xs
xsm
sm
md
lg

ที่พักเก๋สไตล์บูติกกลางกรุง (เก่า)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ท่ามกลางความอึกทึกของกรุงเทพฯ ที่ขยายตัวและวุ่นวายไม่แพ้เมืองใหญ่อื่นๆ ในโลกอย่างโตเกียว, นิวยอร์ก ฯลฯ โรงแรมหรูขนาดใหญ่มากมายผุดขึ้นเพื่อรองรับธุรกิจท่องเที่ยวที่เติบโตขึ้นทุกปี ยังมีที่พักแนวใหม่ที่กำลังเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติที่ต้องการสัมผัสบรรยากาศอันมีเอกลักษณ์และบริการที่โรงแรมใหญ่ๆ ให้ไม่ได้ เราเรียกที่พักประเภทนี้ว่า ‘บูติกโฮเต็ล’ ปัจจุบันนี้โรงแรมแสนเก๋สไตล์บูติกนี้เริ่มเป็นที่นิยมในหมู่ชาวไทยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ‘ผู้จัดการปริทรรศน์’ จะพาไปรู้จัก 4 ที่พักเก๋สไตล์บูติกที่ซุกซ่อนตัวอยู่ในย่านใจกลางกรุงเก่าและพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์

‘ดิ โอลด์ บางกอก อินน์’ มนต์เสน่ห์กรุงเก่าบนถนนพระสุเมรุ

ห่างจากถนนข้าวสารมาไม่ไกล บนถนนพระสุเมรุอันเงียบสงบ เป็นที่ตั้งของที่พักสไตล์บูติกซึ่งผสมผสานระหว่างมนต์เสน่ห์ของกรุงเทพฯ ในวันวาน กับความเจริญสมัยใหม่ ด้วยทำเลที่ตั้งที่สะดวกในเขตเกาะรัตนโกสินทร์ ทำให้ ‘ดิ โอลด์ บางกอก อินน์’ อยู่ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ทางประวัติศาสตร์ของกรุงเทพฯ ด้วย

ที่พักแห่งนี้ ดำเนินกิจการและบริหารงานโดยครอบครัว ‘ตุลยานนท์’ ในพื้นที่อันเคยเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ในอดีตตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งทรงพระราชทานให้อยู่ในความดูแลของตระกูลนี้มากว่า 7 ชั่วอายุคนแล้ว อาคารเก่าดังกล่าวครั้งหนึ่งเคยทรุดโทรมและถูกทอดทิ้ง จนกระทั่งถูกปรับปรุงซ่อมแซมให้คืนชีวิตชีวาใหม่อีกครั้งในปี 2004 และประตูของ ‘ดิ โอลด์ บางกอก อินน์’ ก็ได้เปิดต้อนรับแขกที่มาพักอย่างเป็นทางการนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมในปีถัดมา

นันทิยา ตุลยานนท์ เจ้าของโรงแรม ‘ดิ โอลด์ บางกอก อินน์’ บอกเล่าว่าในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีใครในครอบครัวของเธอที่เคยทำธุรกิจโรงแรมมาก่อน แรงบันดาลใจในการทำที่พักแห่งนี้ เริ่มต้นจากการเดินทางท่องเที่ยวของเธอและครอบครัวในอดีต รวมทั้งการใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศทั้งในซิดนีย์ ออสเตรเลีย และกรุงบรัสเซลส์ ในเบลเยี่ยม นันทิยาพบว่าที่พักในโรงแรมเชนขนาดใหญ่หลายแห่งนั้นส่วนใหญ่คล้ายคลึงกันไปหมด จนขาดเอกลักษณ์ และบุคลิกเป็นของตนเอง จึงนำความประทับใจในเสน่ห์และความสวยงามของที่พักประเภท bed and breakfast ในแคว้นนอร์มังดีของฝรั่งเศสและนิว อิงก์แลนด์ที่เธอรักมาก มาปรับใช้เป็นแนวคิดในการทำที่พักแห่งนี้

