เคยสังเกตหรือเคยสงสัยบ้างไหมว่า ยิ่งวิทยาการทางการแพทย์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีล้ำหน้าขึ้นมากเท่าไหร่ ความรุนแรงของโรคภัยไข้เจ็บยิ่งล้ำหน้ามากขึ้นเท่านั้น ทำให้ต้องคิดค้นยาและวิธีรักษาเพื่อไล่ตามโรคต่างๆให้ทัน แต่ไม่วายโรคภัยชนิดใหม่ๆ ก็ยิ่งเพิ่มขึ้น…เพิ่มขึ้น และไม่มีทีท่าว่าจะหมดไป
ผลจากวิทยาการทางการแพทย์แผนปัจจุบันที่มิอาจเยียวยาร่างกายและจิตใจของผู้ป่วยไปพร้อมกันได้ หรือในบางกรณีก็มิอาจเยียวยาร่างกายให้หายขาดจากโรคที่เป็นอยู่ได้ ทำให้ผู้คนหันหน้าเข้าหาการแพทย์ทางเลือก ซึ่ง “ธรรมชาติบำบัด” เป็นอีกหนทางหนึ่งในการรักษาและบำบัดเยียวยาทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ป่วยไปพร้อมกัน
**หายนะจากชีวิตสมัยใหม่และยาแผนปัจจุบัน
ก่อนจะไปทำความรู้จักกับ “ธรรมชาติบำบัด” สิ่งที่ควรตระหนักรู้ก่อนคือ หายนะหรืออันตรายจากการใช้ชีวิตในแบบสมัยใหม่และยาแผนปัจจุบัน
ดร.เจค็อบ วาทักกันเชรี นักธรรมชาติบำบัด แห่งรัฐเคราล่าทางภาคใต้ของอินเดีย อธิบายว่า หัวใจของเราเต้นวันละมากกว่า 130,000 ครั้ง และต้องสูบฉีดโลหิตปริมาณครึ่งถ้วยในทุกๆ การเต้นของหัวใจเพื่อไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย ซึ่งในทุกหนึ่งนาทีหัวใจเต้น 72 ครั้ง และแต่ละชั่วโมงจะเต้น 4,320 กว่าครั้งโดยที่ไม่ได้พักเลยขณะที่กระเพาะ ลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่จะมีความสุขมากเมื่อได้พักผ่อน
ทั้งนี้ หลายๆ คนอาจบอกว่าอวัยวะเหล่านี้จะได้พักผ่อนในตอนที่เรานอนหลับ แต่ในความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะคนเราเข้านอนหลังการกินอาหารมื้อใหญ่ ดังนั้นมันจึงถูกบังคับให้ทำงานต่อไปในตอนที่เราหลับ ซ้ำร้ายเมื่อตื่นเช้าก็ดื่มของแย่ๆเช่นกาแฟเข้าไปอีก และในเวลา 8 โมงเช้าก็มีงานใหญ่รอคอยอยู่ นั่นคือ ข้าวกองเท่าภูเขา อาหารจากตู้เก็บศพ (ตู้เย็น) ซึ่งแสดงว่าอาหารเหล่านี้ได้ตายไปแล้ว ฉะนั้นหากต้องการมีสุขภาพร่างกาย และจิตใจที่ดีจึงจำเป็นต้องกินอาหารที่มีพลังชีวิตอยู่นั่นคือ อาหารสด
“ปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้คือ ความกดดัน ซึ่งเป็นความดันอาหารสูง เพราะเรากินอาหารเข้าไปเป็นจำนวนมากตั้งแต่เช้าจดเย็นและค่ำ”
ดร.เจค็อบอธิบายต่อว่า การหายใจที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้เป็นการหายใจที่ไม่ถูกต้อง การหายใจของคนสมัยนี้คือ หายใจแบบเร็วๆและสั้นๆ เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดไปวันหนึ่งๆเท่านั้น และทุกวันนี้ไม่มีใครให้ความสำคัญกับอากาศที่ใช้หายใจ โดยปัจจุบันคนเราหายใจเพียง 20 % ของศักยภาพปอด แต่ถ้าหายใจให้เต็ม 100 % ของศักยภาพปอดแล้ว ก็จะได้สุขภาพที่ดีเต็ม 100 % เช่นกัน
