xs
xsm
sm
md
lg

ทุนนิยมเพื่อคนชายขอบ ของผู้หญิงพูดเร็ว ‘สฤณี อาชวานันทกุล’

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ทุนนิยม’ (Capitalism) ‘เสรีนิยม’ (Liberalism) มันเป็นอะไรที่...แบบว่า...เออ... ถูกตำหนิติติง ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าทุกวันนี้เราจะดำรงชีวิตอยู่ในระบบทุนนิยม ไม่ว่าจะโดยเต็มใจหรือจำยอมก็ตามแต่

ไม่มีใครรู้ว่าทุนนิยมกับ ‘คนชายขอบ’ ถูกทำให้รู้สึกว่ายืนกันคนละฝั่งตั้งแต่เมื่อไร แต่เมื่อพอจะจำความได้ก็มักพบว่าคนชายขอบคือคนที่ถูกทุนนิยมรังแก ผลักไส ถีบส่ง จนกระเด็นกระดอนไปอยู่ชายขอบที่ห่างไกลจากโอกาส อำนาจ ทรัพยากร ฯลฯ ดังนั้น ยิ่งถ้าเป็นฝ่ายที่ตั้งป้อมไว้แล้วว่าจะไม่มีวันสมาทานกับทุนนิยมโดยเด็ดขาดย่อมไม่มีวันเชื่อว่า ทุนนิยมจะเป็นไปเพื่อคนชายขอบได้

แต่มีผู้หญิงคนหนึ่ง ตอนนี้เธออายุ 33 อาชีพของเธอที่ผ่านมาวนเวียนอยู่กับเงินๆ ทองๆ จบปริญญาโทด้านการเงินจากอเมริกา เป็นลูกสาวของ จันทรา อาชวานันทกุล อดีตกรรมการผู้จัดการ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด (มหาชน) ก่อนที่จะเป็นธนาคารทิสโก้ ปัจจุบันเธอทำงานเกี่ยวกับการให้คำปรึกษาด้านการเงินในตำแหน่งกรรมการบริหารของบริษัทแห่งหนึ่ง เธอประกาศตัวว่าเธอเชื่อมั่นในระบบทุนนิยม ระบบตลาด เธอเชื่อว่ามันเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพที่สุดเท่าที่มนุษย์จะคิดค้นได้ ณ ขณะนี้ แถมเธอยังบอกด้วยว่า ‘ทุนนิยมเพื่อคนชายขอบ’ ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันหรือเป็นไปไม่ได้

คำถามก็คือเราเข้าใจทุนนิยมดีแค่ไหน?

-1-

ในร้านกาแฟอย่างหรู (โดยตัวมันเองน่าจะเป็นสัญลักษณ์ของทุนนิยมอย่างหนึ่ง) เธอนัดพูดคุยกับเราที่นั่น ก่อนที่จะได้พูดคุยอะไรกันเธอออกตัวว่าเธอเป็นคนพูดเร็ว ซึ่งก็เร็วจริงๆ เสียด้วย

สำหรับคอหนังสือ คออินเทอร์เน็ต และผู้หลงใหลเว็บบล็อก เชื่อว่าชื่อ สฤณี อาชวานันทกุล น่าจะเป็นชื่อที่คุ้นหู คุ้นตา โดยเฉพาะในโลกหนังสือเธอมีผลงานออกมาแล้วถึง 5 เล่ม 3 ใน 5 เล่มมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเรื่องราวในโลกทุนนิยม

บางคนสงสัยว่าเธอเข้าสู่วงการได้อย่างไร?

“ตอนที่เปิดบล็อกก็พยายามหาคนไทยที่เปิดบล็อก บังเอิญไปเจออาจารย์ปกป้อง จันทร์วิทย์โดยไม่รู้มาก่อนว่าคืออาจารย์ปกป้อง แลกลิงค์กัน กระทั่งมีงานแสดงรูปถ่ายโอเพ่น ตอนนั้นเราเขียนกลอนเสียดสีกรุงเทพฯ ยาวมาก 100 บท ตั้งใจจะเอางานไปเสนอพี่โย (ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา-บรรณาธิการโอเพ่น) คุยไปคุยมา เหมือนพี่โยกำลังหาคนแปลงานอยู่ พี่โยก็เอาคำปราศรัยของมาห์น โมฮาน ซิงค์ นายรัฐมนตรีอินเดียให้แปล แล้วเรื่องนั้นก็ไปอยู่โอเพ่น ดราก้อน หลังจากนั้นไม่นานปกป้องชวนไปเขียนในโอเพ่นออนไลน์ถึงได้รู้จักตัวเขา”