หลังเกษียณจากงานประจำในปี 2004 ทีแรก นันทิยาและครอบครัววางแผนว่าจะสร้างเป็นโรงแรมขนาดเพียงสองห้องเล็กๆ แต่อบอุ่นเป็นกันเอง จนกระทั่งขยายเป็นโรงแรมที่เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันจำนวนทั้งหมด 10 ห้องนอนในปัจจุบัน แต่ละห้องตกแต่งด้วยไม้สักทองและมีบรรยากาศเป็นของตัวเองตามชื่อห้องและการตกแต่งตามธีมของดอกไม้ไทย อาทิ ห้องมะลิ, กล้วยไม้ เป็นต้น แถมบางห้องนั้นยังประดับตกแต่งด้วยเครื่องเคลือบฝีมือการระบายสีของเจ้าของโรงแรมเองอีกด้วย

เอกลักษณ์ที่โดดเด่นของที่นี่อีกอย่างหนึ่งคือ ปรัชญาในการทำที่พักสีเขียว หรือ A Green Hotel แขกที่มาพักที่นี่ทุกคนห้ามสูบบุหรี่โดยเด็ดขาด นอกจากนี้ทาง ‘ดิ โอลด์ บางกอก อินน์’ ยังยึดหลัก ‘3R’ เพื่อช่วยลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมภายในชุมชน ได้แก่ Reducing, Reusing และ Recycling ทางโรงแรมใช้สุขภัณฑ์ที่ช่วยประหยัดและลดการใช้น้ำ รวมทั้งออกแบบห้องพักให้ประหยัดไฟโดยเปิดรับแสงธรรมชาติให้มากที่สุด และมีระบบเซ็นเซอร์ตัดไฟอัตโนมัติเมื่อแขกออกจากห้องพักไปแล้ว รวมทั้งใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการทำน้ำอุ่นซึ่งช่วยประหยัดพลังงานไปกว่า 25% อีกด้วย

จึงไม่น่าแปลกใจ เมื่อสนนราคาห้องพักที่นี่สูงถึงคืนละ 3,000-7,000 บาท แต่ก็ยังมีแขกหลายคนยอมยกเลิกห้องพักโรงแรมหรู เพื่อมาพักที่นี่แทน เมื่อปีที่แล้วนิตยสาร TIME มีบทความเขียนถึงที่พักอันอบอุ่นเหมือนบ้านในเมืองไทยแห่งนี้ ขณะที่นิตยสารท่องเที่ยว Conde Nast Traveler ก็จัดอันดับให้ ‘ดิ โอลด์ บางกอก อินน์’ เป็นหนึ่งใน Hot List Hotels 2006

‘พระนครนอนเล่น’ อบอุ่นเหมือนอยู่บ้านย่านเทเวศร์

ที่พักแห่งนี้เป็นของอดีตนักแสดงสาว ‘โรส-วริศรา มหากายี’ ที่ดัดแปลงโรงแรมเก่าอายุกว่า 30 ปีซึ่งถูกทิ้งร้างให้พลิกฟื้นคืนกลับมาเป็นโรงแรมน่ารักท่ามกลางสวนสวย ในบรรยากาศอบอุ่นเหมือนอยู่บ้านไทยสมัยเก่า ทันทีที่ก้าวเท้าผ่านประตูรั้วและซุ้มดอกไม้เข้ามา บรรยากาศแห่งความพลุกพล่านในย่านซอยเทเวศร์ 1 ก็ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง

โรสบอกเล่าที่มาของที่พักชื่อน่ารักอย่าง ‘พระนครนอนเล่น’ ว่า ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจทำเป็นโรงแรม แต่คุณแม่สามีของเธอเซ้งตึกนี้มาเพื่อทำธุรกิจหอพัก ทว่า พอตกแต่งเสร็จแล้ว เมื่อมาคำนวณดูค่าใช้จ่ายที่ลงทุนไปดูก็พบว่าถ้าทำเป็นหอพักจะไม่คุ้มต้นทุน จึงเปลี่ยนมาทำโรงแรมแทน

