ณ วันนี้ในยุคพ.ศ.2550 อ้อมแขนของสังคมไทยได้เปิดมุมองศาที่กว้างมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขนบ วัฒนธรรม หรือจารีตประเพณี แม้กระทั่งในเรื่องของเพศ ที่“เพศที่สาม” ก็ดูจะเป็นคำที่สังคมรู้จักคุ้นเคย ซึ่งนั่นทำให้คนเหล่านี้กล้าที่จะเปิดเผยตัวตนต่อสังคมมากขึ้น ไม่ต้องปิดบังซ่อนเร้นเหมือนแต่ก่อน และท่ามกลางกระแสลมแห่งอิสรเสรีใต้ปีกประชาธิปไตยไทย ก็ได้มีเพศที่สามบางกลุ่มที่เลือกที่จะดำเนินชีวิตอย่างเสรีและขีดเส้นทาง “ชีวิตกะเทย” ของตนเองให้ฉีกแยกห่างจากบรรทัดฐานของสังคมอย่างสิ้นเชิง...ด้วยการโกอินเตอร์เพื่อขายเรือนร่างโดยหวังเพียงเม็ดเงินและชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม
เรื่องการขายบริการทางเพศไม่ใช่ของใหม่ หากแต่เป็นปัญหาที่รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยไล่แก้กันมาหลายปีดีดัก แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นสักเท่าไหร่ ยิ่งในระยะหลังการขายบริการขยายวงกว้างจาก“หญิงบริการ” สู่ “ผู้ชายขายน้ำ” จนในขณะนี้มีเพศที่สามที่ออกมาขายบริการก็มีให้เห็นกันเป็นของปกติสามัญ แต่ที่หลายคนยังไม่รู้ก็คือ มีเพศที่สามจำนวนไม่น้อย ที่เล็งเห็นว่าการขายบริการทางเพศในต่างประเทศมีรายได้ดีกว่าการขายในเมืองไทย ทำให้กะเทยหลายคนเลือกที่จะบินไปเสี่ยงโชคในต่างแดน เพราะหากโชคดี นอกจากจะขายเรือนร่างได้เงินเป็นกอบเป็นกำแล้ว อาจจะมีชายต่างชาติที่ถูกใจเธอเหล่านั้นจนกระทั่งขอแต่งงานและเธอก็จะมีโอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่ในแดนศิวิไลซ์เหล่านั้นก็เป็นได้
***“แม่แทค” ช่องทางสะดวกในการ “โกอินเตอร์”
หนึ่ง – อมรศักดิ์ จารุภันธ์ หนึ่งในเพศที่สามที่ทำงานเป็นเอ็นจีโออยู่ในแวดวงการรณรงค์การป้องกันโรคเอดส์ในเพศที่สาม เปิดเผยถึงกรณีการบินไปขายบริการยังต่างประเทศของเพศที่สามหรือ “กะเทย” ว่า มีมานานแล้ว ทำกันโดยผ่านหลายช่องทาง ทั้งการเสี่ยงโชคไปเอง อาศัยสายสัมพันธ์ส่วนตัวกับกะเทยรุ่นพี่ให้ช่วยเหลือเป็นพี่เลี้ยง และการติดต่อผ่าน “แม่แทค” ที่ดูเหมือนจะเป็นช่องทางที่กะเทยหลายคนที่ต้องการจะไปขายบริการทางเพศยังต่างประเทศ นิยมใช้มากที่สุด แม้จะเสียค่าใช้จ่ายมากพอสมควร ซึ่งที่มาของคำว่า “แม่แทค” นั้น มาจากคำว่า “Contact” นั่นเอง
