xs
xsm
sm
md
lg

Scout Mag แผนก่อการดีของขบวนการผ้าผูกคอ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


‘ลูกเสือ’ ในความหมายที่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตผู้เป็นทายาทเจ้าแห่งพงไพร มันเป็นคำที่คุ้นเคย จดจำ และติดประทับอย่างเลี่ยงไม่ได้ วัยเด็กของวัยผู้ใหญ่หลายล้านคนในประเทศนี้เคยเป็นลูกเสือ พวกเขาถูกมันขย้ำจมเขี้ยวโดยแทบไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าใครเป็นเจ้าของเขี้ยว

ข้อสมมติฐานที่น่าจะผิดมากกว่าถูกมีว่า ลูกเสือไม่ได้เป็นกิจกรรมที่ทรงพลังและเปล่งประกายอะไรมากนักสำหรับชีวิตขาสั้นคอซอง เป็นแค่วิชาเรียนวิชาหนึ่งที่พลัดหลงเข้ามาในหลักสูตร หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ปล่อยให้เวลาห้ำหั่นมันไปจากความทรงจำ ยังมีใครจำหน้าตาเงื่อนพิรอด เงื่อนขัดสมาธิ เงื่อนตะกุดเบ็ด ฯลฯ ได้บ้าง นอกจากเงื่อนงำความสงสัยในอดีตว่า ‘เรียนไปทำไม?’

แต่ชั่วโมงนี้ มีเด็กๆ 8 คน หลงใหลความเป็นลูกเสือชนิดเทหมดหน้าตัก พวกเธอและเขารวมตัวกันเพื่อทำหนังสือและนิตยสารเกี่ยวกับลูกเสือโดยเริ่มจากความว่างเปล่าในมือ ว่างเปล่าทั้งในแง่ของความรู้ในการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์และทุนรอน แต่ก็นั่นแหละ บ่อยครั้งไปที่ผลลัพธ์อธิบายตัวมันเองว่าเมื่อมนุษย์ลงมือทำบางสิ่งด้วย ‘หัวใจ’ ความรู้และเงินก็เป็นเรื่องสำคัญรองลงมา

พวกเธอและเขาช่วยๆ กันเล่าว่า ตอนนี้กำลังรวบรวมประวัติ ความรู้ และเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับลูกเสือทั้งในต่างประเทศและในประเทศ เพื่อจัดพิมพ์ด้วยกระดาษอาร์ต พิมพ์ 4 สีทั้งเล่ม ในชื่อ “ลูกเสือแห่งสยามประเทศ” ให้ได้ทั้งหมด 9,600 เล่ม เพื่อถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ เนื่องในวาระเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีลูกเสือโลกในวันที่ 1 สิงหาคม และ 96 ปีลูกเสือไทยในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ (100 คูณ 96)

ถ้าเอาเนื้องานกับกำลังคนและวัยของพวกเธอและเขามาเทียบบัญญัติไตรยางศ์ออกมา ต้องยอมรับว่างานนี้หินพอตัว

แผนก่อการดี งานนี้ทำด้วยใจ

เราเจอพวกเธอและเขาในร้านกาแฟใกล้ๆ ที่ทำการ ‘ปริทรรศน์’ งานนี้มีผู้ก่อการดีทั้งหมด 8 คน คริสโตเฟอร์ โปเตล-คริส อายุ 18 ปี, มนัส วารุทัย-โดนัท อายุ 18 ปี, สุชานุช พันธุ์เจริญศิลป์-นุช อายุ 16 ปี, ธรานันท์ อัศวเทววิช-เอมมี่ อายุ 16 ปี, ชนัตถ์ พงษ์พานิช-เวิร์ค อายุ 16 ปี, ปุณฑริกา เรืองฤทธิ์-ปุณ อายุ 15 ปี, ปนัดดา เต็มไพบูลย์กุล-ส้ม อายุ 15 ปี และ คีรี ศุกรเสพย์-โป้ง อายุ 15 ปี (2 คนแรกศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษา ที่เหลือศึกษาอยู่ในระดับมัธยมปลาย) โดยมี อาจารย์นวพัฒน์ ญาณวุฒิ ผู้ตรวจการประจำคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ หรือ อาจารย์แจ๊ค ของพวกเธอและเขาเป็นหัวหน้าฝ่ายบรรณาธิการลูกเสือและสนับสนุนข้อมูลด้านวิชาการ (มนัสและนวพัฒน์ไม่ได้มา)