“โชคดีที่ตอนที่เราออกแบบทำหอพัก เราตั้งใจที่จะให้แต่ละห้องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอยู่แล้ว มีความเป็นไทยเหมือนบ้านในต่างจังหวัด เพราะว่าการที่เราออกแบบเป็นหอพักเรามองว่าคนที่มาทำงานในกรุงเทพฯ ถ้าเป็นคนต่างจังหวัดมาอยู่หอพัก เขาก็น่าจะอยากได้อารมณ์เหมือนอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด พอเราเปลี่ยนมาเป็นโรงแรมปุ๊บก็ยิ่งเป็นเชิงบวกยิ่งขึ้น แขกที่มาพักก็รู้สึกว่าเหมือนอยู่ต่างจังหวัด ฝรั่งที่มาอยู่ก็รู้สึกว่า อ๋อ นี่หรือชีวิตแบบไทยๆ”

เมื่อเปลี่ยนจากหอพักเป็นโรงแรม ขนาดของธุรกิจที่ใหญ่ขึ้นก็เรียกร้องให้เธอและสามีต้องทุ่มเวลาเกือบทั้งหมดลงมาดูแลบริหารอย่างใกล้ชิด โรสยอมรับว่าเธอเองไม่มีประสบการณ์เรื่องการบริหารจัดการโรงแรม พนักงานก็ต้องหาใหม่โดยได้มาจากทีมงานของมูลนิธิกระต่ายในดวงจันทร์ของเธอและสามีนั่นเอง ซึ่งพนักงานทั้ง 5 คนที่โรสเรียกว่า ‘ผู้ช่วย’ นั้นต่างก็ใหม่และไม่มีประสบการณ์ในงานบริการเลย แต่อาศัยหัวใจรักขับเคลื่อนจากที่ไม่เป็น ลองผิดลองถูกร่วมกันเรื่อยมาจนถึงวันนี้ได้ เพราะเธอพยายามให้ทุกคนมีส่วนร่วมมากที่สุด จนรู้สึกว่าทุกคนเป็นเจ้าของที่นี่ร่วมกัน

“เราไม่พยายามทำให้มันใหญ่เกินตัวจนเกินไป เพราะความถนัดไม่มี ทำอะไรเกินตัว ถ้าหากไม่ประสบความสำเร็จก็จะเจ็บตัวแรง ก็เลยค่อยๆ ทำไปด้วยเรียนไปด้วย พนักงานก็รับเท่าที่เรารู้สึกว่าค่าใช้จ่ายเราควบคุมได้ ห้องพักที่จะเปิดให้บริการก็รับเท่าที่พนักงานเรามีอยู่”

ก่อนที่จะเปิดโรงแรมก็มีการสำรวจตลาดบ้างเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้อิงหลักการตลาดแบบวิชาการ เพราะเธอเองหากลงลึกกับเรื่องใดมากก็จะรู้สึกยากและท้อในการทำงาน หลักการบริหารของพระนครนอนเล่นจึงเป็นทฤษฎีการทำงานที่เน้น ‘ความสุข’ มากกว่า ‘ผลกำไร’

“อย่างเราเป็นคนที่ไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเหล้า เราอยากให้คนห่วงสุขภาพ กินอาหารที่ดูแลตัวเอง อยากให้คนดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม เราก็ใส่คอนเซ็ปต์เหล่านี้เข้ามาในโรงแรม เพราะฉะนั้น เวลาเราอยู่ด้วยเราทำไปด้วย เราก็รู้สึกว่ามันเป็นตัวเรา มันไม่ได้เป็นหลักการธุรกิจว่ามีอย่างนั้นแล้วแขกคงจะชอบ เรารู้สึกว่าทำเพื่ออย่างอื่นมากเกินไป บางทีอาจจะขัดกับตัวเราเอง แต่เราเป็นอย่างนี้แหละ ถ้าใครชอบแนวเดียวกันมาอยู่ด้วยกัน เราก็มีความสุขที่ได้บริการ แขกที่มาก็มีความรู้สึกว่าเขามาตรงจุดที่เขาเลือกอยู่ เพราะเรามีความเชื่อว่าถ้าคนทำงานบริการไม่มีความสุขเสียก่อน เราจะไปทำให้คนอื่นเขามีความสุขได้อย่างไร”

