ณ ช่วงเวลาเย็นๆ จนถึงยามโพล้เพล้ เรื่อยไปกระทั่งความมืดตื่นขึ้นมาเริ่มจะทำงาน
หากใครมีโอกาสสัญจรผ่านไปบนบาทวิถีของถนนพระอาทิตย์ คุณอาจจะมีโอกาสได้พบเห็นกับหญิงวัยเฉียด 70 คนหนึ่ง พร้อมกับเหล่าตุ๊กตาตัวเล็กๆ หลากสีสันหลายสิบตัวที่วางเรียงราย
มองผ่านๆ คุณอาจจะเห็นมันเป็นเพียงตุ๊กตาผ้าธรรมดาๆ ที่ถูกเย็บเป็นรูปสัตว์ชนิดต่างๆ ทั้ง ช้าง ม้า สุนัข ไก่ แมว ลิง กระต่าย ฯลฯ แต่หากพิจารณาคุณจะพบได้อย่างไม่ยากเย็นเลยว่า บรรดาตุ๊กตารูปสัตว์เหล่านี้ค่อนข้างจะมีรูปร่างหน้าตาที่ออกไปในทางแปลกประหลาดๆ
อยู่พอสมควร
และบางตัวอาจจะออกมาในลักษณะของพันธุ์ผสมที่ต้องอาศัยการเดาเอาว่า มันคือตัวอะไร?
.........
จากความฝัน สู่ "ตุ๊กตาดักฝัน"
"ตุ๊กตาดักฝัน" คือชื่อเรียกของตุ๊กตารูปสัตว์นานาชนิดที่ว่าซึ่งเกิดขึ้นมาจากมันสมองและฝีมือของหญิงวัย 67 ที่มีชื่อว่า "ระวี บุญประเสริฐ" หรือที่คนรู้จักเรียกเธออย่างติดปากว่า "ป้าแดง"
จุดเริ่มต้นของงานฝีมือชิ้นนี้แม้เพิ่งจะเกิดขึ้นมาเมื่อ 3 ปีที่แล้ว แต่ส่วนหนึ่งนั้นก็เป็นผลมาจากการล่มสลายของเศรษฐกิจไทยเมื่อปี 40 นั่นเอง
"อายุทำตุ๊กตาของป้าก็เกือบๆ 3 ปีแล้ว ตั้งแต่มิถุนายน 2547..." ป้าแดงเผย
"เมื่อก่อนป้าอยู่สุราษฎร์ธานีแล้วก็ย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพฯ 30 กว่าปี ตอนนั้นป้ามาทำมาหากินในกรุงเทพฯ ก็สร้างฐานะได้ แล้วสมัยปี 2540 มันพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ป้าก็แย่มาโดยตลอด แล้วจากนั้นคนในบ้านก็ป่วย ตอนนั้นป้าไม่มีเงิน ไม่รู้จะทำอะไร ก็คิดค้นว่าจะทำอะไรกิน..."
"ก็มีวันหนึ่งโอกาสไปนั่งที่หอสมุดแห่งชาติ นั่งๆ ไปก็คิดว่า เอ เราจะทำอะไร คือป้าชอบไปหาหนังสือมาอ่าน แล้วป้าก็เห็นแมว เกิดจินตนาการแมวอียิปต์ มันจะเป็นคล้ายๆ พวกสฟิงค์อิยิปต์หน่ะ แล้วเราเอาหน้าคนออก เอาหน้าแมวใส่เข้าไป เป็นตา เป็นจมูกใส่เข้าไป มันก็กลายเป็นแมวอิยิปต์ ป้าก็เลยลองมาทำดูโดยอาศัยที่พอจะทำงานเกี่ยวกับเย็บผ้ามาก่อน"
เริ่มต้นจากท่าพระจันทร์ ก่อนจะเปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ ซึ่งด้วยราคาที่ไม่แพงมากนัก (ตัวเล็กติดราคา 20 - 25 บาท - ตัวใหญ่ 40 บาท) รวมถึงความมีเอกลักษณ์นั่นเองที่ทำให้การขายตุ๊กตานี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีทั้งจากคนไทยและต่างประเทศ..."ตอนเริ่มขายที่ท่าพระจันทร์ ตอนนั้นท่าพระจันทร์แม่ค้าไม่เยอะเหมือนสมัยนี้ ก็มีแต่นักศึกษานั้นแหล่ะที่ซื้อ แล้วก็อาจารย์ แต่ทีนี้ตอนนั้น อยู่ๆ แล้วมันก็เงียบ แล้วมันวังเวงหน่ะ ไม่เหมือนสมัยนี้ แม่ค้าแย่งที่กัน แต่ตอนนั้นไม่ค่อยมี ป้าก็เลยไปสีลม ลูกชายพาไป ก็ไปนั่งขายก็ติดใจ"
