฟังว่า แฟร์เทรด (Fairtrade) คือการค้าที่เป็นธรรม หรือการค้าโดยชอบธรรม เป็นการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับความยุติธรรมในการค้า สนับสนุนมาตรฐานสากลในเรื่อง แรงงาน สิ่งแวดล้อม และสังคม สำหรับสินค้าและบริการ โดยเฉพาะที่ส่งออกมาจากประเทศโลกที่สามและโลกที่สอง ไปยังประเทศโลกที่หนึ่ง มาตรฐานเหล่านี้อาจเป็นแบบสมัครใจ หรือแบบที่บังคับโดยรัฐบาลหรือองค์กรระหว่างประทศ
นอกจากนี้ องค์กร FLO ที่ดูแลเรื่องสินค้าแฟร์เทรดยังได้ทำงานร่วมกับกลุ่ม NGOs และกลุ่มผู้ผลิตบางกลุ่มโดยมีผู้ประสานงานอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ และกำลังจะว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญไทยเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพผลผลิตด้านการเกษตร หากผู้ส่งออกหรือกลุ่มเกษตรกรไทยที่อยู่ในเกณฑ์สนใจจะนำผลผลิตเข้าร่วมโครงการตราสัญลักษณ์ แฟร์เทรด สามารถติดต่อไปยังสำนักงานใหญ่องค์กร FLO เพื่อขอใบรับรอง เมื่อได้ใบรับรองแล้ว กลุ่มเกษตรกรจะต้องติดต่อกับองค์กรสมาชิกของ FLO ในแต่ละประเทศ เพื่อขอใช้ตราสัญลักษณ์ โดยองค์กร FLO จะขายสิทธิการใช้ตราสัญลักษณ์ให้แก่ผู้ที่ได้รับใบอนุญาต หรือใบรับรองที่ถูกต้องเพื่อติดฉลากบนสินค้าเพื่อวางจำหน่ายในประเทศต่างๆ ต่อไป
“ความเป็นมาของแฟร์เทรด คือการร่วมกันขององค์กรทางยุโรปที่เข้าไปช่วยหมู่บ้านชนบทในแอฟริกา เพราะที่แอฟริกาจะมีปัญหาเรื่องสินค้า และผลิตภัณฑ์พื้นเมืองที่ผลิตมาแล้วไม่สามารถหาตัวแทนจำหน่ายได้ ซึ่งบางครั้งมีตัวแทนจำหน่ายแต่อาจถูกกดราคาสินค้า ทำให้สินค้าที่ผลิตมาไม่รู้จะผลิตไปเพื่ออะไร
“แฟร์เทรดที่ชาวยุโรปริเริ่มและนำมาใช้ตอนแรกเรียกว่า Fairprice โดยตอนนั้นนำมาเป็นการรองรับสินค้าที่ผลิตออกมา และเพื่อระบายสินค้าออกสู่ตลาด ซึ่งการเข้าไปเป็นตัวแทนในการรองรับคุณภาพสินค้าของ แฟร์เทรดจะเข้าไปช่วยยกคุณภาพสินค้าให้ดูดีมากขึ้นด้วย” วาสน์วิไล เล่าให้ฟังถึงความเป็นมา และรายละเอียดของการทำการค้าในรูปแบบแฟร์เทรด
ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้คนไทยรู้จักรูปแบบการทำการค้าที่สากลเรียกว่าแฟร์เทรดน้อยมากๆ ส่วนใหญ่จะแห่ไปให้ความสนใจหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือ OTOP มากกว่าซึ่งต้องบอกว่า แฟร์เทรดมีความชัดเจนตรงที่ นอกเหนือจากการเข้าไปเพื่อเอาสินค้าออกมาจำหน่าย ต้องมีการเพิ่มเติมทักษะ ให้ไอเดียในการทำงาน เพื่อความชำนาญในการผลิตของชาวบ้านด้วย ซึ่งอาจจะเป็นการกำหนดรูปแบบ หรือมาตรฐานที่ชัดเจนไว้ ชาวบ้านจะได้มีความตั้งใจในการทำงาน และมีเป้าหมายคือรายได้ที่จะเพิ่มเติมเข้ามา