แต่เมื่อนำความฝันมาสานถักทอเป็นความจริง โรสก็ได้เรียนรู้ว่าการทำธุรกิจโรงแรมนั้นยังมีบางสิ่งที่เธอไม่รู้
“สร้างโรงแรมเสร็จใหม่ๆ ตกแต่งเสร็จหมดแล้วก็มานั่งยิ้มสองคนกับสามี คิดว่าเมื่อไหร่แขกจะมา แขกจะมาได้ยังไงในเมื่อไม่รู้ว่าเราอยู่ที่ไหน เป็นยังไง โบรชัวร์ก็ไม่มี เอเยนต์ก็ไม่รู้จัก แต่เรานั่งรอเป็นเดือน ไม่มีแขกสักคน เราก็ตายแล้วแขกไม่มีเลยทำยังไง ก็มีคนบอกว่าต้องไปหาเอเยนต์ เราก็เอาแคตตาล็อกไปบอกว่าช่วยแนะนำห้องให้หน่อยนะคะ โดยที่ไม่พูดเรื่องคอมมิทชันกับเขาเลย แล้วเขาจะแนะนำให้เราได้ยังไงเพราะเราไม่ให้อะไรเขาเลย คือเราไม่เข้าใจระบบตรงนี้จริงๆ ก็ค่อยเรียนรู้เป็นประสบการณ์มา ตอนหลังก็รู้ว่าต้องทำคอนแทร็คกับเขา ต้องมีการบอกว่าให้ราคาห้องเขาเท่านี้ ส่วนเขาจะไปบวกเท่าไหร่ก็เรื่องของเขา”

แต่ใช่ว่าปัญหาจะหมดเพียงเท่านั้น เนื่องจากพระนครนอนเล่นนั้นเป็นห้องพักที่เน้นตกแต่งอย่างเรียบง่ายแบบไทยๆ เน้นให้แขกที่มาพักใช้อุปกรณ์ฟุ่มเฟือยน้อยที่สุด ทำให้ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกหรูหราอย่างโรงแรมใหญ่ๆ เมื่อเอเยนต์บางแห่งบอกราคาจองห้องพักที่นี่สูงเกินราคาจริงไปมาก ทำให้ลูกค้าบางคนไม่พอใจคุณภาพห้องพักที่ได้เมื่อเทียบกับราคาที่จ่ายไป ตอนหลังโรสจึงต้องตกลงกับเอเยนต์ว่าห้ามขายห้องพักเกินราคาที่บอกไว้หน้าเว็บไซต์ และบอกโฆษณากับลูกค้าโดยตรง ทำให้ปัจจุบันแขกที่มาพักที่พระนครนอนเล่นนั้นได้มาจากการบอกต่อ

