คงไม่ใช่เรื่องแปลกหรือเรื่องน่าตกใจอะไรหากคุณไม่รู้จัก และไม่คุ้นกับชื่อ Satomi Ginoza อ่านว่า ซาโตมิ กิโนซ่า (สำเนียงญี่ปุ่น)
แน่นอนว่าเธอไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์
เธอคืออีกหนึ่งชีวิตลูกครึ่งไทย - ญี่ปุ่น ที่พูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้
แต่เธอสามารถพูดได้ทั้งภาษาไทย อังกฤษ และจีน
คุณพ่อชาวญี่ปุ่น คุณแม่ชาวไทยของเธอลาโลกไปด้วยโรคมะเร็งตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กเล็กๆ
ตอนนี้เธอ อายุ 17 ปี แล้ว กำลังเรียนที่ International School of Bangkok เกรด 12
American University, Georgetown University, Wellesley College, Claremont McKenna College, Macalister College, คือตัวอย่างรายชื่อสถานศึกษาส่วนน้อยในอเมริกาที่กำลังรอเธอเข้าศึกษาต่อ
ไม่อยากรู้หรือว่า ทำไม?
.....................................
เวลาบ่าย วันที่แสงแดดสาดส่องในสัปดาห์ก่อน เรามีช่วงเวลาพิเศษสั้นๆ ที่จะพูดคุยกับสาวน้อยตาตี่ๆ ผิวขาว ผมยาว สไตล์เด็กเจแปนนามว่า ซาโตมิ กิโนซ่า Satomi Ginoza เธอปรากฏตัวตรงเวลาในเสื้อยืด กางเกงยีนส์ และกระเป๋าย่ามหนึ่งใบซึ่งข้างในประกอบด้วยเอกสารต่างๆ นานาอัดแน่น
ซาโตมิมาพร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้ม และคำทักทายอย่างเป็นกันเอง
ซาโตมิไม่มีชื่อเล่น หรือสมญานามแต่อย่างใด เธอเป็นเด็กพูดเก่ง คล่องแคล่ว ท่าทีถ่อมตัว อ่อนน้อม ไม่ได้เที่ยวประกาศ หรือโฆษณาสรรพคุณความสามารถของตนเองให้ผู้อื่นรับรู้แต่อย่างใด (แน่นอนคุณเลยยังไม่รู้จักเธอ)
กว่าจะมาถึงวันนี้ เรามีโอกาสได้ยินมาว่าสติปัญญาและความคิดของเธอช่างต่างไปจากเด็กวัย 17 ธรรมดาๆ ทั่วไป ด้วยเหตุนี้ทำให้การสนทนาและทำความรู้จักกับสาวน้อยตาตี่ๆ คนนี้ก็ได้เริ่มต้นขึ้น...
เอ้า! อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย ขอเชิญรับชมรับฟังกันได้ ณ บัดนี้
........................................