เรากับน้องๆ ใช้เวลาชั่วอึดใจดูหน้าดูตาและทำความรู้จักกันอย่างคร่าวๆ หลังจากนั้นก็เป็นไปตามกติกาท่าบังคับที่ต้องพูดคุยถึงที่มาที่ไปของงานนี้

นุชเล่าให้ฟังว่า ในเมืองไทยมีชมรมลูกเสือแห่งหนึ่งชื่อว่า ‘ชมรมลูกเสือเยาวชนไทยนานาชาติ’ ซึ่งเป็นชมรมที่ขึ้นตรงกับฝ่ายต่างประเทศของคณะกรรมการลูกเสือแห่งชาติ ตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นศูนย์กลางในการติดต่อประสานงานกันระหว่างลูกเสือไทยที่เคยไปงานชุมนุมลูกเสือนานาชาติในต่างประเทศ และน้องๆ ทั้ง 8 คนนี้ก็คือสมาชิกชมรมดังกล่าว

...รู้ว่าความรักมีพลัง ความรักในลูกเสือดึงดูดให้น้องทั้ง 8 สุมหัว (ใจ) พูดคุยแผนก่อการดีกันว่า อยากจะทำสื่อเกี่ยวกับลูกเสือเพื่อเผยแพร่กิจกรรมต่างๆ ออกสู่สังคม สร้างความเข้าใจดีๆ ให้กับเพื่อนๆ ที่ยังต้องเป็นลูกเสือ และ (อาจ) เยียวยาความทรงจำไม่สู้ดีของผู้ใหญ่ที่เคยเป็นลูกเสือ

“กระทั่งเราได้ไปเจอกันกับ อาก็อด (พล พันธุ์ไพโรจน์ บรรณาธิการบริหารและผู้จัดการสำนักพิมพ์ Thai Scout Max ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์ที่ตั้งขึ้นเพื่อการนี้โดยเฉพาะ) ที่ค่ายลูกเสือสึนามิที่จังหวัดภูเก็ต ได้คุยกับอาว่าเราอยากจะทำสื่อเกี่ยวกับลูกเสือ จะเป็นรายการโทรทัศน์หรือว่ายังไงดี อาเขาก็แนะนำว่าถ้าทำเป็นหนังสือจะง่ายและหลากหลายกว่า สร้างสื่อขึ้นมาเอง รวบรวมข้อมูลเอง ไม่ต้องขึ้นกับสถานี และมีผู้ใหญ่คอยช่วยด้านการพิมพ์” เอมมี่เล่าจุดเริ่มต้นให้ฟัง

เมื่อมีผู้ใหญ่ให้ท้ายก็เหมือนเรือใบได้ลม พวกเธอและเขาสุมหัว (สมอง) กันอีกครั้งเพื่อทำนิตยสารลูกเสือในฝัน ‘Thai Scout’s magazine’ ช่วยกันหาประเด็นหลักของเล่มแรก คิดคอลัมน์ แบ่งงาน แบ่งหน้าที่ หาข้อมูล เขียน ฯลฯ เธอบอกต่อว่า

“เราช่วยกันคิดธีมของแต่ละเล่ม อย่างเช่นในเล่ม 2 เราคิดธีมว่าลูกเสืออินเทรนด์็ เราก็ต้องไปหาข้อมูลว่าลูกเสือจะอินเทรนด์ได้อย่างไร ควรจะมีคอลัมน์อะไรบ้าง ใครถนัดด้านไหน ใครถนัดกราฟฟิกก็ทำกราฟฟิก หรือส้มถนัดวาดการ์ตูนก็วาดการ์ตูน หรือถ้ามีสัมภาษณ์แหล่งข่าวเราก็จะดูว่าวันไหนเราว่างก็ออกไปพร้อมกัน”