หลังจากนั้นเธอก็เขียนคอลัมน์ ‘คนชายขอบ’ ประจำอยู่เว็บไซต์ออนโอเพ่นเรื่อยมา ไม่ใช่เท่านั้นเธอยังมีพลังงานเหลือเฟือยิงงานเขียนปรากฏสู่สาธารณะเป็นระยะๆ โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความรู้และอาชีพของเธอ พอจะกล่าวได้ว่าเธอถากถางพื้นที่ในโลกหนังสือได้เร็วไม่น้อย ความน่าจะเป็นของการสร้างพื้นที่อย่างรวดเร็ว เธออธิบายว่า

“ตอนแรกตั้งใจเปิดบล็อกไว้ฝึกเขียน แต่เมื่อมีปัญหาการเมือง มีการต้านทักษิณ เราก็รู้สึกว่ามีหลายประเด็นที่เกี่ยวกับการเงิน เกี่ยวกับธุรกิจที่อยากพูดถึง คือในเมืองไทยคนที่เขียนหนังสือแนวธุรกิจในฐานะที่เป็นคนวงในจริงๆ มีน้อยมาก และเรากำลังพูดถึงเรื่องการเงินกับธุรกิจเพราะเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน จึงรู้สึกว่าควรจะเขียนเรื่องพวกนี้ลงบล็อก หนึ่งคือเราค่อนข้างเก็บกดในแง่ที่ว่าเวลาอ่านหนังสือพิมพ์ก็มีแต่ประเด็นที่ออกมาจากนักการเมือง หรือไม่ก็นักวิชาการ ขณะที่นักธุรกิจที่อยู่ในวงการที่ควรพูดกลับไม่พูด อาจเพราะเขียนไม่เก่งหรือเสี่ยง ไม่ค่อยออกมาแสดงจุดยืน ต้องคอยดูว่าลมจะพัดทางไหน และอาจจะเพราะว่าแวดวงที่เราอยู่ไม่ค่อยมีคนเขียนหนังสือเยอะ ส่วนใหญ่จะมีแค่ 2 ประเภทคือเอาข่าวมาตัดแปะเป็นชีวประวัติของนักธุรกิจ และอีกประเภทคือฮาวทู เช่น เล่นหุ้นยังไงให้รวยสิบล้าน แต่ไม่ได้พยายามเสนอเรื่องที่คนยังไม่รู้ ยังไม่มีใครจับประเด็นเหล่านี้มาเขียนเท่าที่ควร”

-2-

ทีนี้ก็มาถึงเรื่องทุนนิยมเพื่อคนชายขอบว่าเราจะทำอย่างไรเพื่อให้ทุนนิยมกับคนชายขอบเป็นเพื่อนรัก แทนที่จะเป็นศัตรูกันอย่างทุกวันนี้

เธอจิบกาแฟในถ้วยสีขาวและเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจว่า ทุนนิยมโดยตัวมันเองไม่ใช่สิ่งเลวร้าย คนที่ค้นพบนิวเคลียร์ ฟิวชั่น ที่ใช้ผลิตระเบิดปรมาณูไม่ใช่คนเลว จึงต้องแยกกันระหว่างระบบกับคนที่นำระบบไปใช้ และยกตัวอย่างเปรียบเทียบเรื่องระบบจราจร

“เรื่องจราจร มันเกิดจากการที่คนขับรถไปมา แต่ถามว่าแล้วมันทำให้รถติดตรงไหนบ้าง เราไม่สามารถจะเดาได้เป๊ะๆ ว่าจะติดที่ไหนบ้าง เรารู้แค่ว่ามันเกิดจากคนที่ขับรถไปมา ถ้าเราออกแบบไฟเขียว ไฟแดงให้ดี มันก็น่าจะช่วยให้ระบบจราจรขับเคลื่อนไปในทิศทางที่เราต้องการ