“การไปขายบริการในต่างประเทศ หากเราไปเองโดยไม่มีใครช่วยเหลือ จะอันตรายมาก เพราะถ้าถูกจับได้ บางประเทศเช่นสิงคโปร์ จะมีบทลงโทษที่แรงมากสำหรับผู้กระทำผิดกรณีสาวประเภทสองขายบริการทางเพศ ที่นอกจากจะห้ามเข้าประเทศเป็นการถาวรแล้ว ยังมีการคว่ำเฆี่ยนด้วยหางกระเบน และโกนศีรษะด้วย ที่นิยมทำกันก็คือ ติดต่อผ่านแม่แทค แม่แทคถ้าเปรียบไปก็เหมือนพวกจัดหางานผิดกฎหมาย แม่แทคส่วนใหญ่จะเป็นกะเทยรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์การขายมากพอสมควร แต่ก็มีบ้างที่เป็นผู้หญิงหรือเป็นผู้ชาย มีเป็นส่วนน้อย และก็มีเหมือนกันที่เจอแม่แทคไม่ดี หลอกเอาเงินไปแล้วไปปล่อยลอยแพที่โน่น ก็ถือว่าเป็นโชคร้ายของคนคนนั้นไป”
อมรศักดิ์ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ “แม่แทค” ่ว่า ส่วนใหญ่แล้วแม่แทคจะเป็นสาวประเภทสองรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์การขายบริการในต่างแดนมาก่อนจนรู้ช่องทางดี จนผันตัวเองมาเป็นเอเย่นต์กลายๆ คือเป็นตัวช่วยในการหาช่องทางการไปค้าบริการอย่างปลอดภัยให้กะเทยรุ่นน้องที่อยากไปขุดทองบ้าง เพื่อแลกกับเงินค่าความสะดวกที่กะเทยรุ่นน้องจะต้องจ่ายให้ ซึ่งเงินที่จะต้องจ่ายให้แม่แทคนั้น มีเรตราคาตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักแสนบาทต่างกันไปตามประเทศที่เลือกจะไปค้าบริการ
“แต่แม้ว่าจำนวนเงินที่จำต้องจ่ายให้แม่แทคจะค่อนข้างแพง แต่ส่วนใหญ่ที่ยอมจ่ายกันเพราะคิดว่าคุ้ม เพราะแม่แทคจะมีเส้นมีสายทั้งในเรื่องของร้านที่จะให้เราไปขายประจำ อาจจะเป็นโรงน้ำชา หรือเป็นผับ เป็นเธค ก็ว่ากันไปเป็นเกรดๆ จะดีกว่าที่เราจะไปเองแล้วไปยืนขายตามถนน ที่รายได้จะไม่แน่นอนแถมเสี่ยงกับการถูกตำรวจจับ แถมแม่แทคจะมีเส้นมีสายในเรื่องของตำรวจด้วย คือถ้ายอมจ่ายก็จะได้ขายแบบค่อนข้างมั่นคงไม่ต้องระวังถูกจับ”
***สิงคโปร์ – ฮ่องกง ขุมทองโซนเอเชีย
เอ็นจีโอสาวประเภทสองผู้คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงการรณรงค์ป้องกันเอดส์รายนี้กล่าวต่อไปอีกว่า ประเทศในแถบเอเชียที่ถือเป็นแหล่งขุมทองในการขายบริการทางเพศของเหล่าสาวประเภทสองได้แก่สิงคโปร์และฮ่องกง โดยเฉพาะประเทศสิงคโปร์นั้น แม้การเข้าประเทศจะค่อนข้างยากและมีกฎหมายลงโทษรุนแรง แต่ค่าตอบแทนอันจะกลับมาในรูปของเม็ดเงินจากการขายเรือนร่างของพวกเธอนั้น ก็มากพอที่จะยั่วใจสาวประเภทสองทั้งหลาย แต่อย่างไรก็ตาม อมรศักดิ์ก็ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกถึง “ค่าแม่แทค”ที่จำเป็นจะต้องจ่ายก่อนที่บินไปขายบริการทางเพศ