ในที่สุดก็ออกมาเป็นชิ้นงานที่พอจะจับต้องได้ แต่ก่อนที่นิตยสารลูกเสือเล่มแรกของเมืองไทยจะได้อวดบนแผง พวกเธอและเขาก็เกิดความคิดว่าน่าจะทำอะไรสักอย่างเพื่อเปิดตัวดึงความสนใจเสียหน่อย

จึงเป็นที่มาของหนังสือ ‘ลูกเสือแห่งสยามประเทศ’

“จริงๆ เนื้อหาเกี่ยวกับลูกเสือมันมีอยู่แล้วทั่วไป เราแค่นำมารวบรวม เรียบเรียง ให้อยู่ในเล่มเดียวกัน แบ่งหน้าที่กันตามบทว่าบทนี้ใครรับผิดชอบ รับผิดชอบกี่คน” นุชเล่าถึงการทำงานที่เริ่มบุกบั่นกันมาตั้งแต่ 1 เมษายน “เราจะวางแผนไว้ก่อน อย่างเช่นบทแรกเกี่ยวกับเรื่องนี้นะ มีหัวข้อย่อยอะไรบ้าง แล้วก็แบ่งกันไปหา 2 คนทำบทหนึ่ง ตอนแรกเราทำเนื้อหาก่อนแล้วค่อยหารูปตามอินเตอร์เน็ต ขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ที่มีความรู้เกี่ยวกับลูกเสือ เชิญมาเป็นที่ปรึกษา บางครั้งก็ไปหอสมุดวชิราวุธ หอจดหมายเหตุหารูป หาข้อมูล

“เรื่องเงินทุนเราใช้วิธีเดินเข้าไปหาสปอนเซอร์ตามสโมสรลูกเสือ ธนาคาร บริษัท ตอนนี้เรากำลังหาผู้ร่วมถวาย หนังสือที่เราจัดพิมพ์ขึ้นมาราคาเล่มละ 500 บาท ยังขาดผู้ใหญ่สนับสนุนอยู่ค่ะ”

ทั้งหมดวางแผนกันไว้ว่า เมื่อหนังสือ ‘ลูกเสือแห่งสยามประเทศ’ เสร็จเรียบร้อย และถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวันที่ 1 กรกฎาคมศกนี้แล้ว ตัวนิตยสารก็จะออกตามมา แต่ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ พวกเขาอยากรอดูกระแสตอบรับจากหนังสือ ‘ลูกเสือแห่งสยามประเทศ’ ก่อน

อย่างที่รู้การทำนิตยสารสักฉบับ นอกจากฝีมือและใจรักแล้วยังต้องอาศัยสายป่านที่ยาวมิใช่น้อย ถามไปตรงๆ ว่าเท่าที่มีบนหน้าตักตอนนี้จะทำไปได้กี่ฉบับ พลซึ่งนั่งอยู่กับเราด้วยตอบว่า

“แล้วแต่พระเจ้า ตอนนี้ถ้าจะประเมินจริงๆ อย่างน้อยน่าจะอยู่ได้อีก 3 เล่ม แต่ในระหว่างทางนี่ก็แล้วแต่รัชกาลที่ 6 ท่านจะอนุเคราะห์ เราเดิน ท่านเป็นผู้กำหนดทางให้ โจทย์ก็คือดันหนังสือ 2 เล่มนี้ให้ออกมาให้ได้ตามเป้าหมายก่อน ทำไป หาไป ซึ่งตอนนี้ก็มีโฆษณาอยู่บ้างแล้ว เราแค่ทำตัวม็อกอัปเพื่อเอาไปให้ผู้สนับสนุนดู ให้เขาเห็นภาพ ดีกว่าที่เราทำเป็นดัมมี่ซึ่งมองไม่เห็นภาพ เราจึงต้องทำให้เขาเห็นเลย”