ยกตัวอย่างสินค้าจาก Sop Moei Arts ที่มาจากแม่ฮ่องสอน มีการเริ่มต้นจากเป็นองค์กรอิสระจากประเทศสวีเดน เป็นองค์กรที่เข้ามาช่วยชาวเขาในจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยการฝึกทักษะ และมีทีมเพิ่มเติมความเชี่ยวชาญ จากเมื่อก่อนอาจจะเป็นการทอผ้าทั้งผืน ซึ่งเป็นสไตล์เดิมๆ ที่ไม่ได้มีการพัฒนาหรือปรับปรุงรูปแบบอะไรมากนัก ก็ได้นำเอาของเก่าและของใหม่มารวมกันและหาสิ่งที่ดีที่สุด
Fairtrade Inspiration
จากการเดินทางใช้จ่ายเวลาในเมืองไทย เพื่อศึกษาถึงเรื่องราวภูมิปัญญาชาวบ้านในชนบททำให้ โตชิโนริ ทาคาซาวา (Toshinori Takasawa) ชายหนุ่มซึ่งเดินทางมาจากแดนอาทิตย์อุทัย ที่มีเมืองหลวงนามว่าโตเกียว ลงทุนเปิดร้านย่านถนนข้าวสารเพื่อเป็นสื่อกลางในการแสดงสินค้าแฟร์เทรดของไทยที่เขาชื่นชอบในนาม LOFTY BAMBOO
“ตอนแรกผมมาเรียนต่อปริญญาโทเกี่ยวกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลังจากที่เรียนจบก็ได้เดินทางไปในสถานที่ต่างๆ ตามชนบท ตามหมู่บ้าน ของประเทศต่างๆ ในแถบนี้เพื่อเรียนรู้พฤติกรรม ความเชื่อ ความเป็นมาหลายๆ อย่างจากชีวิตจริงของมนุษย์
“ผมชื่นชอบความเป็นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด แรงบันดาลใจจริงๆ เกิดขึ้นเมื่อวันหนึ่งได้เข้าไปเห็นวัฒนธรรม การกินอยู่ รวมถึงทักษะในการทำงานชาวเขา ทำให้ผมสนใจศึกษาเรื่องแฟร์เทรด และตัดสินใจช่วยส่งเสริมการขาย และสร้างรายได้ให้แก่ชาวชนบท เพราะด้วยความรู้สึกชื่นชอบที่มีอยู่แล้วเต็มๆ จึงทำให้ผมพอทราบได้ว่าอะไรที่ควรจะเพิ่มเติมลงไปในงานแต่ละชิ้น และอะไรที่สมควรจะตัดออกไปเสีย
“สินค้าแฟร์เทรดปกติทั่วไปในเมืองไทยจะเป็นการแสดงสินค้าออกมาในรูปแบบของเฟสติวัล หรือจดเป็นเอ็กซิบิชันมากกว่า คือจัดเป็นงานใหญ่ๆ แบบนั้นไปเลย คราวนี้การที่ชาวต่างชาติ หรือคนทั่วไปจะมาซื้อสินค้าในช่วงเวลาธรรมดาๆ ทั่วไปก็จะหาร้านไม่ได้ ร้านนี้ก็จะเป็นเหมือนกับตัวแทนในการจำหน่ายสินค้าแฟร์เทรด เพราะว่าในวันธรรมดาๆ ทั่วไปจะไปหาซื้อสินค้าที่เป็นแฟร์เทรดได้ยาก
“ในร้านนี้ราคาคนไทยและชาวต่างชาติเท่ากันหมด เพราะต้องบอกว่าราคาไม่แพงเลย เราไม่ได้เอากำไรเยอะ และไม่ได้ตั้งราคาไว้เพื่อการต่อรอง อย่างที่บอกว่า Fairtrade ก็คือ Fairprice ต้องให้ความเป็นธรรมทั้งฝ่ายผู้ผลิต และผู้บริโภค” โตชิโนริเล่าให้ฟังแบบไทยคำอังกฤษคำ
โตชิโนริยังบอกต่ออีกด้วยว่า ในอนาคตข้างหน้าเขายังคงต้องหาเวลาเพื่อเดินทางออกไปหาหมู่บ้าน หรือชุมชน
