“...เศรษฐกิจพอเพียง ต้องทำให้พอเพียง ถ้าไม่พอเพียงไปไม่ได้ แต่ถ้าพอเพียงสามารถนำพาประเทศได้ดี ไปได้ดี...”
กระแสพระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทุกพื้นที่ในผืนแผ่นดินไทยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเหยียบย่างไปอย่างทั่วถึง แม้ว่าในบางพื้นที่จะเป็นแหล่งทุรกันดาร แต่หากมีพสกนิกรของพระองค์พำนักอาศัยอยู่ไม่ว่าจะห่างไกล หรือต้องเดินทางด้วยความยากลำบากเช่นไร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มิเคยทรงทอดทิ้งประชาชนของพระองค์
นับเป็นเวลาหลาย 10 ปี ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อพสกนิกรชาวไทยอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ด้วยทรงมีพระประสงค์ให้ประชาชนไทยยึดหลัก “พอเพียง” ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้
“ศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ” เป็นอีกหนึ่งในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2545 โดยความร่วมมือของสมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และมูลนิธิชัยพัฒนา
ปัญญา ปุลิเวคินทร์ หัวหน้าศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ ซึ่งเป็นผู้ลงแรง ลงใจบุกเบิกศูนย์แห่งนี้ เล่าให้ฟังว่า ศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ ตั้งอยู่ในพื้นที่บ้านท่าด่าน ต.หินตั้ง อ.เมือง จ.นครนายก เนื้อที่รวมทั้งสิ้น 14 ไร่
“ที่ดิน 14 ไร่ซึ่งเป็นที่ตั้งของศูนย์ภูมิรักษ์ฯ เป็นที่ดินของพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงใช้ทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ซื้อเอาไว้ ด้วยพระองค์เห็นว่า จ.นครนายกเป็นจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวเยอะ ประกอบกับมีการก่อสร้างเขื่อนขุนด่านปราการชล หรือเขื่อนคลองท่าดาน ซึ่งเป็นพระราชดำริของในหลวงอีกเช่นกันอยู่ใกล้กับที่ดินผืนนี้เพียง 200 เมตร พระองค์จึงทรงซื้อเอาไว้ โดยมีพระประสงค์ให้อนุรักษ์พื้นที่ดังกล่าวไว้ เพราะต่อไปในอนาคตพื้นที่รอบๆ เขื่อนขุนด่านฯ จะกลายเป็นรีสอร์ตเสียหมด”
สมาคมศิษย์เก่าวชิราวุธฯ จึงได้ขออนุญาตจากมูลนิธิชัยพัฒนา ใช้ที่ดิน 14 ไร่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จัดสร้างเป็นสถานที่รวบรวมข้อมูลแนวพระราชดำริและทฤษฎีการพัฒนาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งต่อมาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี องค์ประธานมูลนิธิชัยพัฒนา ทรงมีพระราชานุญาตพระราชทานตามที่เสนอ ในปี 2545 ซึ่งต่อมาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงพระราชทานชื่อโครงการดังกล่าวว่า “ศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ”