‘เวลาที่คุณได้ลงมือทำสิ่งที่ตัวเองรัก คุณยิ้มหรือเปล่า?’ เราเคยถูกถามแบบนี้ รู้สึกว่ามันเป็นคำถามง่ายๆ แต่คมคายและเป็นจริง เพราะสิ่งที่เราเห็นจากใบหน้าใสๆ รอบโต๊ะ-รอยยิ้ม ทั้งที่ริมฝีปากและดวงตา พวกเธอและเขาช่วยกันตอบคำถามอย่างกระตือรือร้น จนสามารถจับพลังงานบางชนิดที่วิ่งเล่นในอากาศ

จนอดสงสัยไม่ได้ว่า แล้วอะไรล่ะที่ทำให้พวกเธอและเขารักความเป็นลูกเสือได้ขนาดนี้???

“ผจญภัย ได้เพื่อน เถื่อนธาร งานสนุก สุขสม”

ทุกคนช่วยกันตอบว่า จุดมุ่งหมายของลูกเสือคือเป็นคนดี และนี่ทำให้พวกเธอและเขารักลูกเสือ

เราเริ่มงุนงงและนึกถึงสมัยเรียนลูกเสือที่ต้องเอาตัวเองออกไปสังเวยแดดบ่ายร้อนๆ ฝึกเข้าแถว ซ้ายหัน ขวาหันซ้ำไปซ้ำมาทั้งคาบ จนแทบไม่มีสักช่วงขณะให้นึกถึงความเป็นคนดีหรือแม้แต่ความไม่ดี และเราก็ต้องปล่อยความหลังของตัวเองให้พวกเธอและเขาได้ยิน

“โรงเรียนผมก็เป็นแบบนี้คือเข้าแถววนไปวนมา แต่บังเอิญผมมีคนรู้จักที่เขาเสนอให้ผมลองสอบไปต่างประเทศดู พอได้ไป ประสบการณ์ที่เราได้เห็นจากต่างประเทศมันต่างกับในไทยเยอะเลย กิจกรรมต่างกันคนละระดับเลยครับ ที่นั่นเด็กเขาสมัครใจมาทำจริงๆ ไม่ได้ถูกบังคับให้มาทำ มันยังอยู่ที่เรื่องจำนวนด้วย เรามีลูกเสือเยอะมาก ทำให้การดูแลเป็นไปไม่ทั่วถึงนี่เป็นปัจจัยหลัก แล้วเรื่องหลักสูตรก็เหมือนเดิมทุกปีไม่มีเปลี่ยนแปลง ครูบางคนไม่ได้ผ่านการอบรมมาด้วยซ้ำ (ทุกคนรับขึ้นพร้อมกัน)

“การเรียนลูกเสือคือการออกไปผจญภัย ออกไปทำกิจกรรม แต่ที่อยู่ในโรงเรียนทุกวันนี้มันเป็นสิ่งที่ถูกบังคับให้เรียน เพื่อให้ผ่านกิจกรรมลูกเสือ ประเทศไทยเป็นประเทศติดอันดับโลกที่มีลูกเสือเยอะที่สุดเพราะบังคับเรียน แต่มีคนที่ ‘เป็น’ ลูกเสือน้อยที่สุด ซึ่งในต่างประเทศเขาจะถือว่าลูกเสือเป็นการสร้างพลเมืองดีให้กับประเทศ” เป็นภาพการเรียนการสอนลูกเสือที่คริสฉายออกมาให้เห็น

การพูดคุยกับทั้ง 8 คนทำให้เราเพิ่งจะรู้ว่า ประเทศไทยเรามีพระราชบัญญัติลูกเสือ พ.ศ.2507 อยู่ในสารบบกฎหมายด้วย และใน พ.ร.บ. ก็ไม่ได้บังคับให้นักเรียนต้องเรียนลูกเสือ แต่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นตอนไหน ลูกเสือจึงกลายเป็นหลักสูตรภาคบังคับที่เด็กไทยต้องลิ้มลอง ปุณ สาวน้อยวัย 15 (เท่านั้น) บอกว่า