“การจะไปขายบริการทางเพศของสาวประเภทสองนั้น หากต้องการความสะดวกและปลอดภัยในการทำมาหากิน จำเป็นจะต้องติดต่อผ่านแม่แทค ซึ่งสำหรับราคาของผู้ที่ต้องการจะไปขายบริการทางเพศในสิงคโปร์ที่ต้องจ่ายให้แม่แทคนั้น อยู่ที่ประมาณ 20,000 – 30,000 บาท แต่ที่ยอมจ่ายกันเพราะคิดว่าไปแล้วคุ้ม จะทำเงินได้เยอะกว่าที่เสียไป”
สำหรับประเทศสิงคโปร์นั้น อมรศักดิ์ระบุว่า ก่อนหน้าที่ประเทศไทยและสิงคโปร์จะมีปัญหาอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ทางการเมืองนั้น การเข้าประเทศค่อนข้างยาก แล้วก็ให้อยู่แค่ช่วงสั้นๆ คือไม่เกิน 1 สัปดาห์เท่านั้น แต่ภายหลังมีปัญหาทางด้านการเมือง ท่าทีของสิงคโปร์ต่อการเข้าประเทศของสาวประเภทสองดูจะง่ายขึ้นและให้ระยะเวลาในการพำนักในประเทศยาวถึง 1 เดือน สำหรับรายได้ของสาวประเภทสองผู้ไปขายบริการที่สิงคโปร์นั้น อมรศักดิ์บอกว่าไม่มีข้อมูลเป็นตัวเลขแน่ชัด แต่ก็มีคนรู้จักที่ไปทำงานดังกล่าวเพียง 1 – 2 สัปดาห์ก็มีเงินเก็บกลับมาประเทศไทยกว่า 50,000บาท
แต่ถ้าหากถูกเจ้าหน้าที่ของสิงคโปร์จับได้ จะโดนกฎหมายลงโทษค่อนข้างแรง นอกจากทางการจะตัดสิทธิการเข้าประเทศตลอดชีวิตแล้ว ยังมีบทลงโทษอื่นๆ อีก เช่นการโกนศีรษะ หรือจับคว่ำเฆี่ยนด้วยหางกระเบน ซึ่งก็มีกะเทยไทยจำนวนไม่น้อยที่ไปขายบริการ และถูกเจ้าหน้าที่สิงคโปร์จับได้จนถูกลงโทษดังกล่าว
ส่วนที่ฮ่องกงนั้นตัวบทกฎหมายอาจจะไม่เข้มเท่าสิงคโปร์ แต่การเข้าประเทศก็ไม่ใช่ง่ายนัก อมรศักดิ์กล่าวว่า ส่วนใหญ่ขั้นตอนที่ยากที่สุดก็คือส่วนของการตรวจคนเข้าเมือง เพราะทางฮ่องกงก็ทราบว่าดีมีกะเทยไทยจำนวนไม่น้อยที่เข้าประเทศไปเพื่อต้องการไปขายบริการทางเพศซึ่งผิดกฎหมาย ดังนั้น กะเทยส่วนใหญ่จะเข้าไปประเทศไปในนามของคนทำงานเป็นนางโชว์และเข้าประเทศเพื่อไปโชว์คาบาเรต์ และสำหรับการอนุญาตให้อยู่ในประเทศนั้น ทางการฮ่องกงจะให้อยู่ประมาณ 1 สัปดาห์ – 1 เดือน
“ทั้งสิงคโปร์และฮ่องกงนี่เท่าที่ทราบส่วนใหญ่แขกจะนิยมกะเทยที่แปลงเพศแล้ว จะขายได้ราคาสูงกว่าที่ยังไม่ได้แปลงเพศมาก ชนิดที่สำหรับพวกที่แปลงว่าขายแบบ Fast Sex หรือชั่วคราวก็มีรายได้ครั้งละ 3,000-6,000 บาทไทย”
เมื่อถามถึงความถี่ห่างในการบินไปทำงานของบรรดาสาวประเภทสองที่นิยมบินไปขายในโซนเอเชียนั้น อมรศักดิ์กล่าวว่า ความถี่ห่างอาจจะไม่เท่ากัน บางคนก็ไปแค่ครั้งหรือสองครั้งเพื่อหาเงินก้อน แต่พวกที่ยึดเป็นอาชีพหลักและทำประจำนั้น ส่วนใหญ่จะไปครั้งหนึ่งแล้วเว้นพักงานสัก 2 เดือนแล้วก็จะไปใหม่