“ทุนนิยมโดยตัวมันเองก็คือระบบ ฉะนั้น ปัญหาจริงๆ ของทุนนิยมไม่ใช่ปัญหาเพราะระบบตลาดตอนนี้เป็นระบบที่มีประสิทธิภาพที่สุดเท่าที่เราจะคิดออก เพราะเกิดจากการที่คนซื้อ คนขาย สมัครใจแลกเปลี่ยนกัน ไม่มีอะไรมากกว่านั้น แต่ปัญหาเกิดจากการที่มีคนบางกลุ่มที่มีอำนาจมากกว่าคนอื่นที่เป็นคนออกแบบระบบไฟเขียว ไฟแดง จนทำให้รถทั้งหมดไปติดที่หน้าบ้านคนอื่น แต่หน้าบ้านตัวเองรถไม่ติด เรื่องนี้จึงเป็นเหมือนปัญหาเรื่องของสถาบันการเมืองด้วย มีคนพยายามดึง ชักใยให้ระบบไปในทางที่พวกเขาต้องการและคนอื่นไม่ได้ประโยชน์”

*ปัญหาของเมืองไทยเป็นเพราะระบบไม่ดี?

สมมติมีคนในสังคมนี้ 10 คน ถ้าเป็นระบบคอมมิวนิสต์อาจจะสร้างรายได้ได้ 100 บาท เราบอกว่าเราเน้นความเป็นธรรม ทุกคนได้ไปคนละ 10 บาท แต่ทุนนิยมอาจทำให้คน 10 นี้สร้างรายได้ได้พันบาท ปัญหาก็คือว่าที่สร้างได้พันบาทอาจจะไม่ได้สร้างขึ้นมาจากคน 10 เท่าๆ กัน อาจจะเกิดจากคนที่ขยันมาก ทำงานแทบตายแค่ 2 คน ทำได้ 900 บาท ส่วนที่เหลือ 8 คนทำได้ 100 บาท ทำแบบเช้าชามเย็นชาม คน 2 คนนั้นควรจะเก็บ 900 บาทไว้ ในแง่หนึ่งก็เป็นสิทธิของเขาเพราะเขาเป็นคนหามาได้ แต่ในโลกของความเป็นจริงมีคนจำนวนมากแทนที่จะทำงานด้วยความสุจริตแต่กลับตุกติก ถ้าเงิน 900 บาทเกิดขึ้นในสังคมจากคน 2 คนมันไม่ได้เกิดจากความสุจริต แต่อาจเกิดจากการขูดรีดอีก 8 คนที่เหลือ หรือไปตกแต่งตัวเลข

ปัญหาคือเราจะแยกแยะได้ยังไงระหว่างระบบที่ 2 คนนี้สุจริต กับระบบที่ 2 คนนี้โกงชาวบ้าน ขูดรีด เอาเปรียบ ดังนั้น ในประเทศที่เราเชื่อว่าเขาเก่งกว่าเราก็แปลว่าเขามีโครงสร้าง มีกฎหมาย มีกลไกที่จะแยกได้ แต่ตอนนี้เหมือนกับในเมืองไทยยังแยกไม่ค่อยออก ยกตัวอย่างกฎหมายหลักทรัพย์ เราก็มีบทลงโทษเรื่องปั่นหุ้น แต่ถามว่าใช้บังคับได้ผลมั้ย ก็ต้องตอบว่าไม่ เพราะในตลาดหุ้นตอนนี้ลองไปถามนักเล่นหุ้น เขาจะรู้เลยว่าหุ้นตัวไหนจะปั่นวันไหน เจ้ามือรายใหญ่ที่เคยตกเป็นข่าวก็ยังไม่เกิดอะไรขึ้นกับเขา ซึ่งถ้าไปดูในประเทศใกล้เคียงอย่างมาเลเซีย เกาหลีใต้ หรือไต้หวันที่ภาคประชาชนและกฎหมายเข้มแข็งมาก คนโกงเข้าคุกจริงๆ