“ลูกเสือถูกจัดให้เป็นกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ถ้าใครไม่ผ่านกิจกรรมก็จะไม่สามารถผ่านช่วงชั้น โรงเรียนก็เลยต้องพยายามให้เด็กผ่าน เหมือนบังคับให้เด็กเรียนให้มันจบๆ ไป ครูบางคนจะสอนเด็กยังต้องเปิดหนังสือดูก่อนเลยว่าต้องทำยังไง จะสอนเงื่อนยังต้องมาหัดผูกก่อนสอนเลย ซึ่งเด็กก็จะไม่ได้อะไรจากกิจกรรมลูกเสือ” ทั้งๆ ที่ควรจะได้ “ผจญภัย ได้เพื่อน เถื่อนธาร งานสนุก สุขสม ได้ใช้ชีวิตกับเพื่อนๆ ทำงานร่วมกับเพื่อนๆ ซึ่งในชีวิตประจำวันทั่วไปเราไม่สามารถทำแบบนี้ได้ พวกเราจึงชอบในกิจกรรมลูกเสือ”

ทั้ง 8 คนช่วยกันสรุปว่า ปัญหาที่ทำให้กิจการลูกเสือซึ่งควรจะเป็นกิจกรรมที่สนุกสนาน เด็กๆ ได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ รู้จักเพื่อน รู้จักสังคม กลายเป็นวิชาที่น่าเบื่อก็คือผู้สอนและวิธีการสอน

“การเรียนลูกเสือในต่างประเทศ ส่วนใหญ่จะให้เด็กได้เรียนรู้ด้วยตนเอง เขาอาจจะสอนให้มีความรู้ในการดำรงชีวิต แต่หลังจากนั้นเด็กๆ จะต้องมีการพัฒนา คิด ประดิษฐ์เพื่อให้สามารถอยู่รอดในป่าได้” คริสอธิบาย

หรืออย่างการเข้าค่ายลูกเสือ เอมมี่บอกว่า

“การเอาเด็กไปเข้าค่าย ไปใช้ชีวิตในป่า จริงๆ ก็คือการละลายพฤติกรรม การไปอยู่ร่วมกันโดยไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก ทำให้เราต้องช่วยเหลือกัน ฝึกให้มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน เด็กที่ไปเข้าค่ายจะมีหลายฐานะ ฝึกให้เด็กอยู่ในสังคมเล็กได้ก่อนเพื่อให้กลับมาเข้าสังคมใหญ่ อยู่ร่วมกับคนอื่นได้ง่าย หรือชมรมลูกเสือในเมืองนอก ถ้าเขาประกาศออกไปว่ามีค่าย มีกิจกรรม กลุ่มเด็กที่ชอบเดินป่า ชอบชีวิตผจญภัย เขาก็จะมาสมัครและมีความสุขกับตรงนั้น ได้เพื่อน ได้สนุก แต่ในไทยบังคับไปค่ายทุกคน ใครไม่ไปไม่ได้ ไม่ผ่าน ซึ่งบางคนเขาก็ไม่อยากไป ไม่ชอบชีวิตแบบนี้ จึงทำให้รู้สึกไม่ดีต่อกิจกรรมลูกเสือ”

คงเพราะอย่างนี้เราจึงไม่ค่อยรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับกิจกรรมลูกเสือกันสักเท่าไหร่ ทั้งที่การจัดงานชุมนุมลูกเสือระดับนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็นงานเล็กหรืองานใหญ่นั้นจะมีการจัดกันอยู่ทุกปี โดยเฉพาะในปีนี้จะมีการจัดงานชุมนุม 100 ปีลูกเสือโลกที่ประเทศอังกฤษ ถามว่ามีใครรู้บ้าง? นี่อาจเป็นเครื่องสะท้อนว่ากิจการลูกเสือของประเทศไทยได้รับการสนับสนุนและประชาสัมพันธ์ดีแค่ไหน

