นอกจากจะเป็นคำตอบของคำถามที่ว่าเมื่อไหร่บอลไทยจะได้ไปบอลโลกแล้ว คุณคิดว่า..."ชาติหน้าตอนบ่ายๆ" น่าจะเป็นคำตอบในอารมณ์ประชดของผู้ตอบต่อคำถามอะไรได้อีกบ้าง?
หากเป็นการเมืองมันอาจจะเป็นคำตอบของคำถามที่ว่า เมื่อไหร่ที่ประเทศไทยจะมีนักการเมืองที่เห็นประโยชน์ของชาติของประชาชนอย่างแท้จริง? และหากเป็นแวดวงของนักสังคมสงเคราะห์ นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย มันก็อาจจะเป็นคำตอบของคำถามที่ว่า เมื่อไหร่กันหนอประชาชนคนไทยจะได้รับสวัสดิการที่ดี ได้รับสิทธิอย่างเท่าเทียมกัน? ฯลฯ
แต่ถ้าเป็นคนในแวดวงภาพยนตร์ล่ะก็ เชื่อได้เลยว่าหลายคนคงพากันประสานเสียงบอกเหมือนๆ กันว่า "ชาติหน้าฯ" คือคำตอบของคำถามที่ว่า เมื่อไหร่บ้านเราจะใช้การ "จัดเรต" หนัง(โรง)แทนการเซ็นเซอร์เสียที?
ต้องรอถึงชาติหน้าจริงหรือ?
หลังการเกิดขึ้นของ "คณะกรรมการตรวจพิจารณาภาพยนตร์" (กองเซ็นเซอร์) โดยพระราชบัญญัติภาพยนตร์(และพระราชบัญญัติเทปและวัสดูโทรทัศน์)พ.ศ. 2473 ดูเหมือนว่าการทำงานของเจ้าหน้าที่ในส่วนนี้(ที่แม้จะเลือกคนมาจากหลากหลายกลุ่ม อาชีพ วงการ นัยว่าเพื่อให้ครอบคลุมในทุกๆ ภาคส่วนของสังคม)ก็มักจะมีปัญหากับผู้สร้างหนังทั้งหลายมาโดยตลอดจนโดนเปรียบเปรยไปต่างๆ นานา ทั้ง ไดโนเสาร์ เต่าล้านปี คนแก่หัวโบราณ ฯลฯ
ห้วงระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านต้องถือว่ากระแสการไม่เอากองเซ็นเซอร์นั้นนับวันจะดังและถี่มากขึ้นเรื่อยๆ อันเนื่องมาจากเหตุผลในการใช้พิจารณา "แบน" ต่อหนังเรื่องหนึ่งเรื่องใดค่อนข้างจะขัดและคัดค้านสายตาของคนส่วนใหญ่ กระทั่งนำมาซึ่งข้อเรียกร้องถึง "ทางออก" ที่ดีกว่านั่นก็คือระบบการ "จัดเรต"
แต่ทุกอย่างก็เป็น "เสียงใบ้" ที่ไม่ว่าจะตะโกนปาวๆ สักเท่าไหร่ ยื่นหนังสือกันสักกี่ครั้ง แต่ก็ดูเหมือนว่าหน่วยงานของรัฐฯ ที่เกี่ยวข้องเองจะไม่เคยได้ยิน ไม่เคยได้รับรู้ และไม่เคยสนใจใยดีใดๆ ทั้งสิ้น
"จำได้ว่ารอมาตั้งแต่ผมเข้ามาในวงการนี้ รอมานานเลยแต่ก็ยังไม่เห็นเกิดอะไรขึ้น รอมาตั้งแต่ยังไม่เกิดด้วยมั้ง เขาก็มีการพูด การอะไรกันมาเยอะตลอด พูดจนเลิกพูดกันไปแล้วมั้ง คือ ไม่มีความหวังอะไรให้เราเลย เอาเวลาไปทำงานของผมดีกว่า"...ช่วงหนึ่งของคำสัมภาษณ์ถึงความรู้สึกของ "อังเคิล อดิเรก" ในหัวข้อ "จัดเรตหนัง(ไทย) ชาตินี้ฝันไปเหอะ?" (ผจก.รายวัน/ปริทรรศน์/15 ธันวาคม 2548)
2 ปีที่แล้วมีการถ่ายโอนอำนาจของการเซ็นเซอร์ไปให้กับสำนักงานวัฒนธรรมแห่งชาติ(สวช.) โดยกระทรวงวัฒนธรรมเป็นผู้ดูแลแทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แม้จะยังไม่รวมถึงในส่วนของ "ภาพยนตร์" ทว่าหลายคนต่างก็คิดว่ามันคือจุดเริ่มต้นที่เป็นไปในทิศทางบวก ทั้งคนดูหนัง ทั้งคนทำหนังเริ่มมีความฝันถึงการก่อเกิดระบบของการจัดเรตหนังขึ้นมาอย่างรำไรๆ