*ดวงตาคู่นี้เห็นอะไรบ้างในเวลากว่า 4 ปี ที่อยู่ในเมืองไทย
ตลอดเวลาหลังจากที่พ่อแม่เสียชีวิต ได้กลับมาอยู่ในเมืองไทยในความเลี้ยงดูอุปการะของคุณลุง สนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งเป็นพี่ชายของคุณแม่ โดยกลับมาตั้งหน้าตั้งตาเรียนหนังสือต่อ ตลอด 4 ปีที่ผ่านมานั้นได้ทำอะไรหลายต่อหลายอย่างที่ตัวเองชอบและอยากทำ จนทำให้มองเห็นและได้เรียนรู้โลกกว้างขึ้น
สิ่งที่ติดตรึงตาตรึงใจมากที่สุด และไม่คิดที่จะลืมสำหรับการกลับอยู่ในเมืองไทยคือ การได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองอย่างชัดเจน เห็นการร่วมมือร่วมใจของประชาชนชาวไทยที่รักแผ่นดินเดินทางมาร่วมมือกันกู้ชาติ และยังเห็นการปฏิวัติที่ดีในบ้านเรา กลับมาเมืองไทยครั้งนี้ได้เห็นและซึมซับบรรยากาศแปลกๆ เยอะมาก สนุก คุ้มสุดๆ ได้มีส่วนร่วมกับเหตุการณ์บ้านเมืองครั้งสำคัญ และรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ท้าทายดีไม่น้อยเลย
และ 1 ปีหลังที่ผ่านมานี้กำลังอยู่ในช่วงที่มองหาที่เรียนต่อด้วย จึงใช้ประสบการณ์บวกกับความรู้สึกที่ได้รับรู้และที่ศึกษามาจากเหตุการณ์นั้นๆ มาเป็นตัวช่วยมือช่วยการตัดสินใจอีกด้วย
*แล้วคิดยังไงเกี่ยวกับการปฏิวัติที่เกิดขึ้น
ส่วนตัวคิดว่าเรื่องนี้ดีนะ ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่กำลังจะไปเรียนต่อก็ยังเขียนบทความเกี่ยวกับการปฏิวัติที่เกิดขึ้นในเมืองไทยไปด้วย เคยมีหลายคนก็เตือนว่าอย่าเขียนเลยเผื่อทางมหาวิทยาลัยจะไม่ชอบ หรืออาจจะรับไม่ได้ แต่เรารู้สึกว่าหากเป็นเรื่องใหญ่ระดับชาติอย่างนี้แล้วทางมหาวิทยาลัยไม่สามารถยอมรับตรงจุดนี้ได้ เราก็คงไม่อยากเข้าไปเรียนที่นั่นแน่นอน
เป็นการเขียนความรู้สึกที่แท้จริงของเราไปให้เขารับทราบว่า การปฏิวัติโดยตรงแล้วมันไม่ได้เป็นสิ่งที่ดีมาก ถึงแม้ทางอเมริกาจะไม่เห็นกับการที่เมืองไทยก่อการปฏิวัติก็ตามที่ แต่เป็นเพราะเมืองไทยยังไม่พัฒนาไปถึงขั้น ทำให้คนที่เลือกผู้นำบางครั้งไม่รู้จริงๆ ซึ่งส่งไปประมาณ 11 มหาวิทยาลัยในอเมริกา และมีการตอบรับมาบ้างแล้วบางส่วน
*ส่วนตัวสนใจการเมืองขนาดไหนกัน
การเมืองก็ให้ความสนใจบ้างว่าบ้านเมืองกำลังเกิดอะไรขึ้น มีส่วนร่วมได้ แต่ไม่คิดจะเป็นนักการเมือง เพราะการอยากเป็นนักการเมืองทุกวันนี้ภาพมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก เชื่อถือไม่ได้ มันสื่อถือความโกงกิน การคอร์รัปชันมากกว่าการที่จะเข้ามาช่วยพัฒนาประเทศ
*แล้วอะไรที่จำเป็นต่อคนในสังคมมากที่สุดเวลานี้
(นั่งคิด) "ทุกคนต้องมีความบริสุทธิ์ใจ ความจริงใจต่อกัน" ซาโตมิตอบเป็นประโยคสั้นๆ แต่สื่อถึงความรู้สึกได้อย่างหมดจด