พวกเธอและเขาบอกอีกว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่เปิดสอบเพื่อเลื่อนยศลูกเสือบ่อยที่สุดติดอันดับโลก และคนบางจำพวกก็ใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ยศ (ใช้ยศขอเครื่องราชฯ อีกที) “คนไทยจะไม่ค่อยเห็นความสำคัญของลูกเสือในการสร้างเด็กให้เป็นคนดี แต่จะไปสนใจในเรื่องการประดับยศและเครื่องแบบ” นุชพูดอย่างนั้น

เราขอให้ทั้ง 8 คน ช่วยเอาของที่ระลึกเกี่ยวกับลูกเสือที่สะสมจากการแลกเปลี่ยนกับเพื่อนลูกเสือต่างชาติที่ได้ไปร่วมชุมนุมขึ้นมาแสดง-มีทั้งผ้าผูกคอหลากสี (คริสย้ำ ‘ผ้าผูกคอ’ ไม่ใช่ ‘ผ้าพันคอ’) ห่วงสวมผ้าผูกคอหรือ Woggle สารพัดแบบ ตั้งแต่ตัวการ์ตูนไปจนถึงเอากิ่งไม้มาถักเองก็มี คริสบอกว่าจริงๆ แล้วห่วงสวมผ้าผูกคอจะเป็นอะไรก็ได้ที่สามารถผูกคอได้ ไม่จำเป็นต้องเฉพาะแค่ตราเครื่องหมายอย่างนักเรียนบ้านเราใช้กันอยู่ น่าจะเรียกได้ว่า Woggle ที่พวกเธอและเขาสะสมค่อนข้างมีจินตนาการมากกว่าที่เราเห็นตามโรงเรียน

ถ้ากำลังหงุดหงิดหัวใจที่เด็กๆ พวกนี้เอาแต่ชื่นชมของนอก ตำหนิติเตียนของไทย ก็อาจจะไม่ยุติธรรมนัก เพราะข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ที่เป็นมาและเป็นอยู่ก็ดูจะเป็นอย่างที่พวกเธอและเขากล่าวมา ผู้ใหญ่วันนี้ที่ครั้งหนึ่งเคยเรียนลูกเสือก็คงเคยเจอมาเหมือนกัน หากแต่ความตั้งใจจริงๆ ของเยาวชนทั้ง 8 คนก็เพื่อ...

เอมมี่-หนังสือนี่พวกเราทำด้วยใจรัก อยากให้มีคนรักลูกเสือมากขึ้นเหมือนกับพวกเรา

ส้ม-อยากให้ได้รับการสนับสนุนมากกว่านี้ ไม่อยากเห็นกิจการลูกเสือเราเงียบงัน

ปุณ-ถ้าเรารักลูกเสือเหมือนกันก็อยากให้ผู้ใหญ่ใจดีช่วยสนับสนุน

โป้ง-อยากให้ทุกคนที่มีใจรักลูกเสือเข้าใจว่าลูกเสือเป็นกิจกรรมที่ดีที่มีมานานแล้วและควรได้รับการสนับสนุนต่อไปครับ

คริส-กิจการลูกเสือเรามีมานานแล้ว แต่เรายังขาดผู้ใหญ่ใจดีที่จะคอยช่วยสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้เยาวชนอย่างพวกเราให้คอยพัฒนาและช่วยเหลือกิจการลูกเสือตลอดไป ฝากผู้ใหญ่ด้วยครับ

เวิร์ค-เราก็ทำมาถึงขนาดนี้แล้วครับ ถ้าให้โอกาสเรา เราก็จะให้โอกาสกับสังคมต่อไป คิดว่าถ้าเราทำสำเร็จมันจะเป็นสิ่งดีๆ อย่างหนึ่งในสังคม ขอโอกาสอย่างเดียวครับ