***เยอรมนี:สวรรค์ฝั่งตะวันตก
กุล- นาดา ไชยจิตต์ ฝ่ายประสานงานสมาคมฟ้าสีรุ้ง ได้กล่าวถึงประเทศฝั่งตะวันตกที่เป็นอีกหนึ่งแดนสวรรค์ที่ใฝ่ฝันของเหล่าสาวประเภทสอง นั่นก็คือประเทศเยอรมนี ที่แม้ว่าค่าแม่แทคในการจะเดินทางไปขายบริการทางเพศที่เยอรมนีจะสูงถึงประมาณ 70,000-100,000 บาทต่อครั้งก็ตาม เพราะเยอรมนีเป็นอีกประเทศหนึ่งในทวีปยุโรปที่เสรีและเปิดกว้างต่อเพศที่สาม มีการจดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้องตามกฎหมายเฉกเช่นเดียวกับคู่ชาย-หญิงทั่วไป
“กะเทยหลายคนมากๆ ที่คิดว่าเยอรมนีนี่เหมือนสวรรค์ของกะเทยค่ะ เพราะเค้าเสรีและเปิดกว้างมาก มีการจดทะเบียนสมรสระหว่างพวกรักร่วมเพศได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และสำหรับผู้ที่แปลงเพศ เค้าจะเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อให้ด้วย แถมการมีภรรยาเป็นเพศที่สามของผู้ชายที่โน่นถือเป็นเรื่องโก้เก๋ ผู้ชายคนไหนหาภรรยาเป็นกะเทยได้ถือว่าเก่ง มีฝีมือ คือบ้านเขาเห็นกะเทยและเพศที่สามเป็นเรื่องปกติ มองว่าเป็นคนเท่าเทียมกับเพศชายและหญิง ทำให้กะเทยหลายคนใฝ่ฝันและดิ้นรนที่จะไปมีชีวิตใหม่ที่นั่น” นาดาแจกแจง
***เผยจุดเด่น“ตัวเล็ก-เซ็กซ์สะเด่า-เอาใจเลิศ”
สาวประเภทสองแห่งสมาคมฟ้าสีรุ้งให้ข้อมูลต่อไปอีกว่า จากที่มีประสบการณ์พูดคุยกับคนเยอรมนีทำให้ได้รับข้อมูลว่า เหตุผลที่ชายตะวันตกที่นิยมรักร่วมเพศกับสาวประเภทสองมักจะเลือกคู่ครองหรือคู่ขาเป็นกะเทยเอเชียโดยเฉพาะกะเทยไทยนั้น เพราะว่าโครงสร้างกะเทยไทยจะค่อนข้างเล็กหากเทียมกับชายฝรั่ง เมื่อแต่งตัวเป็นสาวประเภทสองหรือแต่งตัวเป็นผู้หญิง จะค่อนข้างละม้ายคล้ายคลึงกับผู้หญิงมากจนแทบไม่รู้ว่าไม่ใช่ผู้หญิงแท้
และนอกจากเรือนร่างจะบอบบางอ้อนแอ้น โครงหน้างดงามจนละม้ายคล้ายสตรีเพศแล้ว การที่กะเทยไทยได้รับความนิยมจากหนุ่มฝรั่งก็มีอีกหนึ่งเหตุผลหลักที่สำคัญก็คือ ลีลารักและบทเอาอกเอาใจบนเตียงของสาวประเภทสองชาวไทย
“คือฝรั่งหลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ที่หลงใหลกะเทยจากเมืองไทยก็เพราะ กะเทยไทยมีจุดเด่นอย่างมากในเรื่องของ ตัวเล็ก เซ็กซ์เลิศ เอาใจเก่ง คือบางคนพูดถึงขนาดว่าเป็นเซ็กซ์แมชชีน แบบหยอดเหรียญปุ๊บ เลือกท่าปั๊บ ได้หมด” นาดาอธิบาย