"ที่สีลมขายดี วันนึง 5,000-6,000 บาท บางวันถึง 8,000 บาท พวกธนาคารกรุงเทพ ตึกซีพี เป็นคนไทย ฝรั่งก็มี อย่างที่นี่(ถนนพระอาทิตย์)ฝรั่งจะมากกว่าไทย ที่นู่นไทยมากกว่าฝรั่ง บนโต๊ะทำงานแทบทุกคนจะต้องมีตุ๊กตาป้าวาง โดยเฉพาะช้าง ม้า กับแมว สามตัวนี้ขายดีที่สุด ส่วนลิงเพิ่งมาเกิดตอนที่ย้ายกลับมาธรรมศาสตร์อีกครั้ง จึงเกิดลิงขึ้น ตอนนั้นไม่ได้ทำลิงหรอก ลิงเพิ่งมาทำ"
"ฝรั่งพวกต่างชาติจะชอบลิงมากนะ ต้องทำมาเยอะเป็นพิเศษ แล้วตอนนี้ไม่ค่อยไปที่ไหนแล้ว ก็อยู่ที่นี่ซะส่วนใหญ่..."
ปัจจุบันมีป้าแดงจะมีหน้าที่เป็นผู้ออกแบบ เขียนแบบลงบนผ้า ส่วนหน้าที่การเย็บจะเป็นของเด็กๆ ในบ้าน(จำนวน 3 คน) โดย 1 วันจะสามารถผลิตตุ๊กตาดักฝันออกมาได้จำนวนเฉียด 100 ตัว
"ออกแบบก็ไปเอาแบบจากที่มันอยู่ที่ตามกระดาษโปสเตอร์ตามที่เขาซื้อไปปิดให้นักเรียนดูหน่ะ เราก็ไปตัดกระดาษออกมา แล้วก็มาขยาย แล้วก็มาหาขามัน ว่าเราจะทำอย่างไรให้ขามันถ่าง เราตัดมันไม่ยากนี่ แบบมันมีตามกระดาษหมดแล้ว แล้วเราก็มาหาขาตรงนี้ อย่างมันยืนนี่ ทำยังไงจะให้มันยืน ต้องยืนต้องมีขา เท่านั้นแหล่ะ แล้วเราก็ดัดแปลงเอา มองดู จากตัวสัตว์ สัตว์มันอยู่กระดาษ มันก็คือสัตว์กระดาษแหล่ะ แต่พอเรามาทำขา มันก็ยืนได้ อย่างหมา อะไรนี่เราก็มาทำให้มันยืนได้"
"เรื่องสี ก็เลือกเอาเอง ไม่ได้คิดอะไรมากให้มันคละเคล้ากันไป ขาสีนี้นะ ตัวสีนีเนะ เอามาประกอบๆ กัน บางตัวก็อาจจะใช้แค่ 3 - 5 ชั้น บางตัว อย่างลิงนี่จะเยอะหน่อย เฉพาะตรงหัวก็ 5 ชิ้นเข้าไปแล้ว ส่วนหูต่างหาก ก็เย็บยากหน่อย
ไม่ใช่เพียงแค่การขายปลีกแต่อย่างเดียวเท่านั้น หากแต่ยังรวมไปถึงการขายส่งคราวละหลักร้อยหลักพันตัวอีกต่างหาก
"มีเกาหลี แล้วก็ฝรั่ง พวกฝรั่งนี่ถ้าเจอมีร้อย เขาเอาร้อยเลย เหมาหมด ฝรั่งนี่มาทีมีเท่าไหร่เหมาหมด แล้วก็ลูกค้าอยู่ถนนข้าวสารอยู่คนหนึ่ง เขามารับทีละร้อย สองร้อย เขารับไปขายต่อ เขารับออเดอร์นอกไว้ แล้วมาสั่งป้าอีกที ตอนนี้มีคนเกาหลีมารับประจำ ครั้งละพันตัว"
"อย่างป้าขายตัวละ 20 เนี่ย ก็มีคนมาบอกเหมือนกันนะว่า พวกบริษัททัวร์ที่เขารับไปเนี่ย ไปขายให้ลูกทัวร์ ตัวละ 50 - 60 บางทีป้าก็ว่าจะขอขึ้นอีกสักตัวละ 2 - 3 บาทเหมือนกันเพราะว่าผ้าที่เราเอามาตัดเนี่ยมันขึ้นราคา"