1 ปีเต็มนับตั้งแต่เปิดบริการจนถึงวันนี้ พระนครนอนเล่นยังไม่เป็นที่คุ้นหูของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ทว่ากลับติดตลาดในเมืองไทยทำให้มีแขกคนไทยเข้ามาพักเรื่อยๆ โรสบอกว่าอาจเป็นเพราะดีไซน์ที่ถูกใจคนไทย ส่วนชื่อโรงแรมนั้นค่อนข้างเรียกยากสำหรับฝรั่ง แต่เป็นความตั้งใจของเจ้าของที่อยากจะให้ทุกอย่างที่นี่เป็นไทย “ไม่ใช่มาเมืองไทยแล้วทุกอย่างเป็นฝรั่งหมด คุณจะมาเมืองไทยแล้วไม่รับอะไรใหม่ๆ มันไม่รู้สึกตื่นเต้น กว่าจะเข้ามาโรงแรมเราได้คุณต้องเดินผ่านบ้านชาวบ้านจริงๆ ไม่ใช่เซ็ทอัพ เป็นของจริงทั้งนั้นเลย เข้ามาอยู่โรงแรมเราแล้วเปิดหน้าต่างออกไปก็เจอบ้านเพื่อนบ้านอีก แถมถ้าคุณจะซักผ้า เราไม่บริการนะ คุณต้องออกไปอุดหนุนชาวบ้านข้างนอก จะกินข้าวกลางวันข้าวเย็น เราก็ไม่ทำนะ ให้คุณไปซื้อข้างนอก คือเราพยายามให้เขาไปสัมผัสกับวิถีชาวบ้านของคนไทยจริงๆ”

ดังนั้น อย่าหวังว่าคุณจะได้กินอาหารเช้ามื้อใหญ่แบบอเมริกันเบรกฟาสต์ที่นี่ แต่สำหรับคนรักสุขภาพคงถูกใจเพราะพระนครนอนเล่นมีอาหารไทยเจให้บริการ “ฉะนั้น กลุ่ม target ของเราจะเป็นนักท่องเที่ยวแบบที่รักสุขภาพ เพราะพื้นที่ของเราทั้งโรงแรมไม่มีพื้นที่ให้สูบบุหรี่ ถ้าอยากจะสูบบุหรี่ทำได้อย่างเดียวคือเดินออกไปนอกประตู ถ้าสูบบุหรี่เราปรับจริงๆ เรายอมให้ลูกค้าด่า แต่ซีเรียสกับเรื่องนี้”

โรสประเมินโรงแรมพระนครนอนเล่นของเธอว่า ก้าวเดินเร็วขึ้นกว่าปีที่แล้ว และได้รับฟีดแบ็คที่ดีจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ถึงแม้วันนี้จะเปิดบริการไม่เกิน 20 ห้อง จากห้องพักทั้งหมด 50 ห้อง เพราะที่นี่ทั้งพนักงานรวมเจ้าของด้วยมีเพียง 7 คน จึงควบคุมการรับแขกไม่ให้มากเกินกำลังด้วย “บางคนบอกว่าเราทำธุรกิจไม่เป็น แต่เราก็ต้องไม่เหนื่อยเกิน และธุรกิจก็ต้องดำเนินไปได้ด้วย ไม่ต้องรวยแบบได้กำไร แต่ให้มันบาลานซ์กับเงินค่าใช้จ่ายที่เราต้องใช้จ่ายในแต่ละเดือนไปก่อน เพราะนี่คือการทำงานแบบเรียนรู้ ไม่ใช่การทำงานแบบหวังผลกำไร เพราะเราเชื่อว่าการโฆษณาที่ดีที่สุดอยู่ที่แขก ถ้าแขก 5 คน ต่อสตาฟ 5 คน ดูแลเป็นอย่างดี การบอกต่อมันจะดีมากนี่คือประสบการณ์ที่เราเจอโดยตรง”

วันนี้ ที่กระแสบูติกโฮเต็ลกำลังมาแรง โรสมองว่าโอเอซิสกลางกรุงอย่างพระนครนอนเล่นนั้นไม่ใช่บูติกโฮเต็ลหรูหรา และแม้จะไม่ได้ตั้งอยู่ทำเลติดถนนใหญ่ใจกลางเมือง แต่กลับเป็นข้อดีสำหรับนักท่องเที่ยวที่ปฏิเสธโรงแรมใหญ่ซึ่งการบริการทั่วโลกล้วนเป็นรูปแบบเดียวกันหมด หากใครมีที่ดินหรือตึกเก่าคิดจะทำบูติกโฮเต็ลเล็กๆ ก็มีช่องทางเป็นไปได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะดึง ‘ทุน’ ทางด้านหัวใจบริการ หรือทุนทรัพย์มาใช้