มันเป็นปัญหาของตัวระบบด้วย หมายถึงตัวกลไกต่างๆ ที่จะต้องออกแบบให้ถูกต้อง พูดง่ายๆ เพื่อลงโทษคนชั่ว ให้รางวัลคนดี เป็นหลักเศรษฐศาสตร์พื้นฐานเลยที่เชื่อว่าทุกคนทำอะไรด้วยแรงจูงใจเป็นหลัก ฉะนั้น ถ้าคุณออกแบบระบบมาไม่ดีก็เหมือนกับไม่มีแรงจูงใจให้คนทำดี พูดง่ายๆ คือต้นทุนของการทำชั่วมันต่ำมาก ทำไมเมืองไทยปั่นหุ้นเพราะพอปั่นเสร็จก็ไม่คิดว่าจะถูกจับหรือถ้าถูกจับก็ปรับแค่แสนเดียว นี่เป็นเรื่องสมมตินะ ถ้ารู้สึกกันอย่างนี้ ต้นทุนในการทำผิดมันต่ำมากคนก็จะมีแรงจูงใจที่จะทำเยอะ

ใช่ว่าปัญหาทุกอย่างจะมีทางแก้อยู่ที่คน เธอบอกว่าคนกับระบบหรือกลไกต้องไปด้วยกัน ที่จะจับเด็กมานั่งสอนศาสนา คุณธรรม จริยธรรมตั้งแต่เด็ก ด้วยหวังว่าจะเติบโตขึ้นมาเป็นคนดีก็ดูจะเป็นอะไรที่อุดมคติเกินไป

ดังนั้น เธอจึงไม่เชื่อในเรื่อง ‘ราชาปราชญ์’ (Philosophy King) ตามแนวคิดของเพลโตที่บอกว่าผู้ปกครองที่ดีจะต้องเป็นนักปราชญ์ และเมื่อมีผู้ปกครองที่ดีทุกอย่างก็จะดีตามไปด้วย แต่เธอเชื่อประชาชนควรจะทำอะไรด้วยตัวเอง เธอเชื่อในเรื่องประชาธิปไตยทางตรงที่ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในทุกๆ ด้าน

-3-

เมื่อครั้งที่กำแพงเบอร์ลินพังทลายและสหภาพโซเวียตล่มสลาย นางสิงห์-มาร์กาเร็ต แธ็ทเชอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษในยุคนั้นที่ฝักใฝ่ในแนวทางเสรีนิยมสุดขั้ว ถึงกับบอกว่า ‘เราไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว’ แธ็ตเชอร์กำลังบอกว่าทุนนิยมและเสรีนิยมคือระบบเศรษฐกิจเดียวสำหรับมนุษยชาติ

สำหรับเธอ-สฤณี เธอไม่ได้เห็นด้วยกับสิ่งที่แธ็ตเชอร์พูดไปซะทุกอย่าง เธอมองว่าในระบบทุนนิยมเองก็มีหลากหลายรูปแบบ และเราต้องรู้จักปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของสังคมไทย

“เวลาเราพูดคำว่าทุนนิยมมันไม่ได้มีแค่ความหมายเดียว แต่ความหมายหลักก็ต้องมีระบบตลาดเป็นหัวใจใช่มั้ย แต่ว่านอกเหนือจากความหมายหลักที่ว่ามันก็ต่างกันไปได้เยอะแยะ เช่น เรื่องสาธารณูปโภคพื้นฐาน ในบางประเทศเขาก็บอกว่ารัฐต้องเป็นคนทำ ถ้าสมัยแธตเชอร์ก็บอกว่าให้เอกชนทำน่ะดีแล้ว เพราะรัฐไม่มีทางทำอะไรได้เท่ากับเอกชน ทุกอย่างแปรรูปหมด จริงๆ แล้วทุนนิยมก็แยกกับการเมืองยากเหมือนกันนะ อย่างนโยบายภาษีมันก็เชื่อมโยงกับการเมือง แนวคิดของสแกนดิเนเวีย ทุนนิยมสวัสดิการก็เป็นโมเดลที่ค่อนข้างดี เป็นโมเดลที่เป็นทางสายกลางระหว่างทุนนิยมแบบอเมริกากับคอมมิวนิสต์