***ถ้าจะให้ดีต้องเป็น “กะเทยมีงู”!?
แม้ว่าความนิยมในโซนเอเชียอย่างสิงคโปร์หรือฮ่องกงจะค่อนข้างจัดระดับของกะเทยที่แปลงเพศแล้วให้อยู่ในกลุ่ม “ดี1 ประเภท1” เวลาขายบริการทางเพศก็จะได้ค่าตัวแพงกว่าพวกที่ยังไม่ได้แปลง หรือแปลงเฉพาะส่วนบนแต่ส่วนล่างก็ยังคงดำรงไว้แบบพ่อให้มาตามเดิม แต่ความนิยมในกลุ่มฝรั่งชาติตะวันตกโดยเฉพาะหนุ่มๆ ที่พิสมัยความงามของสาวประเภทสองอย่างหนุ่มเบียร์นั้น นาดาบอกว่า ถ้าจะให้ดี ต้องเป็น “กะเทยมีงู”
“กะเทยมีงูก็คือศัพท์เฉพาะของเหล่ากะเทยที่หมายถึงกะเทยที่เป็นกะเทยแต่งสาว อาจจะทำหน้าอก แต่ยังคงมีอวัยวะเพศชายอยู่ และเป็นอวัยวะเพศที่สามารถใช้การได้เหมือนชายทั่วไป และสามารถรับบทบาทได้ทั้ง “ฝ่ายรับ” และสามารถเป็น “ฝ่ายรุก” หรือที่เรียกกันว่า “สาวเสียบ” ได้ด้วย เพราะมีหนุ่มตะวันตกอีกจำนวนไม่น้อยที่บอกตัวเองว่าตนเองเป็นผู้ชาย ไม่ใช่เกย์ แต่ก็ชอบที่จะให้สาวประเภทสองที่เป็นคู่รักหรือคู่ขาของตนเองนั้น เป็นฝ่ายรุกในบางครั้งด้วย ดังนั้นสาวประเภทสองที่ยังไม่ได้ผ่าตัดจึงเป็นที่นิยมมากพอสมควรเหมือนกัน และที่สำคัญก็คือยังมีคนอีกมากที่คิดว่าการตัดอวัยวะเพศจากการผ่าตัดแปลงเพศ จะทำให้หมด Sex Feeling หรือหมดความรู้สึกทางเพศไป” นาดาให้ข้อมูล
ในขณะที่อมรศักดิ์ได้เพิ่มเติมข้อมูลในส่วนของสาวประเภทสองชาวไทยที่ไปขายบริการทางเพศที่เยอรมนีว่า มีสาวประเภทสองไทยจำนวนหนึ่งที่ได้คู่รักเป็นชายชาวตะวันตกและได้จดทะเบียนแต่งงานกันตามกฎหมาย เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดีกว่าในต่างประเทศ และก็มีที่มาทำงานขายบริการจนได้เงินเป็นกอบเป็นกำกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอน แต่ก็มีไม่น้อยที่ถูกล่อลวงทั้งเรื่องหลอกเงิน หลอกพาไปเข้าสู่กระบวนการค้ามนุษย์ หลอกพาไปปล่อยเกาะยังต่างแดน ถูกทำร้ายทารุณกรรมทางร่างกายและจิตใจจากแขกผู้มาซื้อบริการและเจ้าของร้านที่ตนสังกัดอยู่ ถูกเอารัดเอาเปรียบหักค่าตัว และที่สุดคือ มีสาวประเภทสองที่โชคร้ายอีกบางส่วน ที่เลือกทางเดินชีวิตในการบินไปค้าบริการทางเพศในต่างแดน และกลับบ้านมาพร้อมกับเชื้อร้ายที่ชื่อว่า “เอดส์” ในกระแสเลือด
“ที่เราพยายามจะทำกันอยู่และทำมาตลอดก็คือรณรงค์เรื่องถุงยางอนามัย ซึ่งจะเป็นหนทางในการป้องกันการติดเอดส์ได้อย่างดีที่สุด ที่ผ่านมาก็มีการชักชวน เชิญชวน ให้สาวประเภทสองที่ยึดอาชีพขายบริการทางเพศใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันโรค” อมรศักดิ์ให้ความเห็น
***วอนสังคมเปิดโอกาสให้ “กะเทย”
อมรศักดิ์แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องสถานภาพของกลุ่มเพศที่สามในสังคมไทยว่า ส่วนหนึ่งก็อยากวิงวอนให้สังคมเปิดพื้นที่ทางโอกาสให้แก่สาวประเภทสองบ้าง มีสาวประเภทสองอีกไม่น้อยที่มีความสามารถไม่แพ้ชายจริงหญิงแท้ แต่ถูกปิดกั้นโอกาสในการทำงาน บางคนมองว่าอาชีพที่สงวนเอาไว้ให้ก็คืออาชีพนางโชว์และอาชีพช่างทำผมเท่านั้น