“ต้นทุนจริงๆ เราเสียไปกับค่าเซ้งตึกเยอะ เพราะมันเป็นที่ทรัพย์สินฯ เราไม่สามารถเป็นเจ้าของได้ ตอนที่เราเซ้งเมื่อ 2 ปีที่แล้วค่าเซ้ง 6 ล้านกว่าบาท ตัวที่เรามา renovate ตึกอีก เนื่องจากของเดิมมันยับเยินมาก ต้องทำทุกอย่างใหม่หมดเลย เปลี่ยนระบบน้ำระบบไฟ เขามีแต่โครงมาให้เรา แต่โชคดีที่เราปรับปรุงด้วยตนเอง อะไรที่เอากลับมาใช้ได้ก็นำมาใช้ใหม่ ค่าใช้จ่ายในการตกแต่งทุกห้องตกอยู่ที่ประมาณ 7 ล้านบาท ฉะนั้น โรงแรมที่เราทำเกือบ 50 ห้อง ตกอยู่ที่ประมาณ 12 ล้านบาท ถือว่าไม่สูงจนเกินไป เนื่องจากทุกอย่างเราทำเองหมด ฉะนั้น ถ้าเกิดใครคิดจะมีธุรกิจต้องลงทุนลงแรงด้วยตนเอง เพราะอะไรที่เราไปจ้างเขาทำ หัวใจมันจะไปอยู่ที่คนอื่น แล้วคนอื่นก็จะไม่สามารถเข้าใจหัวใจที่เราอยากให้เป็นได้ เมื่อเราได้ลงทุนลงใจกับมันแล้ว ความรู้สึกที่เรารักมันจะเกิดขึ้นเรื่อยๆ และความทุ่มเทมันจะตามมา การทำงานบริการถ้าไม่ใส่ใจลงไปมันไม่สามารถไปได้” โรสกล่าวทิ้งท้ายพร้อมรอยยิ้ม

Aurum The River Place หรูหรา สง่างามริมฝั่งเจ้าพระยา

ภาพอาคารสูง 4 ชั้น สีครีมขาวที่โดดเด่นอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่น่าเชื่อว่าครั้งหนึ่งตึกเก่าอายุกว่า 50 ปีแห่งนี้จะเคยเป็นตึกแถวร้างที่ทำหน้าที่ไม่ต่างอะไรจากโกดังเก็บของ ที่ครอบครัวของจินตนา และวิไลพร อัญญานุภาพ ปิดตายไม่ได้ใช้งานมา 10 กว่าปี

“ธุรกิจเดิมของเราเป็นธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้าง พอช่วงหลังรถบรรทุกใหญ่เข้ามาแถวนี้ไม่ได้ เพราะการจราจรก็เลยอยากจะปรับปรุงสภาพตึกเดิมให้ดีขึ้น ทีแรกไม่ได้ตั้งใจว่าจะทำโรงแรม แต่ก็มาคุยกันว่าจะทำอะไรที่เหมาะกับโลกเกชั่นตรงนี้ จนในที่สุดก็ตัดสินใจว่าจะเปิดเป็นโรงแรม” จึงเรียกได้ว่าโรงแรมแห่งนี้คือธุรกิจของสองพี่น้องในครอบครัว ‘อัญญานุภาพ’

หากเมื่อเทียบกับโรงแรมริมน้ำหรูหรา 5 ดาวในละแวกเดียวกัน จินตนาออกตัวว่า ไม่อยากไปเปรียบเทียบ “เราจะทำยังไงให้แขกรู้สึกประทับใจว่ามาเที่ยวโรงแรมขนาดเล็กแล้วให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนบ้าน ซึ่งมันเทียบกับโรงแรมที่เป็นเชนใหญ่ๆ ไม่ได้ มันคนละลักษณะกัน”