"แล้วเนี่ย...." ป้าแดงว่าพลางควักเอาตุ๊กตาหมาหน้าตาเหมือนหมาปั๊กขึ้นมาจากถุง
"หมาปั๊ก..." ป้าแดงเฉลยเป็นการบอกว่าสิ่งที่เราคิดนั้นถูกแล้ว
"แต่มันไม่เหมือนปั๊กสักเท่าไหร่ อันนี้เราตั้งใจนะ คือป้าจะไม่ทำเหมือนจริงๆ ป้าอยากให้มันเป็นแบบตัวการ์ตูน หมาปั๊กอันนี้มีคนจากบางกอกแอร์เวย์เข้ามาจ้างให้ป้าทำ ป้าว่าจะเอาไปให้เขาดู คือมันยังไม่ดีมาก อย่างตัวนี้ขามันสั้นไปหน่อย ต้องต่อขาให้มันนั่งได้ คือป้าอยากได้ตัวของตัวนี้ แล้วเอาหัวของตัวนี้มาใส่แทน แล้วตรงนี้ที่เป็นรอยเย็บสุดท้ายมันยังไม่เรียบ มันต้องซ่อนด้าย ไม่ให้เห็น..."
"แต่ตอนนี้ยังติดต่อเขาไม่ได้เลย เนี่ยเขาให้นามบัตรไว้ แต่พอโทรไปก็ไม่มีคนรับสาย โทรไปที่เลขาหน้าห้องก็คุยกันไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวป้าว่าบางทีจะลุยไปหาถึงที่เองเลย..." ป้าแดงบอกอย่างนักเลงๆ
เส้นทางของ "ป้าแดง"
การเดินถึงจุดหมายปลายทางแห่งความต้องการที่ตั้งเอาไว้อาจจะหมายถึงเส้นชัยแห่งความสำเร็จของคนๆ หนึ่ง แต่ใช่หรือไม่ว่าสิ่งที่จะทำให้คนๆ นั้นดูมีคุณค่ากว่า ณ. จุดเส้นชัยที่ว่าที่คนคนนั้นยืนอยู่ ก็คือเส้นทางที่เขาต้องเดินผ่านมานั่นเอง
ชีวิตของป้าแดงเองน่าจะเข้าข่ายที่ว่า ไม่ว่าจะเป็นการเกิดมาไม่ได้อยู่กับผู้เป็นพ่อ - แม่ของตนเองตั้งแต่เกิด, เรียนไม่จบแม้แต่ชั้นประถมเรพาะต้องออกมาดูแลพ่อ(บุญธรรม)ที่ป่วยเป็นอัมพาต, การทะเลาะเบาะแว้งกับพี่น้องของพ่อ - แม่บุญธรรม เพราะถูกมองว่าจะมาแย่งมรดก, เดินทางเข้ามากรุงเทพฯ คนเดียวโดยที่ไม่รู้จักใครและที่สำคัญไม่รู้จะไปที่ไหน?, ผ่านการทำงานมาแล้วมากมายหลากหลายอาชีพทั้งการเย็บเสื้อผ้า-เด็กปั๊ม-โรงงานผลิตน้ำปลา, เคยไล่เอามีดฟันคนอื่นเพราะความโมโหนิสัยที่ไม่ยอมใคร ฯลฯ
"ป้าเกิดที่อำเภอบางพลี สมุทรปราการ คือตอนแม่ป้าตอนที่เขาท้องป้าได้ 4 เดือน พ่อป้าก็ตาย แต่ก่อนที่บ้านป้าค้าข้าวส่งนอกกัน พวกหมอดูก็สั่งกันมาว่า ถ้าออกลูกคนนี้ ให้ให้คนอื่นไปซะ ป้าเป็นน้องคนสุดท้อง ลูกคนที่ 9 ตอนหลังมีป้ากับลุงที่เคยอยู่บ้านติดกันแล้วย้ายไป เขามาเที่ยวและสนิทกัน เขาก็มาดู ตอนที่แม่ป้าคลอด เขาก็ขอป้าไปเลี้ยงที่บ้านเขา ไปเป็นลูกคนที่ 5 เพราะเขามีลูกอยู่แล้ว 4 คน แต่ลูกเขาโตหมดแล้ว ไปเรียนกันหมดแล้ว”
“ตอนไปไหน ใครเขาทัก เขาเรียกชื่อแม่แท้ๆ ให้ฟัง ก็บอก ไม่รู้จักเว้ย จะถามทำห่าอะไร...”