แต่แล้วแสงรำไรที่ว่าก็ค่อยๆ จางหายจนดับไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการให้สัมภาษณ์ของนายกสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งชาติในสมัยนั้นอย่าง “เสี่ยเจียง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ” ที่ประกาศอย่างชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับระบบของการจัดเรตฯ...“สำหรับเรื่องจัดเรตโดยส่วนตัวผมไม่เห็นด้วย ประเทศไทยเราเป็นอะไรที่สบายๆ อยู่แล้ว จะมาจัดเรตทำไมให้ยุ่งยาก ยังไงเราก็มีกองเซ็นเซอร์อยู่แล้ว ก็ให้เขาทำหน้าที่เขาไป จะอายุเท่าไหร่ก็ดูได้ จะมาบังคับกันทำไม ขนาดไม่จัดเรตหนังยังอยู่ไม่ได้เลย แล้วถ้าจัดเรตจะกระทบมากซักแค่ไหน”
“ซึ่งเรื่องนี้ทางสมาพันธ์ได้มีการพูดคุยกับท่านนายกฯ(ทักษิณ ชินวัตร) แล้ว ท่านก็เห็นด้วยคงต้องเบรกพรบ.นี้ไว้ก่อน..."
อย่างไรก็ตาม ณ ช่วงเวลานี้ กระแสเรียกร้องของคนทำหนังก็ได้ดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้งจากกรณีของภาพยนตร์เรื่อง "แสงศตวรรษ" "เจ้ย อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล" ที่นอกจากจะไม่ผ่านการเซ็นเซอร์ในบางฉากทำให้เป็นผลไม่ได้ฉายในประเทศไทยแล้ว ทางกองเซ็นเซอร์เองยังไม่ยอมคืนฟิล์มให้กับเจ้าของหนังอีกต่างหาก โดยอ้างว่าถ้าผู้สร้างจะนำฟิล์มคืนกลับไปจะต้องทำการตัดบางฉากที่ว่านั้นออกเสียก่อน เป็นเหตุให้ทั้งตัวของผู้กำกับเอง มูลนิธิหนังไทย สมาคมผู้กำกับ และพันธมิตรที่เกี่ยวข้องกับวงการหนังไทยหลายต่างพากันแสดงความไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งถึงกับมีเปิดเว็บไซต์ที่ชื่อว่า http://www.petitiononline.com/nocut/petition.html ขึ้นมาเพื่อให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวงการภาพยนตร์รวมทั้งคอหนังทั้งชาวไทยและต่างชาติได้ร่วมลงชื่อแสดงพลังเพื่อขอเรียกร้องต่อคณะสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้ภาพยนตร์เป็นสื่อสารมวลชนอย่างหนึ่ง ซึ่งพึงปลอดจากการแทรกแซงและจำกัดสิทธิเสรีภาพจากอำนาจรัฐ ดุจเดียวกับสื่อสารมวลชนอื่นๆ ทั้งหลาย เช่น หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ โดยมีผู้ตอบรับแล้วมากมาย ทั้งในส่วนของ ปรัชญา ปิ่นแก้ว
ด้วยกระแสตอบรับที่ค่อนข้างแรง มีผู้กำกับชื่อดังทั้งของไทยและเทศหลายต่อหลายคนที่เข้าชื่อเอาด้วยกับเรื่องนี้อย่างขยันขันแข็ง มีการพูดคุยในวงกว้างหลากหลายภาคส่วนและเวที ขณะที่หัวหอกที่จุดประเด็นของการเรียกร้องในครั้งนี้เองก็ถือว่าไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นตัวของ "เจ้ย อภิชาตพงศ์" ผู้กำกับฯ ซึ่งได้รับการยอมรับเป็นอย่างมากจากต่างประเทศ รวมถึงออกมาของ "ท่านมุ้ย หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล" นั่นเองที่ทำให้หลายคนมั่นใจว่าการเคลื่อนไหวในครั้งนี้น่าจะมีน้ำหนักที่รัฐฯ เองอาจจะต้องเงี่ยหูฟัง