“ตัวพี่เองสอบติดมหาวิทยาลัยที่เป็นอันดับต้นๆ ของเมืองไทย ก่อนสอบก็มานะพยายามอ่านหนังสือ แข่งกับนักเรียนอื่นๆ จนเข้าไปเรียนได้ และตั้งใจเรียนจนจบ ได้ความรู้ความสามารถจากที่อาจารย์มหาวิทยาลัยอบรมถ่ายทอดให้ แต่มีปัญหาเรื่องการสมัครงานมาก คือไม่มีพื้นที่ไหนเปิดรับและให้โอกาสเราทำงาน เชื่อว่าถ้าสังคมการทำงานเปิดกว้างให้กะเทยได้มีโอกาสทำงานเหมือนชายจริงหญิงแท้ อัตราการขายบริการทางเพศของสาวประเภทสองจะลดลงอย่างแน่นอน”
เช่นเดียวกับ “น้องฟิล์ม” ธัญญรัศ จิราภัทร์ภากร มิสทิฟฟานีคนล่าสุด เสนอมุมมองต่อสาวประเภทสองที่เดินทางไปขายบริการทางเพศในต่างประเทศว่า คนเหล่านั้นเป็นเหยื่อ แม้ว่าการกระทำของพวกเธอเหล่านั้นจะเป็นการสร้างปัญหา แต่หากมองในภาพรวมแล้ว อยากให้มองถึงความจำเป็นที่ต้องทำเช่นนั้น
“ถ้ามองจริงๆ การขายบริการทางเพศก็เป็นสิทธิส่วนบุคคลของคนนั้นๆ การขายบริการทางเพศไม่ใช่เรื่องใหม่ ในสังคมไทยเราก็พบเจอหญิงค้าบริการและชายค้าบริการ แต่พอมาเป็นสาวประเภทสอง เป็นกะเทย ทำให้สังคมมองว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ เป็นปัญหาใหญ่ แต่อยากให้มองในภาพรวมถึงความจำเป็นของกะเทยเหล่านั้นว่าทำไปทำไม
"ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้สังคมเปิดกว้างเรื่องเพศที่สามมาก แต่ก็เป็นความจริงอีกที่ก็ยังมีความไม่เท่าเทียม โดยเฉพาะโอกาสในการทำงาน การเป็นเพศที่สามทำให้หลายคนตีตราคนเหล่านี้ว่า ทำได้แค่เสริมสวยกับขายบริการ แต่หากว่าสังคมเปิดโอกาสในการทำงานให้เขามากขึ้น ไม่ใช่เฉพาะปัญหาการค้าบริการทางเพศ ฟิล์มว่ามันจะแก้ปัญหาอะไรๆ ได้หลายอย่างเลยทีเดียว” มิสทิฟฟานีคนปัจจุบันให้ความเห็น
***“เกย์นที” วอนสร้างสังคมคนหลากเพศที่สงบสุข
ด้าน นายนที ธีรโรจนพงษ์ เกย์ชื่อดังประธานกลุ่มเกย์การเมือง ได้ฝากข้อคิดไปยังกลุ่มสาวประเภทสองที่กำลังขายบริการทางเพศอยู่ที่ต่างประเทศ และกำลังคิดจะทำว่า การที่ไปขุดทองยังต่างประเทศแล้วเข้าใจว่ามันคือสวรรค์นั้น แท้จริงมันเป็นสวรรค์จอมปลอม
“ไม่มีอะไรดีไปกว่าประเทศไทย ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าบ้านเกิดเมืองนอน การไปขายตัวที่เมืองนอกแล้วคิดว่ามันเป็นสวรรค์อะไรนั่น จริงๆ แล้วมันจอมปลอมทั้งนั้น แต่ก็ไม่อยากให้สังคมโยนกลองความผิดไปให้กะเทยทั้งหมด พวกเขาเหล่านั้นอาจจะพลาดและเดินทางผิด แต่อยากให้สังคมเปิดรับความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียม ให้เขาเหล่านั้นมีที่ยืนบนแผ่นดินเกิดของตัวเองโดยไม่ถูกดูถูกเหยียดหยาม ให้เขามีศักดิ์ศรีในการที่เขาได้เกิดมาเป็นมนุษย์ไม่ต่างจากชายจริงหญิงแท้ แล้วเราก็จะสร้างสังคมที่มีความสงบสุข แม้จะมีการอยู่ร่วมกันของผู้คนหลากเพศ แต่สังคมรวมถึงคนในสังคมของเราก็จะสมบูรณ์ทั้งกายและใจ” เกย์คนดังทิ้งท้าย
****************
เรื่อง-เจิมใจ แย้มผกา