"ส่วนช่วงที่มีเรื่อง คือตอนนั้นป้าไปอยู่ที่เมืองตรัง ตอนหลังป้ามีปัญหากับคนที่เมืองตรังน่ะ ป้าไปเอามีดไล่ฟันเขา คือมันมาชอบเพื่อนป้า แต่มันคิดว่าป้ากับเพื่อนป้าเป็นแฟนกัน มันมาชี้หน้าด่าป้า ป้าโมโหเถียงมันไม่เป็น เลยคว้ามีดทำครัวไล้ฟันมัน แต่ฟันไม่เข้ามันหนีไป”
และเหตุการณ์ครั้งนี้นี่เองที่ทำให้ป้าแดงได้พบกับชายหนุ่มที่ต่อมากลายเป็นคู่ชีวิตกัน
"หลังจากนั้นป้าก็เก็บเสื้อผ้ากลับเลย กลับเข้าตัวเมืองตรัง ไปหาคนที่ป้าเคยรู้จักอยู่ทางเมืองตรัง ชื่อสำราญ บอกคุณสำราญนี่ชั้นหนีมาจากน้ำตกเขาช่องเพราะเราไปไล่ฟันเขาเลยหนีมา เขาก็คิดว่าถ้าอย่างนี้คงอยู่ไม่ได้แล้ว เมืองตรัง แล้วรู้ว่าพี่ชายเขาคนนึงเป็นนายทหารอยู่ อยู่ในค่ายทหาร สงขลา หาดใหญ่ เลยเดินทางไปหาเขา ก็ไปอยู่กับเขา เขาเป็นหัวหน้าฝ่ายบริการที่นั่น”
“ป้าอยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ตอนหลังก็ออกมา ตอนนั้นป้ามีแฟนอยู่คน เขามาเรียนหนังสือตอนป้าอยู่ที่ค่ายทหาร แล้วก็ชอบพอกัน ก็กลับไป ก็จดหมายคุยกัน เขาก็ชวนไปอยู่ด้วยกันที่สะบ้าย้อย ตอนไปสะบ้าย้อยก็แอบหนีไปนะ ตอนนั้นพี่ชายเขาไปรับราชกาลที่สตูล ก็เลยขอเสื้อผ้าของทหารรับใช้มา แล้วหนีไปหาแฟนที่สะบ้าย้อย หลังจากแต่งงานกันก็ย้ายไปอยู่ที่สุราษฎร์ธานีด้วยกัน มีลูกด้วยกัน 2 คน”
อย่างไรก็ตาม แม้ชะตาชีวิตโดยรวมส่วนใหญ่จะไม่เอื้ออำนวย แต่ความพยายามของป้าแดงคนนี้ต้องบอกว่าไม่ธรรมดา
"เพราะป้าไม่ได้เรียนหนังสือไง ถึงต้องอ่าน..." ป้าแดงบอกถึงความชอบของตนเองก่อนจะหยิบเอาหนังสือที่เกี่ยวกับประเทศอียิปต์เล่มหนึ่งชูให้ดู และนั่นเองอาจจะเป็นที่มาของ
"ป้าเคยจ้างเขามาสอน สมัยก่อนนี้วันละ 2 บาท จ้างเพื่อนๆ กันนี่แหละ เด็กกว่าป้าอีก จ้างเขามาสอน อ่านสระอะ สระอา แล้วเขียนไปด้วยไง คิอหัดอ่าน หัดเขียนหน่ะ แล้วป้าเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ก็เอาสระมาผสมกัน โอ้ย กว่าจะอ่านได้ก็ใช้เวลา ตอนนั้นป้ามาอยู่ฝั่งธนฯ อยู่พักหนึ่ง สมัยสาวๆ รุ่นๆ หน่ะ ก็นั่นแหละก็เลยได้มาเรียนตัดเสื้อที่หลังเฉลิมกรุงน่ะ พอเรียนตัดเสื้อเสร็จป้าก็มาทำงานรับจ้างเป็นช่างตัดเสื้อไป แล้วทีนี้ป้าทิ้งงานพวกนี้มานานแล้ว เพิ่งมาจับนี่แหล่ะ"
"ไม่เฉพาะเรื่องอียิปต์หรอก ป้าอยากรู้เรื่องประวัติศาสตร์เก่าๆ ของทุกประเทศนั่นแหล่ะ แต่ป้าอ่านแล้วลืม บางเล่มป้าอ่านซ้ำ 3-4 เที่ยวสามจบ สองจบ...."