ทำไมถึงจัดเรตไม่ได้
ในขณะที่คนในวงการหนังวาดฝันถึงวันที่อยากจะให้รัฐฯ นำเอาระบบของการจัดเรตเข้ามาใช้ยังเป็นหมัน กลับเป็นวงการทีวีที่ต้องรับเอาระบบที่ว่านี้มาใช้ก่อน(ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา) ทั้งที่จะว่าไปแล้วด้วยความเป็นสื่อเปิดที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้โดยง่ายมันแทบจะไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาเลยกับการเอาอักษร อาทิ ท(ทั่วไป) น(แนะนำ) ฉ(เฉพาะ) มาแปะเอาไว้ ที่ตัวรายการทีวีต่างๆ ในเมื่อ "เนื้อหา" ที่สื่อแทรกซึมเข้าสู่สมองของเด็ก/เยาวชนของบ้านเราก็ยังคงเป็นแบบเดิมๆ ทั้งมิวสิกวิดีโอชวนฝันขายหล่อขายสวย โฆษณาที่มากไปด้วยความฟุ้งเฟ้อ ละครน้ำเน่าที่มีแต่การตบตีและด่าทอ เกมโชว์ที่เป็นพื้นที่ให้ดารามาใช้โปรโมตงานตัวเองกับหาเงินติดกระเป๋า ฯลฯ
ทำไมบ้านเราถึงใช้กระบวนการการแบ่งเรต(หนัง)ไม่ได้เสียที? ดูจะเป็นปัญหาที่คลางแคลงใจเหล่าผู้คนในวงการหนังส่วนใหญ่มานานด้วยความรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่สามารถกระทำได้ง่ายและน่าจะเกิดประสิทธิผลมากที่สุด
มองเฉพาะที่จุดมุ่งหมายการทำงานของกองเซ็นเซอร์หลักใหญ่สำคัญคือไม่ต้องการให้มีการแพร่ภาพ+เสียงที่ไม่เหมาะสมไปสู่ผู้รับสารโดยเว้นการลึกลงไปในรายละเอียดที่ว่าแล้วอะไรหรือใครกันล่ะที่จะเป็นคนกำหนดว่าภาพเสียงที่ออกมานั้นจะเหมาะหรือไม่เหมาะอย่างไร (หากเมื่อในความเป็นจริงของสังคมก็มีทั้งเรื่องที่เหมาะสมและไม่เหมาะสมอยู่) หลายต่อหลายคนต่างก็สงสัยว่ารูปแบบระบบความคิดในการทำงานของคณะกรรมการเซ็นเซอร์มันเอื้อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ว่าแล้วหรือ?
- สั่งแบนชื่อหนัง “อาจารย์ใหญ่” (เปลี่ยนเป็น “ศพ”)
- สั่งแบน 4 ฉากในหนัง "แสงศตวรรษ" ที่ประกอบไปด้วย ฉากหมอยืนกอดจูบกับแฟนตามด้วยภาพอวัยวะเพศแข็งตัว/ฉากหมอกินเหล้า/พระเล่นกีตาร์กับโยม และฉากหลวงตานั่งเล่นเครื่องบังคับ โดย 2 ฉากแรกหนึ่งในคณะกรรมการเซ็นเซอร์ "ศุภวัฒน์ โพธิ์ทอง" นิติกรประจำแพทยสภา ให้เหตุผลว่า..."อาจเป็นเรื่องปกติที่หมอจะดื่มเหล้าหรือกอดจูบกับคน รัก แต่ภาพที่เห็นในหนังเป็นภาพในโรงพยาบาล ซึ่งอาจทำให้ผู้ชมเข้าใจว่านั่นคือชีวิตปกติของหมอ หรือหมอจะทำอะไรในโรงพยาบาลก็ได้ จึงเห็นว่าควรจะให้เกียรติสถานที่ด้วย"
- สั่งแบนหนัง "องคุลิมาร" เพราะมีฉากที่พระถูกชาวบ้านขว้างสิ่งของใส่และด่าทอ