*เรื่องการเรียน และการวางแผนอนาคต
เชื่อว่าหลายคนคงเคยผ่านการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ที่สามารถส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางเดินชีวิตของตัวเอง ใจอยากเรียนอินเตอร์เพราะชอบภาษาอังกฤษ เพราะเขียนอ่านภาษาไทยไม่ค่อยได้ จะเรียนทางด้านรัฐศาสตร์ การทูต เพราะคิดว่าทำงานกระทรวงการต่างประเทศก็คงดี การงานมั่นคง หากทำธุรกิจมันอาจจะล้มเหลวได้ง่าย แต่ถ้าได้ทำองค์การเพื่อคนอื่นมันน่าสนุกและตื่นเต้นดี เหมือนกับว่าไม่ได้อยู่เพื่อตัวเองจนมากเกินไป ได้ทำประโยชน์อะไรเพื่อคนรอบข้างบ้างคงจะดีไม่น้อย
*แสดงว่าให้ความสำคัญกับเรื่องภาษามาก
ถือว่าสำคัญและเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การสื่อสารที่ดีต้องมีภาษาที่ดี และถูกต้อง การเรียนต้องใช้ภาษาอยู่แล้ว ไปเรียนต่อก็ใช้ภาษา ไปสอบโทเฟลมาล่าสุดได้คะแนน 117 เต็ม 120 ถึงว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก และการจะเป็นนักการทูตที่ดีได้นั้น ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับการใช้ภาษาในการติดต่อสื่อสารเป็นหลัก
*ทำไมจะไปเรียนเมืองนอก ไม่คิดต่อมหาวิทยาลัยในเมืองไทย
ได้อยู่เมืองไทยมาสักพักแล้วก็อยากจะเปลี่ยนแปลงสถานที่ เปลี่ยนแปลงความคิดและทัศนคติของตนเองดูบ้าง การไปเรียนเมืองนอกทำให้เรามันจะท้าทายกว่า เพราะจะได้เรียนรู้อะไรเยอะ อย่างเรื่องการดูแลตัวเอง ต้องหาเพื่อนใหม่ การเข้าสังคม การอยู่ร่วมกับผู้อื่น สิ่งเหล่านี้ทำให้เรารู้จักเอาตัวรอดได้ ทำให้เก่งกับการใช้ชีวิตอยู่เองเพียงลำพัง แล้วเราจะได้เรียนรู้ตัวเองควบคู่ไปกับการเรียนหนังสือ และอย่างที่บอกอีกเหตุผลหนึ่งนั่นคือ อ่านเขียนภาษาไทยไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ เลยไม่ได้สนใจไปสอบเอ็นทรานซ์เลยและถ้าหากไปสอบเอ็นทรานซ์จริงๆ เชื่อว่าคงจะสอบตกแน่นอน
*เสน่ห์ของการเรียนในเมืองไทยเมือเปรียบเทียบกับตอนเด็กที่เรียนในมาเก๊า
คนละแบบที่มาเก๊าจะเป็นโรงเรียนเล็กๆ ไม่ค่อยมีวัฒนธรรมที่ชัดเจนและตอนที่เรียนยังเด็กอยู่มากๆ ถ้าให้เปรียบเทียบต้องบอกว่า สำหรับเมืองไทยจะดูมีวัฒนธรรมมากกว่า เพื่อนเยอะ แต่ทั้งไทยและมาเก๊าก็เป็นเมืองในแถบเอเชียด้วยกันทั้งคู่ ความแตกต่างก็ไม่ได้มากมายเท่าไหร่นัก
*ตอนนี้รู้สึก 'อิน' กับอะไรมากที่สุด