“ทุกวันนี้เราต้องคอยวิ่งตามวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ หรือบริษัทข้ามชาติ เพราะกลุ่มนักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มทำงานให้บริษัทข้ามชาติ และตีพิมพ์ผลงานวิจัยออกมา เช่นผลงานวิจัยที่ว่าเต้าหู้ หรือชาเขียวมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ผู้คนก็จะแห่ไปกินเต้าหู้ ไปดื่มชาเขียว”
“การกินยาก็เช่นเดียวกัน อาทิ ยาพาราเซตามอลมีผลทำลายตับและไต จากการตรวจสอบประวัติคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคไตเรื้อรังจำนวนมาก ซึ่งมารักษาที่ศูนย์ธรรมชาติบำบัดพบว่า คนไข้กินยาพาราเซตามอล ดังนั้นจึงเรียกร้องให้รัฐบาลอินเดียเลิกใช้ยาชนิดนี้ ซึ่งตอนนี้อินเดียออกกฎหมายว่าให้ติดคำเตือนข้างกล่องยาพาราเซตา มอลว่ามีฤทธิ์ทำลายตับและไต และยาชนิดนี้ยังเป็นอันตรายต่อคนป่วยโรคพิษสุราเรื้อรังอีกด้วย หนังสือที่ตีพิมพ์โดยสมาคมแพทย์ของอังกฤษบอกว่าการใช้ยาพาราเซตามอล 10-15 กรัมภายใน 24 ชั่วโมง อาจทำให้เกิดอาการตับหดเกร็ง และไตหดตัวอย่างรุนแรง หากกินภายใน 3-4 วัน จะทำให้เสียชีวิต การตายจากยาชนิดนี้มีไม่มาก แต่ไม่ใช่ว่าไม่มี”
ดร.เจค็อบบอกด้วยว่า โรคฉี่หนู โรคไข้เลือดออก และโรคไข้หวัดนกทำให้เห็นว่าวิธีคิดของการแพทย์สมัยใหม่อยู่ขั้วตรงข้ามกับ ศาสนธรรม และมนุษยธรรม เพราะเมื่อเกิดปัญหาก็ต้องฆ่าหนู ฆ่ายุง ฆ่านก และต่อไปอาจจะต้องฆ่าสุนัขและแมว ซึ่งเป็นแนวคิดของการเผยแพร่ความเกลียดชังไม่ใช่ความรัก ยาสมัยใหม่ทุกชนิดคือ ยาพิษ ถ้าต้องการฆ่าตัวตายการใช้ยาสมัยใหม่จึงเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดในการฆ่าตัวตาย
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเป็นไข้หวัดและไปหาหมอจะได้รับยาแก้อาการหวัด ซึ่งในขณะนั้นอาการจะทุเลาและหายไป แต่เชื่อว่าในอีก 10-15 ปีต่อมาจะเป็นโรคไมเกรน และตามมาด้วยโรคเบาหวาน เพราะพบว่ามียาสมัยใหม่กว่า 115 ชนิด ที่ทำให้เป็นโรคเบาหวานได้ และเมื่อกินยาโรคเบาหวานก็จะก่อให้เกิดโรคความดันโลหิตร่วมด้วย และถ้าหากกินยาโรคความดันโลหิตติดต่อ 3-4 ปี จะทำให้มีอาการโรคหัวใจ เมื่อกินยาโรคหัวใจ 3-6 ปี จะก่อให้เกิดโรคไต ซึ่งจะมีอาการชาตามมือและเท้า มีแผลเปลือยพุพองจากเบาหวาน ถ้าลามไปบริเวณใดก็ต้องตัดส่วนนั้นทิ้งไปเรื่อยๆ ทำให้เห็นว่ายิ่งรักษายิ่งได้รับความเจ็บปวดมากขึ้น