- สั่งแบน Bangkok For Sale ซึ่งเป็นชื่อหนังภาษาอังกฤษของ "ส้มแบงค์ มือใหม่หัดขาย" จนต้องเปลี่ยนมาเป็น "One take Only"
ฯลฯ
ในทางตรงข้ามกลับปล่อยให้เด็กๆ ตัวเล็กๆ ได้เข้าไปเห็นภาพที่เป็นการปลูกฝังในเรื่องของความรุนแรงทั้งการยิงกัน ระเบิดเลือดสาด การฆ่าตัดคอ รวมไปถึงคำหยาบคำสบถในหนังหลายต่อหลายเรื่อง ซึ่งหากเป็นในต่างประเทศเองภาพยนตร์จำพวกนี้ล้วนแล้วแต่มีการ "จำกัดอายุ" ของคนดูทั้งสิ้น
"การจัดเรตผมคิดว่ามันดีกว่าการเซ็นเซอร์แน่นอนเลย..." บรรจง โกศัลวัฒน์ อาจารย์สาขาวิชาภาพยนตร์และภาพถ่าย ประจำคณะวารสารฯ ม.ธรรมศษสตร์ หนึ่งในบุคคลที่ออกมาเรียกร้องในครั้งนี้เผย
"อยู่ๆ ก็จะๆ ไปตัดทอน การตัดทอนนี้ก็เหมือนกับการไปลิดรอนสิทธิเสรีภาพทางความคิดของคน ถ้าหากเขามีภาพอะไรที่มันไม่เหมาะกับเด็กเยาวชนเขาก็จะจัดเรตไปให้การมีเรตติ้งมันก็มีการกำหนดประเภทอายุของผู้ชม หนึ่งมันทำให้แนวทางการสร้างสรรค์มันก้างขวางขึ้น สองผู้ชมได้ประโยชน์กับการที่ได้ดูในสิ่งที่เขาควรจะได้ดู"
"ผมสอนภาพยนตร์มา 35 ปีแล้ว มีลูกศิษย์ลูกหาเยอะแยะมากมาย มีนักวิชากรทางด้านภาพยนตร์ เราก็เติบโตมาพอสมควรนะ ผมคิดว่าถ้าโทรทัศน์ทำได้ในสังคมนะเราคิดว่าเราทำได้ดีกว่าโทรทัศน์ที่เขาทำกันอยู่นะครับในความคิดส่วนตัวของผมนะครับ.."
โอกาสและความเป็นไปได้
"หากครั้งนี้ไม่ได้ ก็คงจะหมดหวัง..." ดูเหมือนว่าประโยคนี้จะเป็นสิ่งที่บรรดาคนในวงการหนังทั้งหลายต่างรู้สึกเหมือนๆ กันกับการออกมาเรียกร้องในครั้งนี้
"ผมพูดมา 30 ปีแล้ว ผมพูดตั้งแต่ผมเริ่มวิจารย์หนังแล้วเรื่องนี้ ถึงจะไม่เซ็นเซอร์คือคุณจะทำยังไงก็ได้มันต้องเอา พรบ.ภาพยนต์2473 มาทบทวนใหม่หมด โลกมันเปลี่ยนไปแล้วเป็นยุคดิจิตอลแล้ว พรบ.ภาพยนตร์ 2473 ยังใช้มือหมุนอยู่เลย...ถ้าคุณยังใช้ความคิดแบบนั้น...มันยังขัดแย้ง..คือที่ไหนเขาก็ทำกันมีแต่ประเทศไทยนี่แหล่ะเขายังไม่ยอมเปลี่ยนแปลงแก้ไขปรับปรุงเลย" นักวิจารณ์และผู้กำกับภาพยนตร์ "เตี้ย สนานจิตต์ บางสะพาน" เผยความรู้สึก
"ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาไม่ยอมกับอีการแค่ให้หนังเป็นสื่อมวลชนเนี่ย ผมก็พูดอยู่ตลอดเวลาว่าคนทำหนังมีความรับผิดชอบไม่ใช่เด็กที่จะเอาเงิน 20 กว่าล้านมาทำหนังเพื่อที่จะคอยใครสักคนหรือหกเจ็ดคนมานั่งดู แล้วอยากจะรู้นักว่าไอ้พวกเ..ยี้..นั้นมันมีสิทอะไรมาบอกผมว่านั่นทำได้ไอ้นั่นทำไม่ได้ มันรู้เรื่องหนังเท่าผมเหรอ มันเป็นศิลปะภาพยนตร์"
"บอกตรงๆ ว่าเมื่อก่อนตำรวจดูแลเราดูว่าเขาไม่มีพื้นฐานศิลปะภาพยนตร์แต่ยังใจกว้างกว่ากระทรวงวัฒนธรรมเลย คือคุณไม่ดูหนังทั้งเรื่องว่ามันสื่อความหมายยังไง คุณเล่นอะไรนิดอะไรหน่อยคุณเล่นเหมาโหลมันก็ไม่ถูกก็ต้อง..."