ส่วนหากจะถามเรื่องของการส่งออกนั้นโตชิโนริบอกว่า ตอนนี้ยังไม่มีส่งออก คือจริงๆ แล้วสินค้าที่เป็นแฟร์เทรด ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเงิน กระเป๋า หรือว่าอะไรก็แล้วแต่มันเป็นของที่ทำมือทั้งสิ้น ไม่มีอะไรเลยที่ใช้เครื่องจักร หรือทำจากโรงงาน ไม่ใช่งานโหล มันจึงยากที่จะทำให้มีการส่งออกได้ในเวลาอันรวดเร็ว เพราะผลิตภัณฑ์แต่ละอย่างทำยากต้องใช้เวลา และที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องของราคา เวลามาต้นทุนก็อยู่ในระดับหนึ่งแล้ว จะส่งออกในราคาที่ถูกนั้นอาจจะเป็นไปได้ยาก
Product From Villages
ย้อนกลับไปพูดถึงองค์การ FLO กันอีกครั้ง เพราะขณะนี้ ผลผลิตของไทยที่ติดตราสัญลักษณ์แฟร์เทรด มีวางจำหน่ายแล้วในยุโรปหลายประเทศ เช่น สวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และในญี่ปุ่น ซึ่งในปีหน้าจะเริ่มวางจำหน่ายในเยอรมนี ออสเตรีย และเดนมาร์ก ในชั้นนี้ องค์กร FLO ได้มุ่งดำเนินการส่งเสริมสินค้าไทยเฉพาะข้าวและกาแฟเท่านั้น และโอกาสต่อไป อาจเริ่มขยายโครงการส่งเสริมไปสู่สินค้าประเภทอื่น อาทิ ผลไม้ น้ำผลไม้ และเครื่องเทศ โดยจะพิจารณาปัจจัยต่างๆ ประกอบ ได้แก่ ความต้องการของตลาด การรวมกลุ่มของเกษตรกรในรูปแบบสหกรณ์ที่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ขององค์กร
และถ้าจะพูดกันตามตรง LOFTY BAMBOO โฟกัสไปที่สินค้าที่ผลิตด้วยฝีมือชาวบ้านจากหมู่บ้านในชนบทตามภูมิภาคต่างๆ ของประเทศไทย ซึ่งสามารถกระรันตีได้เลยว่าทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคจะได้รับราคาที่ดี สมเหตุ สมผล เพราะเขาถือว่าเป็นการช่วยเหลือผู้ผลิต เพื่อให้มีการสร้างสินค้าใหม่ๆ มีความร่วมสมัยมากยิ่งขึ้น
“โดยสินค้าทุกอย่างได้มีการเข้าไปปรับปรุงรูปแบบเก่าๆ เพื่อเพิ่มคุณค่า และราคา และทำให้โลกได้รับรู้ว่ามีสินค้าแบบนี้ ชนิดนี้อยู่ในมุมหนึ่งของโลก ผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาเหล่านั้นจะได้ไม่หายไปจากความทรงจำ” โตชิโนริเล่าให้ฟังพร้อมกับจะพาเราไปเริ่มต้นทำความรู้จักกับแฟร์เทรดของ LOFTY BAMBOO
Karen Silve ผลิตภัณฑ์เครื่องเงินซึ่งเกิดขึ้นจากหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่บนเทือกเขาในจังหวัดลำพูน เนื่องจากวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ และอะไรทัศนคติบางชนิดที่สั่งสมกันมาเป็นระยะเวลานานทำให้ชาวกะเหรี่ยงต้องสวมเครื่องประดับที่เป็นห่วงเงินในช่วงเทศกาล หรือในกิจกรรมพิเศษ เพื่อเป็นสิ่งหนึ่งในการแสดงออกถึงฐานะทางสังคม และนอกจากนี้ ในหน้าประวัติศาสตร์ยังบอกอีกว่า ผู้หญิงชาวกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่บ้านเฉยๆ จะประดิษฐ์เครื่องประดับเงินจนกลายเป็นผู้ที่มีทักษะทางด้านนี้สูง จนมีคนกลุ่มเล็กๆ เข้าไปพบจึงให้การช่วยเหลือที่จะเผยแพร่ทักษะของหญิงสาวชาวกะเหรี่ยงเหล่านี้