“สรุปได้ว่าสุขภาพของคนเราเสื่อมโทรมจากอาหารขยะ เช่น อาหารจานด่วน ขนมหวาน น้ำอัดลม เบเกอรี่ ชา กาแฟ อาหารที่ปนเปื้อนสารเคมี ยาฆ่าแมลง เช่น สารให้ความหวาน ผงชูรส สารกันบูด เครื่องอุปโภค เช่น ภาชนะใส่อาหาร อาทิ พลาสติก แม้จะเป็นพลาสติกใสก็ตาม เครื่องสำอาง สบู่ โลชั่น วัฒนธรรมการใช้ชีวิตแบบสมัยใหม่ เช่น การใช้ตู้เย็น (ห้องดับจิตที่บ้าน) ไมโครเวฟ วิถีชีวิตที่เร่งรีบ นอนดึก จิตที่เป็นลบ เช่น ความเครียด บริโภคนิยม แก่งแย่งแข่งขัน ความโกรธ ความซึมเศร้า ยาแผนปัจจุบัน และวัคซีน”
“หากต้องการรักษาความเจ็บปวดให้หายไป มีสุขภาพที่ดี และตายอย่างสงบสุข ควรปรับเปลี่ยนทัศนคติต่อสุขภาพเสียใหม่ และตระหนักว่าไม่มีหมอ หรือยาตัวใดให้สุขภาพที่ดีแก่เราได้ สุขภาพที่ดี และความสุขที่แท้จริงคือ การมองกลับไปหาร่างกายของตนเอง เพราะนั่นคือพลังแห่งการบำบัดและเยียวยาอันล้ำค่า”ดร.เจค็อบแจกแจง
**ทำความรู้จักร่างกายตน
ดร.เจค็อบอธิบายว่า ผู้คนสมัยนี้รู้จักทุกสิ่งรอบตัวทั้งดวงดาว ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ แต่รู้จักร่างกายตนเองน้อยมาก ร่างกายรู้ว่าจะร้องขออาหาร น้ำ การพักผ่อน การย่อยอาหาร ขับของเสีย และสารพิษออกมาได้อย่างไร จะเจริญเติบโต และรักษาเยียวยาปัญหาในร่างกายได้อย่างไร ร่างกายไม่ได้โง่เขลาเหมือนลา มันมีกลไกที่แสนชาญฉลาด เป็นกลไกทางจิตวิญญาณ กลไกทางจิตใจและกลไกทางกาย หน้าที่ของเราคือ ต้องยอมให้ร่างกายได้ซ่อมแซมตัวเอง
“ร่างกายรู้จักวิธีขับสารพิษออกมา โดยมีช่องทางหลัก 5 ช่องทางคือ 1.การหายใจ ด้วยการหายใจเข้าลึกๆแล้วค่อยๆ ผ่อนออกอย่างช้าๆ ซึ่งเป็นการขับพิษ ทำให้ร่างกายสะอาด และส่งผลให้ปอดมีพลังอีกด้วย 2.การขับพิษทางเหงื่อ 3.ทางปัสสาวะ คือไตจะกรองของเสียจากกระแสโลหิตและขับออกมาในรูปปัสสาวะ 4.อุจจาระ มาจากกากอาหารที่กินเข้าไป และ5.ประจำเดือน ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบของผู้หญิง”
ดร.เจค็อบบอกว่า ถ้าหากช่องทางการขับพิษเหล่านี้มีปัญหา อุดตัน หรือทำงานได้ไม่เต็มที่ เช่น การหายใจผิดปกติจะทำให้แก๊สพิษถูกสะสมไว้ในร่างกาย ทำให้ร่างกายรู้สึกไม่สดชื่น ออกซิเจนจะเป็นตัวบ่งบอกในเรื่องสุขภาพที่ดีได้ การขับเหงื่อหลายๆคนไม่ชอบเมื่อมีเหงื่อ จะนำแป้งมาอุดตันรูขุมขน แต่แท้จริงแล้วรูขุมขนเป็นที่ระบายสารพิษ ซึ่งถ้าไม่ระบายออกจะเป็นอันตรายต่อไต สารพิษที่อันตรายที่สุดจะออกมากับเหงื่อ ทางอุจจาระหากมีอาการท้องผูกจะทำให้ปวดหัว หรือเป็นสิว กระเพาะอาหารและร่างกายของเรามีขีดจำกัด ดังนั้นควรให้ความเคารพต่อขีดจำกัดนั้น