ขณะที่ทางด้าน "อ.บรรจง" บอกว่า..."โดยส่วนตัวก็พยายามเคลื่อนไหวและคณะก็พยายามผลักดันให้ภาพยนตร์เป็นสื่อมวลชน เพราะมันจะดีในหลายๆ อย่างทั้งอุตสาหกรรมภาพยนตร์เองก็ด้วย ในแง่ของการพัฒนาในองค์รวม อันนี้ก็จะได้ส่งเสริมการศึกษาได้ชัดเจนมากขึ้น ปัจจุบันไม่ค่อยได้ส่งเสริม รัฐบาลคิดแต่ส่งออกเพียงอย่างเดียว เรื่องค้าขายเรื่องที่จะช่วยเหลือภาพยนตร์ต่างประเทศให้เข้ามาฉายเมืองไทย แต่ไม่คิดว่าการศึกษาสำคัญกว่านะเปิดโลกมุมมองให้กว้างขึ้นโดยใช้สื่อภาพยนตร์นี่คือสิ่งที่ผมอยากได้อยากให้ภาพยนตร์ได้เข้าไปอยู่มาตรา 39 เหมือนกับสื่อมวลชนอื่นๆ"
"ข้อดีที่ตามมาสำหรับการจัดเรต คือเราได้เห็นความเข้าใจได้รับรู้จากสื่อภาพยนตร์มันเหมือนเป็นเสรีภาพแทนที่จะถูกล้อมกรอบกันไว้กันอย่างปัจจุบัน ในที่สุดแล้วการจัดเรตติ้งสังคมก็จะได้เรียนรู้ได้ประโยชน์เหมือนกับสื่อหนังสือพิมพ์ วิทยุโทรทัศน์ที่อย่างน้อยก็ทำให้สังคมได้รับรู้เปิดหูเปิดตาประชาชนได้พอสมควรถึงแม้ว่าจะไม่ได้มากที่สุดก็ตามอยากจะให้ภาพยนตร์เป็นสื่อกลางที่ให้สงคมได้รับรู้เหมือนกับสื่ออื่นๆ บ้าง"
คำถามเผื่ออนาคต
คิดกันในทางบวก หากมีการบรรจุภาพยนตร์มีสถานะเป็นสื่อฯ แขนงหนึ่งลงในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มาตรา 39 ที่จะได้รับการคุ้มครองเช่นเดียวกับวิทยุโทรทัศน์และสื่อสิ่งพิมพ์ หรือให้ดียิ่งขึ้นก็คือ คำถามที่ตามมาก็คือ ใครกันจะเป็นคนดูแล ตรวจสอบและควบคุม เรื่องนี้ "วิสูตร พูลวรลักษณ์" แสดงความคิดเห็นว่า...
"จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่าเราไม่ยอมจะไม่ยอมเรื่องการเซ็นเซอร์หรือเราจะไม่ยอมรับผิดชอบอะไรเลยทางสังคม แต่เราที่ออกมาครั้งนี้เพื่อให้มีการจัดเรตหนังภาพยนตร์มากกว่า ไม่ใช่ว่าเราอยากจะเสนอภาพรุนแรงหรืออะไร แต่คือสมมติเราเขียนบทนิยายมาซักเรื่องหนึ่งถ้าไปถูกตีพิมพ์เป็นนิยายก็ไม่ต้องเอาไปตรวจสอบเอาไปเผยแพร่ได้เลย เอาไปทำละครวิทยุก็ไม่ต้องตรวจสอบ แต่พอเอามาทำภาพยนตร์กลับต้องตรวจสอบหลายๆ อย่าง"
“มันมีหลายๆ ประเทศที่สามารถเอามาทำเป็นอย่างได้นี่ครับ เราดูจากประเทศเพื่อนบ้านได้นี่ครับ ว่าเขามีวิธีการจัดเรตอย่างไร ใครจัด คืออันนี้ผมว่ามันศึกษาได้สิ่งที่เหมาะสมกับประเทศไทยคืออะไร อายุของคนชมภาพยนตร์ ก็ไปศึกษากันต่อได้อีกน่ะครับ ว่าอายุเท่าไหร่ถึงเหมาะสม เท่าที่เป็นอยู่ในกฤษฎีการ่างโดยให้กระทรวงวัฒนธรรมร่างเนี่ย ส่วนตัวผมไม่ดีน่ะครับ เน้นเรื่องการควบคุมมากไป มันจะหนักข้อไป”
"โรงหนังจะได้รับผลกระทบอะไรอีกมั้ย...อันนี้ตอบยากนะ สุดท้ายแล้วเมื่อกติกาเมื่อกฎอะไรมันออกมาชัดเจน ทางฝั่งโรงหนังเองก็ต้องพร้อมปรับตัวเอง โรงหนังเองก็แค่ตั้งกติกาว่าจะขายบัตรให้กับคนดูอย่างไร ส่วนคนดูเองก็ควรเรียนรู้ว่าหนังแบบไหนเขาดูได้ ดูไม่ได้ คิดว่าไม่น่าจะใช้เวลานาน เพราะว่าเราไม่ได้เป็นประเทศแรกที่จัดเรตติ้งน่ะครับ อย่างเพื่อนบ้านเราอย่างสิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวันก็เปลี่ยนแล้ว ปัญหามันก็น่าจะมีบ้าง แต่พอระยะยาวก็น่าจะดีนะ”
ในส่วนของมุมมองของ อ.บรรจง นั้นเจ้าตัวเผยถึงผลกระทบที่จะอาจจะตามมาว่า..."ก็มีบ้างนิดหน่อยเกี่ยวกับเรื่องของโรงภาพยนตร์เกี่ยวกับการจัดเกี่ยวกับการบริหารเกี่ยวกับการที่แบ่งเยาวชนไม่ให้เข้าไปดู อันนี้คิดว่าถ้าทำจริงๆ ไปสักพักหนึ่งน่าจะมีโรงภาพยนตร์ที่ไว้ให้คนที่มีวุฒิภาวะพอที่จะไปดูมันก็คงจะมีหนังสักประมาณ 10% ที่จะต้องเป็นผู้ใหญ่ดูอย่างเดียว แต่ผมเองมองไปถึงขั้นถ้าจะมีหนังอะไรที่มีการกระทบกระทั่งไปทางการเมืองบ้างนะมันน่าจะถูกจับให้ไปอยู่ประเภทของผู้ใหญ่น่าจะทำให้กว้างขวาง"
เช่นเดียวกับ "ชัยวัฒน์ ทวีวงศ์แสงทอง" จากสมาคมสมาพันธ์ภาพยนตร์ฯ "ผมอยากจะบอกว่าแม้ว่าเราจะเลิก พรบ.2473 ในวันนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้สร้างภาพยนตร์จะมีเสรีภาพจะไปด่าว่าใครหรือใส่ภาพอะไรไปก็ได้นะ เพราะจริงๆ แล้วเรายังมีกฎหมายอาญา กฎหมายแพ่ง กฎหมายหมิ่นประมาทอยู่"
"เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราบรรจุภาพยนตร์ในฐานะเป็นสื่อมวลชนในมาตรา 39 ของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็หมายความว่าแม้เราทุกคนจะมีเสรีภาพแต่เราก็จะต้องมีองค์กรอย่างเช่น สมาพันธ์ภาพยนตร์ สภาการภาพยนตร์ฯ ของรัฐคอยดูแลและตรวจสอบจริยธรรมของผู้สร้างหนัง ซึ่งเสรีภาพเหล่านี้บางทีเราก็ทำได้ดีกว่าที่กรมตำรวจเขามาดูแลอยู่ เพราะเราอาจเข้าใจว่าอะไรเป็นศิลปะและไม่เป็นศิลปะมากกว่า นี่คือสิ่งที่เราอยากจะเรียกร้องกับการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ขึ้นมา”
"อย่างแอร์ฟอร์ซ วัน ที่เราจะได้เห็นประธานาธิบดี ถือปืนไล่ยิงผู้ร้าย ซึ่งในทางกลับกันถ้าผมสร้างหนังที่มีนายกรัฐมนตรีมาทำแบบนี้บ้างเราจะถูกเซ็นเซอร์มั้ย...?"
*****************
เรื่อง ทีมข่าวบันเทิง