การทำกิจกรรมทางโรงเรียน ได้ทำในสิ่งที่ชอบจริงๆ เลือกแล้วที่จะทำ Model United Nation เป็นการเปรียบเทียบการทำงานใน UN ที่จำลองตามความเป็นจริงหมด แต่ไม่ใช่ของจริงเท่านั้น โดยจะมีการวิเคราะห์ประเด็นปัญหาสำคัญๆ ที่เกิดขึ้นในโลกกลมๆ ใบนี้ ซึ่งส่วนตัวได้ดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยในแต่ละมีก็จะมีการจัดประชุมจากโรงเรียนทั่วโลกที่เข้าร่วม แล้วมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของประเด็นปัญหานั้นๆ แล้วหาข้อสรุปที่ชัดเจน และนอกจากนี้ ยังทำหน้าที่รองประธานนักเรียนควบคู่กันไปด้วย ซึ่งก็สนุกทั้ง 2 อย่าง
บางคนรู้ตัวว่าจะไปเรียนต่อเมืองนอกก็จะเลือกทำกิจกรรมที่ตรงกับสาขาและมหาวิทยาลัยที่ต้องการเรียน แต่ส่วนตัวแล้วคิดว่าเลือกทำอะไรที่ตัวเองชอบและเป็นสิ่งมีประโยชน์นั้นดีที่สุด
*คิดว่าการศึกษามีการแข่งขันไหม
เป็นไปได้นะ ทุกอย่างต้องมีการแข่งขัน การศึกษาก็ต้องมีการแข่งขัน เพราะที่นั่งที่ดีไม่ได้มีไว้สำหรับทุกคนทำให้ต้องเกิดการแย่งชิงกันขึ้น การแข่งขันนั้นถ้าเกิดแข่งขันกับคนรอบข้างไม่ว่าเราจะ แพ้หรือชนะนั้นก็ไม่ควรเสียใจหรือดีใจจนเกินไป เพราะแท้จริงนั้นอยู่ที่สิ่งสำคัญข้างใจจิตใจคือการแข่งขันและเอาชนะจิตใจของตนเองให้ได้ ถึงจะเรียกว่าผู้ชนะที่แท้จริง
*รู้สึกว่าตัวเองประหลาดกว่าเพื่อนๆ ในกลุ่มหรือเปล่า
ไม่ค่อยแตกต่างกันมากเท่าไหร่นัก เพื่อนๆ ในกลุ่มก็ค่อยข้างเรียนเก่งเหมือนกัน แต่จะเรียนกันคนละสาย แต่ละคนก็มีความฝันเป็นของตัวเองที่ชัดเจน บางคนก็ไปเรียนต่อเมืองนอก บางคนก็ต่อในเมืองไทย ธรรมศาสตร์ จุฬาฯ ก็มีบ้าง
*มองภาพรวมของคนรุ่นเดียวกัน
วัยรุ่นทุกวันนี้กำลังรู้จักวางอนาคตของตัวเองมากขึ้น ทุกคนต่างก็วิ่งเข้าหาในสิ่งที่ตนเองชอบ สิ่งที่เป็นความฝันของตัวเอง เรียกว่ามีความคิดเป็นตัวของตัวเองดีกว่า
*ความประทับใจคอนเสิร์ตเมืองไทยรายสัปดาห์
มีอยู่ครั้งหนึ่งเพิ่งผ่านมาไม่นานมานี้ได้มีโอกาสเป็นส่วนร่วมในคอนเสิร์ตเมืองไทยรายสัปดาห์ ไปเป็น Staff จำได้ว่าสนุกมาก ดีใจที่ได้มีส่วนร่วมกับงานยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ถึงแม้ใครจะมองว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่เป็นครั้งหนึ่งที่ให้ความรู้สึกประทับใจมากอย่างบอกไม่ถูก ได้เข้าไปช่วยงานทำตัวมีประโยชน์ ถือว่าช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระคนอื่นได้ก็ในครั้งนี้เอง
*เคยภูมิใจในความเก่งของตัวเองถึงขนาดไหน
เฉยๆ นะ (ยิ้มเขินๆ) ก็คือภูมิใจเหมือนกันแต่ก็เก็บไว้ไม่ได้เที่ยวไปบอกใคร มันคือความรู้สึกในใจลึกๆ มากกว่า พอดีใจมากๆ อาจจะมีบอกเพื่อนๆ บ้าง แต่หลังจากนั้นมาก็กลับมาสู่ความรู้สึกเดิมคือ เฉยๆ ไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรกับตัวเองมากมาย แค่แฮปปี้กับตัวเองก็พอแล้ว
*ทำอะไรเพื่อตอบโจทย์ความฝันของตัวเอง