“ส่วนตัวจึงชอบโมเดลของสแกนดิเนเวียมากกว่า เพราะคนที่เป็นเสรีนิยมสุดขั้วเขาจะบอกว่ารัฐไม่ต้องทำอะไรมาก รัฐอุ้ยอ้าย เชื่องช้า และเชื่อว่าผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นในระบบจะค่อยๆ ไหลมาสู่คนอื่นๆ เอง ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์หลายคนก็ค้าน เพราะมันจะไหลลงหรือไม่ มันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ก็เลยชอบอ่านแนวคิดของเศรษฐศาสตร์กระแสรอง เพราะว่าค่อนข้างเน้นเรื่องสถาบันการเมือง โครงสร้างองค์กรมากกว่าเศรษฐศาสตร์กระแสหลักที่มักมองไม่เห็นว่าสถาบันพวกนี้มันมีอำนาจและทำอะไรได้บ้าง ถ้าพูดถึงประเทศไทยยิ่งต้องดูเรื่องสถาบันการเมือง อย่างเมืองไทยมีคนจน 10 ล้านคน ถามว่าเรารู้ได้ยังไงว่าชีวิตคนเหล่านั้นจะดีขึ้นถ้าเราดำเนินรอยตามนโยบายแบบอังกฤษ ทุนนิยม เสรีนิยมสุดขั้วที่รัฐไม่ทำอะไรเลย มันไม่มีทางที่จะช่วยผู้ที่ด้อยโอกาสได้จริงๆ ค่อนข้างเชื่อรัฐสวัสดิการจึงได้บอกว่าเราไม่ควรปล่อยให้ทุนนิยมทำงานโดยตัวของมันเอง“

*เศรษฐศาสตร์กระแสหลักมองว่ามนุษย์ทำอะไรลงไปด้วยแรงจูงใจ แต่ก็มีการถกเถียงกันว่าเป็นการตีขรุมและหยาบคายเกินไป ถ้าจะบอกว่ามนุษย์ทำทุกอย่างด้วยแรงจูงใจ

คนอาจจะคิดว่าคำว่า แรงจูงใจ คือเรื่องเงิน เรื่องผลประโยชน์ แต่จริงๆ มันคืออะไรก็ได้ที่กระตุ้นเราให้ทำ ถ้าเป็นคนที่ปฏิบัติธรรม ให้ทานคนจน สอนหนังสือคนที่ด้อยโอกาสเพราะอยากให้คนอื่นมีความสุขนั่นก็คือแรงจูงใจของเรา คนที่ทำธุรกิจเพื่อสังคมเขาอาจคิดว่านั่นคือทางเดียวที่ทำให้เขามีความสุขในชีวิต ถ้าเขาไปทำอย่างอื่นเขาจะไม่มีความสุขนั่นก็คือแรงจูงใจของเขา มันไม่ได้มีอะไรที่ขัดกับหลักเศรษฐศาสตร์ ปัญหาคือที่ผ่านมาคำว่าแรงจูงใจในเศรษฐศาสตร์กระแสหลักจะไม่ค่อยคำนึงถึงมิติอื่นที่ไม่ใช่เงิน

ในแง่ของทรัพยากรและความรู้ที่เรามีตอนนี้สามารถสร้างแรงจูงใจในทางที่ดีได้เยอะมาก เช่น เรามีกรีนเทคโนโลยีซึ่งเมื่อก่อนแพงมาก แต่เดี๋ยวนี้กรีนเทคโนโลยีบางอย่างกลับประหยัดกว่า ฉะนั้น นักธุรกิจที่เห็นแก่ตัวมากๆ ก็ไม่มีข้ออ้างอีกแล้ว ในมิติที่หยาบที่สุด คนทีเห็นแก่ตัวที่สุดมันก็ยังมีอะไรเป็นตัวช่วย มันอยู่ที่ว่าสังคมและรัฐบาลจะมองเห็นและหยิบมาใช้หรือไม่

ถ้าทุนนิยมคือระบบที่มีประสิทธิภาพ แล้วทำไมความเป็นจริงที่เกิดขึ้นจึงดูสวนทางกับความมีประสิทธิภาพ ทำไมคนชายขอบจึงแทบไม่เคยได้ประโยชน์โภชผลจากทุนนิยม เธอตอบกลับทันทีว่าสิ่งที่ทำให้ทุนนิยมไทยไม่เคยใช้งานได้จริง นั่นเป็นเพราะทุนนิยมของไทยที่ผ่านมาเป็นทุนนิยมผูกขาด ซึ่งนักวิชาการเรียกว่าทุนนิยมสามานย์