นุช-อยากให้มีคนเข้าใจลูกเสือมากขึ้นว่ามันไม่ใช่กิจกรรมที่จับเด็กมาเข้าค่ายน่าเบื่อ ในแมกกาซีนที่เราทำจะมีข้อมูลข่าวสาร อัปเดต ถ้ามีการสอบเราก็จะประกาศ เนื่องจากกิจกรรมลูกเสือจะขาดเรื่องการประชาสัมพันธ์มากๆ อย่างเวลาเรามาสอบเขาก็จะติดต่อมาทางจดหมายผ่านทางโรงเรียน เด็กทั่วไปจะไม่รู้เลยว่ามีเรื่องอย่างนี้ด้วย เด็กต่างจังหวัดแทบจะหมดสิทธิ์เลย เราจึงอยากให้ทุกคนรู้ว่าวัตถุประสงค์ที่เราทำหนังสือเล่มนี้ นอกจากต้องการเผยแพร่กิจการลูกเสือแล้ว ยังอยากให้ทุกคนได้ประสบการณ์อย่างที่เราได้ เราจะหยิบยื่นข่าวคราวที่ไม่ค่อยได้ประชาสัมพันธ์มาบอกให้รู้ ให้ทุกคนได้รักลูกเสือเหมือนพวกเรา ได้ประสบการณ์ดีๆ ได้เพื่อน ขอบคุณค่ะ

.....................

เราเห็นอะไรบ้าง แน่นอนที่สุด เราเห็นเยาวชนกลุ่มหนึ่งนำความรักที่ตนมีกับบางสิ่งมาปลูกสร้างเป็นร่างเป็นรูป ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ทุ่มเทกับความเชื่อบางอย่างและจุดมุ่งหมายบางชนิด

แต่พอไปให้ไกลกว่านั้น เราพบว่า ...ชีวิตที่เต็มไปด้วยเงื่อนไขและการดิ้นรนไขว่คว้า บางครั้งเราเองก็หลงลืมไปว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ เราแทบไม่มีเวลาทบทวนตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่เรารักจะทำและรักจะเป็น

เราลืมไปว่าตอนนี้เรายิ้มอยู่หรือเปล่ากับสิ่งที่เราเป็นและสิ่งที่เราทำ

*****************************

เรื่อง: กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล

เกร็ดเล็ก เกร็ดน้อย ลูกเสือโลก

ผู้ก่อตั้งลูกเสือคนแรกของโลกเป็นชาวอังกฤษ เขาชื่อว่า Robert Stephenson Smyth Baden Powell

เขาเป็นทหารที่มีชื่อเสียงในเรื่องการรบจนได้รับฉายาต่างๆ –Kantaky เป็นคำที่ชาวอะติซันเรียกเขาแปลว่าผู้สวมหมวกปีกกว้าง, Impeesa ภาษาของชนเผ่ามาตาบีลี แปลว่าหมาป่าผู้ไม่เคยหลับ และ Mafaking Defender แปลตรงตัวว่าผู้ปกป้องเมือง Mafaking เขาต้านข้าศึกซึ่งมีกำลังมากกว่าหลายเท่าไว้นานถึง 21 วัน

ปี 2451 มีการจัดตั้งกองลูกเสือเป็นครั้งแรกขึ้นที่ประเทศอังกฤษ

ความหมายของ Scout
S-Smartness ความสง่าผ่าเผย
C-Courtesy ความสุภาพอ่อนโยน
O-Obedience ความเชื่อฟัง
U-Usefulness ความเป็นผู้มีประโยชน์
T-Trust ความเป็นผู้ที่น่าไว้วางใจ

หมายเหตุ ใครอยากสนับสนุนแผนการนี้ ติดต่อได้ที่คุณพล พันธุ์ไพโรจน์ 08-7819-0322, 0-2735-8920 และ 0-2735-8305




ถ่ายภาพลงหนังสือที่ค่ายลูกเสือวชิราวุธ
ออกสัมภาษณ์แหล่งข่าว

กำลังโหลดความคิดเห็น