“ในปัจจุบันอากาศ น้ำ อาหารล้วนมีพิษปนเปื้อนมาก ร่างกายจึงต้องขับสารพิษด้วยวิธีพิเศษมากขึ้น นั่นคือ การเป็นหวัด เมื่อเกิดอาการหวัดจะมีน้ำมูกไหล หรือมีเสมหะ ไอ และจามร่วมด้วย แต่ถ้าเรากินยา ยาจะไปหยุดน้ำมูก กักเก็บไว้ในปอด และในโพรงไซนัส ดังนั้นอาการหวัดจึงไม่ต่างอะไรจากการขับอุจจาระ ถ้าน้ำมูก หรือเสมหะตกค้างอยู่ในร่างกายจะทำให้เกิดอาการหอบหืด และหากใช้ยายับยั้งจะทำให้เป็นไมเกรน”
“การอาเจียน ท้องร่วง เป็นไข้ อาการอื่นๆ เช่น สิว ตกขาว ฝี ผื่นคัน ฯลฯ เหล่านี้ล้วนเป็นช่องทางขับพิษพิเศษเช่นเดียวกัน ไม่ควรใช้อะไรไปหยุดยั้งการขับพิษแบบพิเศษของร่างกาย เช่น อาการไข้จะมีความร้อนสูง ซึ่งเป็นการเผาผลาญพิษภายในร่างกาย” ดร.เจค็อบ กล่าวถึงระบบขับพิษที่แสนอัจฉริยะของร่างกาย
**ไขปริศนาศาสตร์แห่งธรรมชาติบำบัด
…แล้ววิธีใดจะเป็นวิธีที่สามารถรักษากาย ใจ และมีชีวิตที่ห่างไกลโรคได้ดีที่สุด
ดร.เจค็อบเล่าว่า ธรรมชาติบำบัดคือ การรักษากาย ใจ และจิตวิญญาณโดยอาศัยกระบวนการธรรมชาติในการรักษาเยียวยา ดำเนินชีวิตอย่างสอดคล้องกับธรรมชาติ เช่น อาหาร แสงแดด อากาศ น้ำ โคลน เป็นต้น เพราะถ้าร่างกายและจิตใจสมดุลกันก็จะมีพลังกำจัดโรคได้ทุกชนิด เป้าหมายที่แท้จริงของธรรมชาติบำบัดคือ การกลับมาใช้ชีวิตให้สอดผสานกับธรรมชาติ ใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายและเป็นสุข เพราะร่างกายมนุษย์คือ ธรรมชาติ
การรักษาด้วยวิธีธรรมชาติบำบัดมี 3 ขั้นตอนคือ 1.ชำระล้าง 2.เยียวยา และ3.ฟื้นฟู อย่างไรก็ตามการรักษาตามแนวธรรมชาติบำบัดต้องให้กายและใจดูแลตัวเองด้วยวิธีการต่างๆ ทั้งการปรับเปลี่ยนวิธีการกินอาหาร การอดอาหาร การอาบแดด การล้างพิษ เป็นต้น เพื่อปรับธาตุให้สมดุล
ทั้งนี้ การดูแลตนเองตามแนวธรรมชาติบำบัดเริ่มด้วยการเล่นโยคะ ถ้าพูดถึงการออกกำลังโยคะจะทำให้สุขภาพที่ดีถึง 90%การว่ายน้ำ 70% การวิ่ง 60% ส่วนการเดิน 30% และไทเก๊กก็ดีเช่นกันเพราะไม่ทำให้ข้อต่อเสีย ส่วนการออกกำลังกายชนิดอื่นๆเป็นอันตราย คนที่มีสุขภาพดีไม่ควรออกกำลังหนักจนเกินไป เพราะจะทำให้ข้อต่อเสื่อมถ้าหากเป็นผู้ป่วยไม่ควรออกกำลังกายเพราะร่างกายต้องการการพักผ่อน ต่อมาคือ การชำระล้างคอ และล้างจมูกด้วยน้ำมะนาวผสมเกลือป่นและน้ำอุ่น ล้างคอโดยการกลั้วคอประมาณ 10 คำกลั้ว ซึ่งน้ำล้างคอจะเข้มข้นกว่าน้ำล้างจมูก และล้างตาด้วยการกะพริบตาในน้ำสะอาด 20 ครั้ง
“ควรทำความสะอาดร่างกายด้วยผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ไม่มีสารเคมีผสม อาบแดดก็เป็นแนวทางธรรมชาติบำบัดเช่นกัน เวลาที่เหมาะสมในการอาบแดดคือ ตอนเช้าก่อน 9.00 น. และช่วงเย็นควรปฏิบัติหลัง 16.30 น. สวมใส่ชุดผ้าฝ้ายสีขาวหรือสีอ่อน อาจยืนหรือนั่งก็ได้ หันหน้าและหันหลังให้รับแสงแดดข้างละ 15 นาที โดยหลับตา”