ในความเชื่อของโลกตะวันตกมีการพูดถึงตุ๊กตาที่ชื่อว่า "The Dream Keeper" (ดรีมคีปเปอร์ - ผู้รักษาฝัน) ที่เชื่อกันว่าเป็นตุ๊กตาที่มีหน้าที่เฝ้าดูแลความฝันของผู้เป็นเจ้าของเอาไว้อย่างปลอดภัยและจะปล่อยออกมาเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ทว่าในมุมของ "ป้าแดง" แล้ว ความหมายของ "ตุ๊กตาดักฝัน" ที่ตนเองคิดชื่อขึ้นมาก็คือ...
"มันพลิกมาจากดักเหตุร้ายมาเป็นดักฝัน เพราะคนไทยเราขี้ฝันไง นอนนิดหน่อยก็ฝันแล้ว แล้วบางคนก็ฝันดี บางคนก็ฝันร้ายใช่ไหม เราก็เลยบอกว่า ให้ดักฝันร้ายซะ คนจะได้ซื้อไปดักฝันร้าย..."
"คือเราจะไปเรียกมันว่าสัตว์ๆ มันก็เป็นสัตว์อยู่นั่นแหล่ะ แต่มันน่าเกลียด เราจะต้องใส่ชื่อมันให้เพราะพริ้ง แล้วทีนี้ ป้าก็ใส่สร้อยให้มันด้วยนะ อย่าง หมูนี่ความอุดมสมบูรณ์ หมายถึงความร่ำรวย มันมีความหมายทุกตัว อย่างลิงนี่ก็คือต้นตระกูลบรรพบุรุษเรา เราจะต้องนึกถึงบุญคุณเขา"
"อย่างแมวนี่เรียกโชคลาภ คนโบราณชอบเลี้ยงแมว เพราะแมวเรียกโชคลาภเข้าบ้าน อย่างอิยิปต์ยังนับถือแมวเป็นเทพเจ้าของเขา ที่เขาจะสักการะไว้ ป้าก็เลยประติดประต่อ ไอ้นู่นนิด ไอ้นี่หน่อยมาทำ กวางหมายถึงการเงินมั่นคง ยีราฟนี่สมองใส ปัญญาไว เพราะยีราฟเป็นสัตว์ฉลาดปราดเปรียว จิงโจ้เขามีถุงใส่ลูกเขา เราก็เรียกว่าถุงเงิน ถุงทอง"
"จริงๆ คือป้าจะบอกให้นะ คนโบราณเขาเคยทำตุ๊กตาผ้าแบบนี้มา แต่เป็นรูปนางรำ เป็นรูปตัวพระ ตัวนาง แล้วเขาก็ตกแต่งเหมือนนางรำ นางละคร ตัวพระ ตัวนาง คือตุ๊กตาแบบนี้มันไม่ใช่เพิ่งมี มันมีมานานแล้ว มีตั้งแต่บรรพบุรุษเรามานานแล้ว แต่เขาทำด้วยมือ เย็บด้วยมือจริงๆ ไม่ได้เย็บจักรแบบนี้ แต่ทีนี้มามันยุคหลังแล้ว มันไม่ใช่ของแปลกหรอก นอกจากพวกรุ่นหลังๆ นี่ จะไม่รู้ รุ่นที่รู้ก็อย่าง รุ่นคุณสนธินี่แหล่ะ ที่จะรู้ว่าปู่ย่า ตายาย พวกชาววังอะไรเขาทำมานานแล้ว"
"มันเป็นของเล่นของเด็กสมัยก่อน แล้วจะทำไว้ตามหน้าศาลพระภูมิ เอาไปถวายตามศาลเจ้า ถ้าเป็นสัตว์นี่ ถ้าจะไว้ตามศาลเจ้าได้ จะมีช้างกับม้าเท่านั้น..."