กำลังตั้งใจทำทุกอย่าง โดยเฉพาะตั้งใจเรียน อ่านหนังสือ ทำกิจกรรมที่ชอบทุกอย่าง เพื่อให้ได้เรียนต่อในที่ที่อยากเรียน Wellesley College ใน Boston เป็นมหาวิทยาลัยที่คุณลุงอยากให้เลือก แต่ตอนนี้อยากเข้า Georgetown University ในกรุง Washington D.C. เพราะเป็นความฝันและความตั้งใจตั้งแต่แรก Georgetown University เป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงทางด้านที่สนใจอยากเรียนต่อ และในมหาวิทยาลัยนี้ยังมีหลาย College และที่เราสอบได้นั้นเป็น College ที่เข้ายากมากๆ นอกจากนี้ยัง เป็นมหาวิทยาลัยซึ่งประธานาธิบดี Bill Clinton เรียนจบออกมาด้วย และอีกอย่างการที่อยู่ใน D.C. นั้นมีทุกอย่างอยู่ที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นสถานที่สำคัญๆ อยู่ในเมืองนั้นหมด สถานทูต หรือนักข่าว นักหนังสือพิมพ์ก็อยู่ในเมืองนั้นเยอะมากๆ คืออีกใจหนึ่งก็ฝันอยากเป็นนักข่าวอยู่เหมือนกัน
*เชื่อไหมว่าความรู้ ความเก่ง และความเชื่อ สามารถฝึกฝนกันได้
เรื่องอย่างนี้ใครๆ ก็สามารถฝึกฝนกันได้ ตอนเด็กๆ จำได้ว่าคุณพ่อ คุณแม่ชอบให้อ่านหนังสือ ซึ่งตอนนั้นมันก็ไม่ใช่แบบเรียน หรือตำราอะไร เป็นหนังสืออ่านเล่นธรรมดาๆ แต่ปลูกฝังให้เรารักการอ่านและทำให้เราได้ภาษาติดตัวมา แต่ต้องขึ้นอยู่กับตัวบุคคลด้วย เพราะส่วนตัวเป็นคนอยากรู้อยากเห็นสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ ทำให้เกิดการเรียนรู้ได้ตลอดเวลา
*คิดว่าโชคชะตาหรือว่าแรงผลักดันจากตัวเองมีส่วนทำให้มายืนอยู่ตรงนี้มากกว่ากัน
โชคดีมากที่คุณลุงส่งเสียในเรื่องการเรียนมาโดยตลอด เพราะไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้จะไปยังไงมายังไงเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าใคร เพียงแต่โอกาสของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แนวทางชีวิตไม่เหมือนกัน อย่างซาโตมิถือว่าโชคดีที่ได้รับการอนุเคราะห์เลี้ยงดู ส่งเสียมาเป็นอย่างดีถึงแม้ไม่มีพ่อกับแม่แล้วก็ตาม ต้องขอบคุณอดีตที่ผ่านมาทำให้เราเป็นแบบนี้ บางคนอาจจะไม่ได้โชคดีต้องดิ้นรนอะไรกับชีวิตมากมาย แต่บางทีเขาอาจจะได้เห็นโลกอีกมุมหนึ่งที่เราไม่เคยได้พบมาก่อนเลยในชีวิตก็เป็นได้
เราต้องอยู่กับปัจจุบัน อนาคตมันจะดีจะร้ายก็อยู่ที่ว่าเราทำยังไงกับตอนนี้ เราต้องเปิดรับสิ่งที่เข้ามาในชีวิต แต่ไม่ใช่เปิดรับทุกอย่าง ต้องรู้ว่าตัวเองชอบและไม่ชอบอะไรจะได้เป็นไกด์ไลน์ให้แก่ตัวเอง แล้วพอโอกาสมาจะได้รู้ว่านั่นเป็นโอกาสที่ดีที่เราอยากทำ ทุกอย่างมันไม่แน่นอนเสมอไป
****************
เรื่อง : นาตยา บุบผามาศ