ส่วนเรื่องอาหารควรกินผลไม้สดและผักสด เพราะอาหารเหล่านี้เป็นอาหารที่มีอันตรายน้อยที่สุด และควรกินตามฤดูกาล หลักในการกินคือ ไม่ควรกินผลไม้ที่มีรสชาติต่างกันควรกินผลไม้ที่มีรสชาติเปรี้ยวเหมือนกัน หรือหวานเหมือนกัน เพราะร่างกายจะใช้น้ำย่อยคนละชนิดกันหากกินรสชาติต่างกัน แต่ถ้าเป็นผลไม้ชนิดเดียวกันจะดีที่สุด ไม่ควรกินผลไม้กับผักด้วยกัน ห้ามกินแป้งกับผลไม้ และแป้งกับโปรตีนด้วยกัน
“ประมาณ 6โมงเช้าให้ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน น้ำผลไม้ น้ำผักคั้น หรืออาจใช้น้ำผึ้ง 2 ช้อนผสมน้ำเปล่า 2 แก้วหรือผสมน้ำมะนาวร่วมด้วยแทนการดื่มกาแฟหรือชา เพราะการดื่มน้ำเหล่านี้จะช่วยบำบัดและเยียวยาระบบประสาท ทำให้ตาเย็นลง ก่อนจะกินอะไรเข้าไปควรตั้งคำถามกับตัวเอง 4 ข้อ ตามลักษณะ 4 ประการของอาหารคือ อาหารนั้นมีคุณสมบัติชำระล้าง เยียวยา ฟื้นฟูพลังงาน หรือก่อให้เกิดมลพิษ คุณสมบัติของน้ำมะพร้าวคือ ชำระล้าง ฟื้นฟูพลัง และเยียวยาปัญหาสุขภาพ แต่กาแฟและชาก่อให้เกิดมลพิษและทำให้มีพลังงานเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนน้ำตาลขัดขาวต้องการแคลเซียมมาย่อยตัวมันเอง ดังนั้นมันจะดูดแคลเซียมจากร่างกายของเราไปย่อย พบว่าเมื่อคนเราอายุย่างเข้า 21-22 ปี จะมีปัญหาเรื่องฟัน ทั้งนี้เพราะกินน้ำตาลขัดขาวเข้าไปมาก ส่วนนมถือว่าดีมากสำหรับเด็กไม่ใช่
ผู้ใหญ่ ควรดื่มเฉพาะนมแม่ และดื่มถึงอายุ 2 ขวบเท่านั้น”
ดร.เจค็อบบอกด้วยว่า ในมื้อเช้าและมื้อเย็นควรกินผลไม้ ส่วนมื้อกลางวันกินข้าวกล้อง ผักสดและอาหารมังสวิรัติ ซึ่งเท่านี้ก็เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย แต่สามารถปรับเปลี่ยนมากินข้าวมื้อเย็น และกินผลไม้มื้อกลางวัน หรือกินข้าวมื้อเช้าก็ได้ สำหรับผู้ป่วยอาการหนักบางคนอาจจะต้องให้งดข้าวกินแต่ผลไม้ทั้งสามมื้อ
กล่าวคือผลไม้จะช่วยฟื้นฟูพลัง และชำระล้าง อาหารปรุงสุกอันดับแรกจะให้พลัง และอันดับ 2 จะทำให้เกิดสารพิษและของเสีย แต่ถ้ากินปลา ไข่ หรือเนื้อสัตว์สิ่งเหล่านี้จะให้สารพิษมาเป็นอันดับ 1 ไม่มีคุณสมบัติในการเยียวยา และใช้พลังของร่างกายล้างสารพิษมากขึ้น
ที่สำคัญคือ ควรกินอาหารเพียง 3 มื้อเท่านั้น แม้แต่การกินลูกอมเพียงเม็ดเดียวระหว่างมื้อก็ไม่ควรทำ ซึ่งระหว่างมื้อสามารถดื่มน้ำผลไม้ได้ 2 ครั้ง ซึ่งการกินทั้ง 5 ครั้งนี้ ร่างกายสามารถรับไว้ได้ และร่างกายสามารถทำงานติดต่อกันได้ตลอดเวลาโดยไม่มีปัญหาถ้ากินอาหารเหล่านี้ ส่วนอาหารในตู้เย็น และอาหารที่ปรุงสุกนานเกิน 3 ชั่วโมงไม่ควรกิน เพราะถือว่ามีสารพิษ