สำหรับพื้นที่ในศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ ทั้ง 14 ไร่ จัดแบ่งออกเป็น 3 ส่วนด้วยกัน ประกอบด้วย ส่วนที่เป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อแสดงแนวคิดและทฤษฎีการพัฒนาตนเองของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งอยู่ในอาคารจัดแสดงด้วยระบบแสง สี เสียง เกี่ยวกับแนวพระราชดำริและพระราชกรณียกิจต่างๆ ที่ในหลวงทรงบำเพ็ญตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา อาทิ การจัดการป่าต้นน้ำ การทำฝนหลวง หรือการบริหารชุมชนโดยยึดหลัก “บวร” เป็นต้น
“ก่อนจะเข้าไปภายในพิพิธภัณฑ์ ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์จะมีรูปหล่อของในหลวงขนาดเท่าพระองค์จริง ให้ทุกคนได้”มอง”พระองค์ท่าน เราต้องการให้ทุกคน 'มอง' ไม่ใช่แค่ 'เห็น' ทำไมพระองค์สวมรองพระบาทผ้าใบ ทำไมพระองค์ใช้ดินสอในการจดบันทึก ทำไมพระองค์จึงต้องสะพายกล้องตลอดเวลา และทำไมพระองค์จึงมีสมุดจดบันทึกอยู่ในมือตลอดเวลา พระจริยวัตรของพระองค์ สะท้อนแนวพระราชดำริของพระองค์ เราต้องการให้ทุกคนมองพระองค์เพื่อซึมซับอย่างเข้าใจ และนำไปปฏิบัติตาม” อ.ปัญญาอธิบาย
ส่วนที่ 2 เป็นการจัดนิทรรศการบริเวณใกล้เคียงกับอาคารพิพิธภัณฑ์ เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมศูนย์ฯ เข้าใจแนวพระราชดำริได้อย่างชัดเจน อาทิ การใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ การใช้หญ้าแฝกยึดหน้าดิน หรือแนวพระราชดำริ “แกล้งดิน” และ "แก้มลิง" รวมถึงการบำบัดน้ำเสียด้วยกังหันน้ำชัยพัฒนา หรือแม้แต่การกำจัดของเสียที่ออกจากร่างกายคน ก็ใช้แนวพระราชดำริในการจัดการ
“ภายในศูนย์ฯ เรานำเอาแนวพระราชดำริของพระองค์มาใช้ทั้งหมด ซึ่งเราสามารถใช้บริหารจัดการทรัพยากรต่างๆ อย่างได้ผลจริงๆ คิดดูแล้วกัน แม้แต่เรื่องขี้ เยี่ยว พวกเรายังต้องให้ในหลวงมาคิดแก้ปัญหาให้ ในหลวงคิดไว้ตั้งแต่ปี 2522 ช่วงนั้นคนขยายจากกรุงเทพมหานครไปอยู่ จ.นนทบุรีเยอะ ไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องขี้เยี่ยวกันได้ ในหลวงต้องไปคิดแก้ให้ เอามาหมักไว้ในถังปลอดเชื้อ 15 วันหมดกลิ่น 28 วันปลอดเชื้อ เอาไปใช้รดต้นไม้”
สำหรับส่วนที่ 3 เป็นแปลงสาธิตภายนอกอาคาร จำลองป่าและภูมิประเทศ 4 ภาค สอดแทรกแนวคิดในการพัฒนา “ดิน น้ำ ป่า”รวมถึงการจัดแสดงเกษตรทฤษฎีใหม่ และชีวิตที่พอเพียงตามแนววิถีไทย ซึ่งในส่วนนี้จะเน้นให้ผู้เข้าเยี่ยมชม ได้ “Play and Learn” ในจุดต่างๆ ไปพร้อมกับการบรรยายถึงแนวพระราชดำริเกษตรทฤษฎีใหม่ให้เข้าใจไปพร้อมๆ กัน
“ศูนย์ฯ แห่งนี้ มีจุดมุ่งหมายหลัก คือการสร้าง 'คน' เราจึงมีหลักสูตรที่รับจัดอบรมให้แก่ผู้ที่สนใจ โดยหลักสูตรของศูนย์ฯ จะให้แลกเปลี่ยนเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงแนวคิดของพระองค์ท่านให้เรียนรู้เกษตรกรรมธรรมชาติทำอย่างไร ให้พบกับคนที่ประสบความสำเร็จจากเศรษฐกิจพอเพียง จากทุกวงการ เพราะแนวคิดของพระองค์สามารถใช้ได้กับคนทุกวงการ บางคนพลิกกลับจากความล้มเหลวในระบอบทุนนิยม 360 องศา แล้วสามารถประสบความสำเร็จได้ เอาประสบการณ์มาถ่ายทอดให้ฟัง เพราะสิ่งที่ดีที่สุดที่จะให้คนนำไปใช้คือ การสร้างตัวอย่างของความสำเร็จ