จำนวนห้องพักทั้งหมดเพียง 12 ห้อง ทำให้พนักงานสามารถทำงานบริการแขกที่มาพักได้อย่างใกล้ชิด ระยะเวลา 6 เดือนตั้งแต่เปิดมาจึงทำให้ชื่อของ Aurum The River Place ติดตลาดอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะผ่านทางเว็บไซต์ของโรงแรมที่นักท่องเที่ยวนิยมจองล่วงหน้า
ทั้งนี้จินตนายอมรับว่าโรงแรมใดที่สายป่านยาวก็อาจยืนระยะได้นานกว่า เพราะธุรกิจโรงแรมนั้นไม่คืนทุนเร็วอย่างร้านอาหาร จะหวังผลกำไรเป็นอันดับหนึ่งไม่ได้ “ขึ้นอยู่กับผู้บริหารของโรงแรมว่ามีใจรัก และบริการแขกให้ประทับใจแค่ไหน โรงแรมบูติกขนาดเล็กจะไปรอดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเต็มใจและความประทับใจในการบริการ”

ขณะที่วิไลพรเสริมว่า นับตั้งแต่มีโรงแรมแห่งนี้เกิดขึ้นจากตึกแถวเก่า ทำให้ชุมชนย่านท่าเตียนที่ค่อนข้างซบเซาแถวนี้มีชีวิตชีวามากขึ้น มีคนมาพบปะนั่งทานกาแฟ หรือหาที่พักให้เพื่อนชาวต่างชาติ ซึ่งแขกที่มาพักสามารถเดินเที่ยวด้วยตัวเองได้ เพราะโรงแรมอยู่ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ของเกาะรัตนโกสินทร์ อาทิ วัดพระแก้ว, วัดโพธิ์, ปากคลองตลาด, สำเพ็ง ฯลฯ และสามารถสัมผัสวิถีชีวิตริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาได้ตลอดเวลา

อรุณลับฟ้าที่ ‘อรุณเรสซิเดนท์’

สุดซอยประตูนกยูงบนถนนมหาราช ย่านชุมชนเก่าแก่อย่างท่าเตียน เป็นที่ตั้งของร้านอาหารริมแม่น้ำ ‘The Deck’ พร้อมที่พักบรรยากาศดีมองเห็นวิวพระปรางค์วัดอรุณและแม่น้ำเจ้าพระยา สมกับชื่อโรงแรม ‘อรุณเรสซิเดนท์’

พญ.ปิยะนุช รักพาณิชย์ เจ้าของโรงแรมบอกเล่าว่า ที่ดินเดิมนี้เป็นของวัดโพธิ์ เมื่อคุณหมอและเพื่อนอีก 3 คนมาพบตึกร้างริมน้ำแห่งนี้จึงตกลงใจทำสัญญาเช่าและปรับปรุงกระทั่งเปิดให้บริการมาปีกว่าแล้ว การตกแต่งห้องแถวแห่งนี้เป็นที่พักอารมณ์บูติกริมแม่น้ำ ทุกห้องล้วนมองเห็นวิวพระปรางค์วัดอรุณ แต่ห้องสวีทนั้นมีระเบียงกว้างขวางที่แขกที่มาพักสามารถเปิดประตูออกไปนั่งเล่นรับลม ชมบรรยากาศสุดแสนโรแมนติกยามพระอาทิตย์ตกดินลับริมฝั่งเจ้าพระยา โดยมียอดพระปรางค์เก่าแก่เป็นฉากหลังได้

“ปัจจุบันหุ้นส่วนทุกคนมีอาชีพประจำอยู่ แต่เราทำด้วย passion เราอยากจะมีที่ที่เป็นเหมือนบ้านเรา พอเดินเข้ามารู้สึกสบาย อย่างล็อบบี้ตรงนี้ก็เหมือนห้องรับแขกบ้านตัวเอง” คุณหมอปิยะนุชเล่าพลางชี้ชวนให้ดูโซฟาตัวหนานุ่ม โคมไฟที่กำลังให้แสงสีเหลืองนวลอบอุ่น และกลิ่นหอมของกาแฟที่ลอยมาตามลม