วิธีการใช้ตุ๊กตาดักฝันป้าแดงบอกว่าไม่จำเป็นที่จะต้องวางไว้ที่หัวนอนแต่อย่างใด
"อย่าลืมนะคำว่าสัตว์หน่ะ มันก็อยู่แบบสัตว์ มันจะมาอยู่เหนือหัวเราไมได้ โบร่ำ โบราณเขาว่าไว้ อย่างน่าเกลียดเลยว่า สัตว์เดรัจฉานน่ะ แต่ถ้าช้างกับม้าหน่ะ อยู่ได้เพราะสัตว์สองชนิดนี่เป็นสัตว์ของพระราชา"
"ถ้าป้าเห็นใครเขาเอาช้างมาเดิน ป้าจะไม่ชอบเลย อย่าลืมนะเจ้าฟ้า มหากษัตริย์เราจะทำพิธียังต้องแต่งองค์ช้างนำหน้าก่อน แล้วทำไมคนเราจึงต้องเอาเขามาทรมาน เห็นว่ามีการคุ้มครองสัตว์ป่า คุ้มครองช้าง ก็ไม่เห็นจะคุ้มครองได้เลย เห็นเอามาเดิน น่าสงสาร แล้วพื้นมันร้อนนะ"
"ลองไปอ่านเรื่องพระนารายณ์สิ โรงช้างของพระนารายณ์นี่ใหญ่อย่างกับสนามกอล์ฟ เพราะช้างมันมีเป็นพันๆ เชือก สำหรับเวลาออกพิธี พระนเรศวรก็ทรงชนะบนหลังช้าง แล้วทำไมคนเรายังต้องเอาช้างออกมาทรมาน ลากซุงบ้าง เขาไปไม่ไหวก็ตี เอาเหล็กแหลมมาแทง แล้วอย่างช้างตกมันนี่ ไปโกรธเขาทำไม ในเมื่อคนเราไปทรมานเขาก่อน เขาก็เจ็บเหมือนกัน เจ็บเขาก็สลัดลงจากคอเขาสิ..."
ก่อนที่จะไปไกลว่านั้น ฝรั่งเด็กน้อยคนหนึ่งได้เข้ามาหยิบซื้อตุ๊กตารูปหมูและแมวอย่างละ 1 ตัว ป้าแดงหันไปทำหน้าที่แม่ค้าของตัวเอง ก่อนจะหันมาตอบคำถามสุดท้ายของการสนทนาของเราที่ว่า...แล้วป้าแดงเชื่อว่าตุ๊กตาที่ว่านี้มันดักฝันได้จริงมั้ยๆว่า...
"จริงไม่จริงป้าก็ไม่มั่นใจนะ แต่ป้าก็ตั้งชื่อมันเป็นเจ้าตุ๊กตาดักฝันไปแล้ว ก็คิดซะว่ามันอาจจะช่วยได้ก็แล้วกันนะ คือพอมีตุ๊กตานี้แล้วเจ้าของก็สบายใจ พอสบายใจก็นอนฝันดี หรือไม่ก็มองเป็นงานศิลปะ เป็นของประดับไป คิดไว้แบบนี้ก็พอแล้ว"
"ส่วนเรื่องการจดลิขสิทธิ์ ไม่มีนะ แต่ถ้าเห็นใครขายป้าจะบอกตำรวจจับ..." !?
***********
เรื่องโดยเวสารัช โทณผลิน