Bead Accessories and Apron Weaving เครื่องประดับที่สร้างสรรค์ขึ้นจากลูกปัดหลากหลายสีสันเกิดขึ้นจากภูมิปัญญาของชาวบ้านกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในจังหวัดอุทัยธานี โดยการทำเครื่องประดับลูดปัดนั้นถือว่าเป็นประเพณีที่ยึดถือกันมาเป็นเวลานานกว่า 100 ปีมาแล้ว ซึ่งเขาจะใช้เป็นเครื่องประดับสำหรับงานแต่งงาน และในช่วงที่มีกิจกรรมพิเศษๆ ในหมู่บ้าน
Saori Project จากจังหวัดพังงา ที่เกิดขึ้นจากการร่วมมือร่วมใจเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติสึนามิในประเทศไทย โดยเริ่มต้นจากกลุ่มอาสาสมัคร และพวกอนุรักษ์สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ซึ่งเบื้องต้นได้รวมกลุ่มกันจากคนที่มีทักษะในการเย็บผ้า แล้วนำผ้าที่ได้รับจากการบริจาคมาร่วมกันสร้างผลิตภัณฑ์กระเป๋าจากเศษผ้าที่ไม่มีดีไซน์ตายตัว เพื่อเปลี่ยนชีวิตของผู้ที่ประสบภัยให้มีคุณภาพที่ดีมากยิ่งขึ้น
Sop Moei Arts ผ้าทอมือที่ส่งตรงจากหมู่บ้านของชาวเขาบนพื้นที่ราบสูงในจังหวัดแม่ฮ่องสอน เกิดขึ้นจากองค์กร Swedish International Development assistance (SIDA) ของประเทศสวีเดน เมื่อปี 1988 ที่เข้าไปเห็นการทอผ้าพื้นเมืองจึงเกิดความสนใจที่จะพัฒนาทักษะ และฝีมือให้แก่ชาวบ้าน โดยมีการจัดตั้งกลุ่มคนที่เป็นงานดีไซน์เข้าไปฝึกสอน เพื่อให้ได้งานที่มีความร่วมสมัย และสร้างลวดลวยที่สวยแปลกตาขึ้น จะได้สามารถขายในตลาดโลกได้ ซึ่งชิ้นงานแต่ละพื้นจะได้รับแรงบันดาลใจมาจากความเป็นเมืองหลวง และความเป็นชนบทมาผสมผสานกันไว้อย่างลงตัว
Lanna Cafe ผลิตภัณฑ์ของลานนาส่งตรงมาจากจังหวัดเชียงใหม่ เป็นฝีมือการเพาะปลูกกาแฟของชาวเขาในภาคเหนือ ซึ่งปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของลานนาได้รับการสนับสนุนจากองค์กร FLO อย่างเต็มที่ โดยเข้าไปรับประกันคุณภาพมาตรฐาน และพัฒนาหีบห่อ บรรจุภัณฑ์ให้ใหม่ พร้อมกับรับรองในเรื่องของราคาสินค้าที่ดี เพื่อให้ทั้งผู้ผลิต และผู้บริโภค ได้รับผลประโยชน์ที่มากที่สุดจากราคาที่ตั้งไว้
การเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ผลิตภัณฑ์แฟร์เทรดของไทยทั้งหมดนี้ โตชิโนริหนุ่มแห่งเมืองวาซาบิหวังแค่เพียงว่า ผู้คนมากมายบนโลกที่ผ่านเข้ามาได้ชมงาน และสัมผัสหัตถกรรม ผลิตภัณฑ์ ของชาวกะเหรี่ยง หรือชาวบ้านในชนบททั้งหลายเหล่านี้ อาจจะตกหลุมรักจนถึงขั้นหลงใหลในศิลปะ วัฒนธรรมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เหมือนกับเขาก็เป็นได้
************
เรื่อง – นาตยา บุบผามาศ