"นอกจากนั้นเราจะฝึกให้พึ่งตนเอง อะไรที่เคยซื้อก็ให้ทำเอง และไม่ใช่ทำเองแบบผลิตภัณฑ์ธรรมชาติล้าสมัย แต่เราเอาภูมิปัญญาดั้งเดิมเติมด้วยวิทยาการสมัยใหม่ เช่น การทำน้ำยาล้างจาน ยาสระผม เราสู้ท้องตลาดได้ สุดท้ายคือ บันได 5 ขั้นสู่เศรษฐกิจพอเพียง"
ปัจจุบัน “ศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ” ดำเนินการไปเกือบ 100% โดยมีกำหนดส่งมอบศูนย์ฯ ให้แก่มูลนิธิชัยพัฒนาในเดือนเมษายนนี้ โดย อ.ปัญญา เปิดเผยว่า หลังการส่งมอบให้มูลนิธิชัยพัฒนา ในเบื้องต้นคงต้องขอสนับสนุนงบประมาณดำเนินการจากมูลนิธิฯ เป็นค่าจ้างบุคลากร และค่าบริหารจัดการระยะหนึ่งก่อน แต่หลังจากนั้น 1 ปี เชื่อว่าศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติจะสามารถสร้างรายได้เลี้ยงตัวเอง และนำเงินทูลเกล้าฯ ถวายคืนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ จากการจัดอบรมให้บุคคลต่างๆ และการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่เป็นผลผลิตของศูนย์ฯ เอง
“ผมต้องการให้ทุกคนเกิดความตระหนักและตื่นตัว เพราะทุกคนควรจะรู้ว่าอนาคตของโลกมันสั้นลง โลกมันร้อนเพราะมนุษย์มันผลาญทรัพยากรหมด พระองค์ทรงงานหนักขนาดนี้ เราจะนิ่งเฉยกันอยู่หรือ จะปล่อยให้พระองค์ทรงงานหนักอีกสักกี่ปี”
“...ทฤษฎีใหม่...ยืนยันว่าการทำเกษตรกรรมต้องยืดหยุ่น เหมือนชีวิตของคนเราทุกคนต้องมียืดหยุ่น...”
กระแสพระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
การก่อสร้างศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ ได้รับงบประมาณจากสมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธฯ โดยผู้ที่เข้ามาดูแลเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการดำเนินการนั้น “ปัญญา ปุลิเวคินทร์” คือผู้ที่มีส่วนผลักดันให้ศูนย์ฯ แห่งนี้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีชีวิต
ปัจจุบันคนทั่วไปรู้จัก อ.ปัญญา ในฐานะ “หัวหน้าศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ” แต่เจ้าตัวบอกว่า ไม่มีตำแหน่งใดต่อท้ายชื่อ เพราะขณะนี้ศูนย์ฯ ยังไม่ได้ส่งมอบให้แก่มูลนิธิชัยพัฒนา เขาจึงเป็นเพียงคนทำงานที่อยู่ในศูนย์เท่านั้น หลังการส่งมอบแล้ว จึงจะถือเป็นคนของมูลนิธิฯ
เมื่อถูกถามว่าเข้ามาทำงานที่ศูนย์ฯ แห่งนี้ได้อย่างไร อ.ปัญญาย้อนความหลังกลับไปด้วยรอยยิ้มให้ฟัง
“แต่ก่อนผมทำงานอยู่ที่ธนาคารแห่งหนึ่ง ตอนนั้นช่วงประมาณปี 2539 เริ่มรู้สึกอยากลาออกจากงาน เพราะว่าธนาคารผุดโครงการต่างๆ ให้เกษตรกรกู้มากมาย เรารู้สึกว่าทำแบบนี้เกษตรกรเจ๊งแน่ๆ เพราะธนาคารสนใจแต่จะปล่อยกู้ แต่ไม่ได้มองว่ามันทำลายชีวิตของเกษตรกรอย่างไร เกษตรกรก็ไม่คิด เขียนหนังสือไม่ได้แปะโป้งกู้ก็เอา เราไม่อยากจะทำงานตรงนั้น เริ่มเบื่อ และรู้สึกว่าเราโกหกประชาชน”