“การเยียวยาที่สมบูรณ์ตามแนวธรรมชาติบำบัดนอกจากจะปรับเปลี่ยนการกินแล้วควรแช่สะโพกและหลังร่วมด้วย อีกสิ่งหนึ่งคือ การปรับเปลี่ยนการนอน ควรเข้านอนไม่เกิน 4 ทุ่ม เพราะร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตในขณะที่เราหลับตั้งแต่ 4 ทุ่มถึงเที่ยงคืน เพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ควรเข้านอนหลังอาหารเย็นอย่างน้อย 3 ชั่วโมง หากหลับสนิทการนอนเพียง 5-6ชั่วโมงก็ถือว่าเพียงพอ และควรตื่นก่อน 6 โมงเช้านอกจากนั้นอาจใช้วิธีล้างพิษร่วมด้วย”
“การดูแลตนเองเบื้องตน เช่น เมื่อมีอาการปวดศรีษะ นอนไม่หลับ หรือวิงเวียนศีรษะ ในหนึ่งวันควรใช้น้ำราดศีรษะ 5 ครั้งต่อวัน โดยราดติดต่อกันนาน 5 นาที และใน 5 ครั้ง ควรราดก่อนเข้านอน 1 ครั้ง ส่วนการพอกโคลนและการใช้ผ้าเปียกจะช่วยให้หายจากความเจ็บปวด เช่นเมื่อปวดหัวไหล่พันด้วยผ้าเปียก 1-2 สัปดาห์อาการเจ็บปวดก็จะหาย”
ดร.เจค็อบสรุปทิ้งท้ายเอาไว้ว่า ธรรมชาติบำบัดสามารถรักษาได้ทุกโรคแต่ไม่ใช่ทุกคน กระบวนการเยียวยาเกือบทั้งหมดขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจและสังคมมากกว่าสภาพร่างกายของคนไข้ การปฏิบัติตนตามแนวทางธรรมชาติบำบัดต้องมีความรับผิดชอบต่อตนเอง ต้องควบคุมตัวเองจากการเย้ายวนของอาหารที่ไร้ประโยชน์ ธรรมชาติบำบัดต้องมีวินัยทั้งกาย ใจและทนต่อแรงกดดันทางสังคม
*********************
รู้จัก ดร.เจค็อบ
ดร.เจค็อบ วาทักกันเชรี นักธรรมชาติบำบัด ผู้ทดลองปฏิบัติด้วยวิธีธรรมชาติบำบัดกับตนเองและเยียวยาผู้ป่วยเรื้อรังจำนวนมากจนหายมากว่า 20 ปี เปิดศูนย์ธรรมชาติบำบัดหลายแห่งในรัฐเคราล่าทางภาคใต้ของอินเดีย คำขวัญของศูนย์คือ เข้ามาคุณเป็นคนไข้กลับออกไปคุณเป็นหมอ และเขายังเป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมตามแนวทางมหาตมะ คานธี อีกด้วย
ทั้งนี้ การรักษาตามแนวธรรมชาติบำบัดข้างต้นเป็นข้อปฏิบัติของบุคคลทั่วไป แต่สำหรับผู้ป่วยโรคต่างๆและมีระยะความรุนแรงของโรคแตกต่างกันจะมีวิธีการที่ละเอียดอ่อนกว่า สามารถติดต่อ ดร.เจค็อบ วาทักกันเชรี ได้ที่www.naturelifehospital.org, E-mail drjacob@naturelifehospital.org, jacobkerala@rediffmail.com หรือติดต่อคุณสมบูรณ์ ตระกูลชัยมิตร โทร.08-4115-1114, 0-2693-6692 หรือsomboon_vanlch@hotmail.com
*******************
พัชรี โคสนาม
นักศึกษาฝึกงาน คณะอักษรศาสตร์ ม.ศิลปากร