“ถ้าจะพูดให้รวบรัดประเทศเรามันเป็นทุนนิยมผูกขาดมาตลอด ไม่เคยเป็นทุนนิยมที่มีการแข่งขัน เอาล่ะ มันมีการแข่งขันบ้างแต่เป็นการแข่งขันภายใต้กฎที่นักการเมืองเป็นคนวาง ธุรกิจอะไรที่นักการเมืองทำและไม่อยากให้ใครมาแข่ง เขาก็จะตั้งกฎเกณฑ์กีดกันไม่ให้คนมาแข่ง”

-4-

เธอดื่มกาแฟ เราดื่มชา เมื่อเวลาเดินหน้าไม่รีรอใคร ชาและกาแฟพร่องหายจึงไปตามแรงเหวี่ยงของเวลา บทสนทนาเดินทางถึงช่วงสุดท้าย

นอกจากกลไกที่ดีแล้ว สิ่งสำคัญอีกประการที่จะทำให้ทุนนิยมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพก็คือ หัวใจ อันหมายถึงจิตสำนึกของมนุษย์ที่มีต่อเพื่อนร่วมโลก

“จริงที่ว่าทุนนิยมทำให้คนเป็นปัจเจกมากขึ้น แต่มันไม่ใช่เรื่องเลวในตัวมันเอง การเป็นปัจเจกมากขึ้นแปลว่าคุณมีอำนาจมากขึ้นในการต่อรอง ในการเลือกใช้ชีวิต ทำให้คุณมีอำนาจมากขึ้นในการแสวงหาความสุข จึงต้องกลับไปเรื่องจิตสำนึกไง คือถ้าเชื่อในเรื่องทุนนิยมโดดๆ ไม่ต้องสนใจศาสนา หน้าที่บทบาทของรัฐ ถ้าคิดอย่างนั้นมันอยู่ไม่ได้ มันจะได้ในแง่ที่ว่าคุณก็จะมีความสุขไปเรื่อยๆ จนตาย แต่ว่าคนด้อยโอกาสที่เหลืออีก 8 คนก็ตายไป นี่จึงเป็นปัญหาหนึ่งของระบบ”

ของเหลวในแก้วหายไปหมด เธอสรุปไว้อย่างน่าฟังถึงการแสวงหาความสุข

“ความสุขที่คิดถึงแต่ตัวเองฝ่ายเดียวไม่ใช่ความสุข ความสุขที่ยั่งยืน ไม่ฉาบฉวยจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อเราคิดถึงคนอื่น ทุนนิยมสร้างกิเลสให้เรามากขึ้น แต่ไม่จำเป็นที่เราจะต้องไปตามกิเลสนั้นตลอด เราอาจใช้ชีวิตยากขึ้น ทำให้เราต้องมีสติมากขึ้นในการใช้ชีวิต แต่นั่นก็คงไม่ใช่เหตุผลให้เราบอกว่าต้องเลิกระบบทุนนิยมแล้วกลับไปหาระบบอื่น ทำไมเราไม่ทำในสิ่งที่ยาก ขณะที่เราเอาแต่โทษระบบ ระดับหนึ่งเราก็ต้องมองตัวเราเองด้วยว่าเราไม่มีทางดูแลตัวเองขนาดนั้นเลยเหรอ”

อันที่จริงทุนนิยมเพื่อคนชายขอบอาจเป็นจั่วหัวที่ไม่ถูกต้องนักในแง่ที่ว่า การจะบรรลุเป้าหมายใดอาจไม่ได้อยู่เครื่องไม้เครื่องมือ หากแต่อยู่ที่ว่าผู้ใช้เข้าใจสิ่งที่อยู่ในมือมากแค่ไหน
สฤณีพูดช้าๆ ว่า “ทุนนิยมเป็นไปเพื่อคนชายขอบได้ถ้ามีกลไกที่เหมาะสม”

*************************
เรื่อง – กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล




กำลังโหลดความคิดเห็น