ถามถึงเงินทุนที่ใช้ในการปรับปรุงตึกแถวเก่าให้เป็นโรงแรม คุณหมอปิยะนุชบอกว่าก็ไม่มากไม่น้อย ไม่ถึงขนาดทำให้เป็นหนี้เป็นสิน แต่เดินเข้ามาก็จะไม่เห็นโรงแรม 5 ดาวอยู่ตรงนี้ ปัจจุบันนี้พื้นที่ของโรงแรมบางส่วนเช่าจากทางวัดโพธิ์และเป็นของโรงแรมส่วนหนึ่ง ทว่ายังไม่ได้เปิดใช้บริการพื้นที่ทุกส่วน

“ตอนแรกเราหวังว่าจะเป็นลูกค้าต่างชาติ เพราะใครจะนึกว่าแค่ 5 ห้องตรงนี้ คนไทยที่สนใจมาพักจากต่างจังหวัดอาจจะน้อย แต่ปรากฏว่าเป็นคนกรุงเทพฯ นี่แหละ บางคนมาทานข้าว พอรู้ว่ามีห้องพักขึ้นไปดูก็ติดใจ แล้วก็มาพักผ่อน แทนที่เสาร์อาทิตย์เขาจะไปที่อื่นก็พาครอบครัวมาพักผ่อนเปลี่ยนบรรยากาศที่นี่”

จุดเด่นสำคัญของที่นี่ คือบรรยากาศที่ใกล้ชิดกับชุมชนจนกลมกลืนเป็นวิถีเดียวกันกับชาวบ้าน “เพื่อนบ้านก็มีชีวิตประจำวันเหมือนเดิม นั่นเป็นข้อหนึ่งในปณิธานของเรา เราเข้ามาตรงนี้ก็ไม่อยากให้ชุมชนเขาเปลี่ยนแปลงมากนัก เราพยายามจะกลมกลืนกับชุมชนให้ได้ ฉะนั้น แขกมาที่นี่เราจะแจ้งล่วงหน้าว่า สถานที่เราเป็นอย่างนี้นะ เข้ามาจะเสียงดังไม่ได้เพราะเพื่อนบ้านเรานอนหมดแล้ว”

ทุกวันนี้ ลูกค้าต่างชาติของที่นี่ส่วนมากคือชาวยุโรปที่บอกต่อๆ กันมา และจองล่วงหน้าทางเว็บไซต์ ส่วนคนไทยก็มีมาพักอยู่เรื่อยๆ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่บางครั้งที่พักจะเต็ม จึงเกิดการ ‘ส่งต่อ’ ระหว่างโรงแรมในย่านนี้ด้วย

“ในละแวกนี้มีหลายโรงแรมที่คล้ายๆ กัน แต่เราไม่ได้มานั่งกลุ้มใจเรื่องคู่แข่งกัน เพราะแต่ละโรงแรมก็มีอยู่ไม่กี่ห้อง เราก็ส่งแขกกันนะคะ อย่างวังจักรพงษ์มีงานก็ส่งแขกมา ที่นี่ถ้าเกิดเต็มเราก็บอกว่ามีออรั่มอยู่ข้างๆ มีโอลด์ บางกอก อินน์ อยู่ตรงโน้น เราก็พาไปส่ง บางทีเขาเต็มเขาก็โทรมาหาเรา เป็นเพื่อนทางธุรกิจกันมากกว่า”

หัวใจสำคัญ ในการทำโรงแรมบูติกขนาดเล็กนั้น คุณหมอปิยะนุชบอกว่า อยู่ที่ความรักในงานบริการและการลงไปดูแลทำงานด้วยตนเองเหมือนเจ้าของบ้าน เพราะนอกจากจะช่วยทุ่นค่าใช้จ่ายไปได้เยอะ ยังใกล้ชิดกับลูกค้าเสมือนเปิดบ้านต้อนรับเองอีกด้วย




















กำลังโหลดความคิดเห็น