อ.ปัญญา บอกว่า แม้อยากจะลาออก แต่ก็คิดหนักเพราะด้วยอายุที่มากแล้ว หากลาออกจากงานการหางานใหม่คงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ระหว่างนั้น อ.ปัญญาได้ศึกษาแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง
“เหมือนคนจนตรอกไม่มีที่ไป อยากลาออกจากงานก็กลัว แต่ผมไปอ่านเจอพระราชดำรัสของในหลวงที่ตรัสว่า การที่เราจะทำงานกับชาวบ้านนั้น เราต้องคิดว่าชาวบ้านเป็นครูแล้วเราไปเรียนรู้จากชาวบ้าน ความคิดผมเลยเปลี่ยน อยากลงไปเรียนรู้กับชาวบ้านให้มากขึ้น จึงขอย้ายสายงาน ไม่เอาแล้วตำแหน่งผู้จัดการธนาคาร ขอไปทำงานในสายพัฒนาชนบท ส่งเสริมอาชีพชุมชน โดยผมศึกษาเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง และนำเอาไปเผยแพร่ให้ชาวบ้านได้เรียนรู้ ขณะเดียวกันผมก็สนุกกับการได้เรียนรู้จากชาวบ้านไปด้วย”
ที่สุดความอึดอัดในการทำงานอยู่ในธนาคารก็ถึงจุดสิ้นสุด ในปี 2546 เมื่อได้ทราบว่าสมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธฯ กำลังดำเนินการศูนย์ภูมิรักษ์ฯ โดย อ.ปัญญา สนใจจะมาร่วมทำงานด้วย จึงตัดสินใจยื่นใบลาออกจากงานประจำที่ทำอยู่
“ลาออกแล้วก็ยังมีเรื่องกังวลอีก เพราะผมไม่รู้จะบอกกับแม่อย่างไรดี ตอนนั้นผมมีเงินเดือน 5 หมื่นกว่า ส่งให้แม่ทุกเดือน เดือนละ 2 หมื่น โบนัสออกทีก็ให้แม่เป็นก้อนใหญ่ๆ ลาออกจากงานแล้วผมก็ยังส่งเงินให้แม่เหมือนเดิมอยู่หลายเดือน คิดหาทางที่จะบอกว่าเราลาออกจากงานแล้ว
"จนวันหนึ่งผมสบโอกาสจึงบอกกับแม่ ผมลาออกจากงานแล้วนะ แม่ฟังก็ยังเฉยๆ คงคิดว่าผมได้งานใหม่เงินเดือนเยอะกว่าเดิม ท่านก็ถามผมว่า แล้วหางานใหม่ได้หรือยัง ผมก็บอกแม่ไปว่า ได้แล้วแม่ แม่ก็ถามอีกว่า เงินเดือนเท่าไหร่ล่ะ พอผมบอกไม่มีเงินเดือน เท่านั้นแหละ แม่ด่าผมเป็นชุดเลย โตจนอายุ 50 กว่าแล้ว ทำอะไรไม่รู้จักคิด แก่ไปจะทำอย่างไร งานเก่าก็ดีอยู่แล้ว เรียกว่าทุกถ้อยคำถาโถมใส่ผมเป็นชุดๆ
"ผมลงไปกราบที่ตักแม่ บอกกับท่านว่า งานที่ผมไปทำ ผมทำถวายในหลวง ทำให้มูลนิธิชัยพัฒนา แม่หยุดว่าผมเลย...ท่านเงียบ แล้วก็ยกมือขึ้นมาลูบหัวผม บอกกับผมว่า แม่มีลูกชาย 4 คน ถ้าจะให้ลูกชายของแม่ไปทำงานช่วยพระองค์สักคน คงไม่เป็นไรหรอก”
นับจากวันนั้น อ.ปัญญา ทำงานทุกอย่างในศูนย์ฯ ทั้งลงแรงขุดดินถางหญ้า ปลูกต้นไม้ และเป็นวิทยากรกระพือแนวพระราชดำริให้แก่ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมศูนย์ฯ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ความรู้สึกหนึ่ง คือ “ศรัทธา” ของตนเองที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ส่วนอีกความรู้สึกหนึ่งที่ผลักดันให้มีกำลังใจทำงานอย่างเหลือเฟือ คือ “ศรัทธาของแม่” ที่มีต่อพระเจ้าอยู่หัว
ไม่เพียงเท่านั้น เนื่องจากงบประมาณของสมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธฯ ตั้งไว้สำหรับการก่อสร้าง แต่ไม่ได้ถูกจัดสรรไว้สำหรับการดำเนินงานที่ต้องว่าจ้างคนงานเข้ามาดูแลพื้นที่ นอกเหนือจากการก่อสร้าง อ.ปัญญา ก็เอาทุนทรัพย์ส่วนตัวมาจ่ายให้กับคนงานที่ทำงานอยู่ในศูนย์ฯ ด้วย
ปัจจุบันรายได้จากการจัดอบรมและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายในศูนย์ฯ สามารถหมุนเวียนนำมาจ่ายค่าแรงให้กับคนงานได้แล้ว แต่ในช่วงแรกของการก่อตั้งศูนย์ฯ เป็นเวลานับปีที่คนงานร่วม 10 ชีวิตที่เข้ามาทำงานเป็นประจำที่ศูนย์ฯ ไม่ได้รับค่าแรง แต่กลับไม่มีใครหนีหายไปไหน ยังคงเข้ามาทำงานตามปกติแม้ไม่มีผลตอบแทนก็ตามที
สำรวย เพิ่มสำราญ อายุ 47 ปี ซึ่งถือเป็นเซียนสมุนไพรประจำศูนย์ฯ เล่าให้ฟังว่า คนงานที่เข้ามาทำงานที่ศูนย์ฯ ล้วนเป็นคนในพื้นที่ แรกๆ เข้ามาได้รับค่าจ้างรายวันตามปกติ แต่ต่อมาไม่มีค่าจ้าง แต่ทุกคนก็ยังมาทำงาน ใครทำอะไรได้ก็ทำ ปลูกต้นไม้ ขุดดิน ถางหญ้า ทุกคนจะช่วยกันทำด้วยความเต็มใจ
“พวกเราที่มาทำงานที่ศูนย์ส่วนหนึ่งเพราะใจรัก ตอนนั้นเราก็คิดว่าทำให้พ่อจะเป็นไร ก็ที่นี่เป็นบ้านของพ่อ และเราเองก็อยากทำให้พ่อ คิดดูว่าโอกาสที่จะได้ทำงานถวายพระองค์แบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อมีโอกาสก็อยากจะทำอย่างเต็มที่ แล้วทำไปแล้วที่ดินตรงนี้ก็ยังอยู่ให้ลูกให้หลานรุ่นหลังได้เข้ามาศึกษา”
ส่วนเรื่องค่าตอบแทนที่ไม่มีในระหว่างนั้น สำรวย บอกว่า หากยึดตามแนวพระราชดำริในหลวง ก็ไม่เดือดร้อนอะไร พืช ผัก ผลไม้ที่ปลูกไว้ในศูนย์ฯ อ.ปัญญา อนุญาตให้คนงานเก็บเอาไปกิน เหลือแล้วเอาไปขายเอาเงินมาแบ่งกันได้ ขณะเดียวกันก็รวมกลุ่มกันซื้อผลไม้ในพื้นที่มาแปรรูป เช่น มะดันแช่อิ่ม มะม่วงแช่อิ่ม จำหน่ายในราคาย่อมเยาให้กับคนที่มาเยี่ยมชมที่ศูนย์ฯ เป็นรายได้พออยู่พอกิน
“ผมถือเป็นโอกาสในชีวิตผม ที่จะได้ทำงานให้พ่อ ในบ้านของพ่อ และถ้าในชีวิตผมได้เห็นพระองค์สักครั้งคงเป็นความรู้สึกต้องจดจำไปชั่วชีวิต”
ขณะที่ นเรศศักดิ์ เชื้อคนแข็ง หรือ “กิ” บัณฑิตจบใหม่จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งหลังการส่งมอบศูนย์ฯ เขาจะเป็นหนึ่งในพนักงานของมูลนิธิชัยพัฒนา เล่าว่า ในระหว่างฝึกปฏิบัติงานนอกพื้นที่ ตามหลักสูตรส่งเสริมการเกษตร ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้พบกับ อ.ปัญญา ต่อมา อ.ปัญญาชักชวนให้มาทำงานที่ศูนย์ฯ จึงตกลงใจมาทำงานทันที
“ผมยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า จะได้รับเงินเดือนเท่าไหร่ตอนตกลงมาทำงานที่ศูนย์ฯ แต่เป็นความใฝ่ฝันของผมที่อยากจะทำงานรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท ได้ทำงานอยู่ในที่ของพระองค์ก็เหมือนได้ใกล้ชิดกับพระองค์ วันนี้ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ทำงานในบริษัทใหญ่ เงินเดือนไม่สูง แต่ทุกคนในครอบครัวรู้สึกภูมิใจ และไม่เคยมีใครบ่นผมเลยที่เลือกมาทำงานกับมูลนิธิชัยพัฒนา”
***************
เรื่อง - คีตฌาณ์ ลอยเลิศ