xs
xsm
sm
md
lg

นวนิยายที่กษัตริย์ทรงมอบแก่กษัตริย์ ดอนกิโฆเต้แห่งลามันช่า ขุนนางต่ำศักดิ์นักฝัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ครั้งหนึ่ง กษัตริย์ฟิลิปเป้ที่ 3 แห่งเสปน ทอดพระเนตรชายผู้หนึ่งกำลังอ่านหนังสือที่ข้างถนน ชายผู้นั้นหัวเราะเสียน้ำตาไหล กษัตริย์ตรัสว่า “ชายผู้นี้หากไม่บ้าก็คงกำลังอ่านดอนกิโฆเต้อยู่”

หลายศตวรรษถัดมา นวนิยายที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นนวนิยายที่ดีที่สุดในโลกเรื่องนี้ ได้รับการถ่ายทอดเป็นภาษาล่าสุด คือภาษาไทย และได้รับการยกย่องว่าเป็นฉบับที่จัดพิมพ์ประณีตที่สุดในรอบทศวรรษ

ในวาระหลังจากการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ ครบรอบ 400 ปีของการถือกำเนิดดอนกิโฆเต้แห่งลามันช่าในประเทศสเปน สมเด็จพระราชาธิบดีฆวน การ์ลอส ที่ 1 แห่งราชอาณาจักรสเปน ทรงมีพระราชประสงค์ให้พิมพ์และแปลหนังสือ ‘ดอนกิโฆเต้แห่งลามันช่า ขุนนางต่ำศักดิ์นักฝัน’ เป็นภาษาไทย โดยจัดพิมพ์พิเศษเป็นครั้งแรกจำนวน 2 เล่ม เพื่อทูลเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แห่งอาณาจักรไทย ในวโรกาสทรงครองราชย์ 60 ปี นับเป็นทั้ง ‘ทูตวัฒนธรรม’ และของขวัญที่ทรงพระราชทานแก่ประชาชนไทยในโอกาสเดียวกัน

ครบรอบ 1 ปีที่หนังสืออันทรงคุณค่าเล่มนี้ปรากฏในบรรณพิภพไทย เรื่องราวความเป็นมาและบุคคลที่เกี่ยวข้องในการจัดทำหนังสือแปลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและมีจำนวนผู้อ่านมากที่สุดรองจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเรื่องนี้ กำลังถูกนำมาจัดแสดงใน ‘นิทรรศการหนังสือ ดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่า ขุนนางต่ำศักดิ์นักฝัน’ ณ หอสมุดแห่งชาติ เพื่อรอให้นักอ่านชาวไทยได้ตามรอยความฝันอันยิ่งใหญ่ของอัศวินตัวเล็กๆ ที่ชื่อ ‘ดอนกิโฆเต้’

ก่อนเป็นนวนิยายที่กษัตริย์ทรงมอบแก่กษัตริย์

2 ปีคือเวลาทั้งหมดที่ผศ.สว่างวัน ไตรเจริญวิวัฒน์ ใช้ในการลงมือแปลหนังสือเรื่องนี้ มินับอีก 6 เดือนที่เธอทำงานร่วมกับรศ.ดร.วัลยา วิวัฒน์ศร บรรณาธิการต้นฉบับแปล ที่ทั้งสองแทบจะใช้ชีวิตช่วงนั้นกินนอนและทำงานด้วยกันตลอดเวลา

2,000 เล่ม คือจำนวนหนังสือที่มกุฎ อรดี บรรณาธิการแห่งสำนักพิมพ์ผีเสื้อ สั่งให้ทำลายทิ้งเมื่อปรากฏว่าคุณภาพการพิมพ์ไม่ได้มาตรฐาน การจักทำเช่นนี้ได้ ต้องอาศัยขนาดของหัวใจผู้ที่รักการทำหนังสืออย่างประณีตเท่านั้น หาไม่แล้ว หนังสือดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่าฯ ฉบับภาษาไทยนี้คงมิได้รับการยกย่องให้เป็นฉบับที่จัดพิมพ์ประณีตที่สุดในรอบทศวรรษ

รศ.ดร.วัลยา วิวัฒน์ศร นักแปลและบรรณาธิการที่ทำงานร่วมกับสำนักพิมพ์ผีเสื้อมานาน กล่าวว่า สำนักพิมพ์ผีเสื้อไม่ได้เห็นหนังสือเป็นสินค้า แต่เห็นว่าหนังสือเป็นงานสร้างสรรค์ ทำให้มีอาจารย์ในมหาวิทยาลัยหลายท่านเต็มใจและอยากร่วมงานกับสำนักพิมพ์แห่งนี้ รวมทั้งตัวเธอเองและผศ.สว่างวัน ซึ่งเป็นผู้แปลหนังสือเล่มนี้ด้วย
ขณะที่ผศ.สว่างวัน กล่าวว่า นวนิยายเรื่องนี้ทำให้คนอ่านได้รับรู้ว่า ‘สุภาพบุรุษ’ ที่แท้จริงเป็นยังไง ก่อนที่จะลงมือแปลผศ.สว่างวันก็ได้รวบรวมสะสมหนังสือ สารานุกรมที่เกี่ยวข้องกับดอนกิโฆเต้ไว้มากมาย โดยเฉพาะในภาค 2 ที่กำลังแปลอยู่นั้น ผศ.สว่างวันออกปากว่าหนักใจมากเพราะมีสุภาษิตคำพังเพยมากมายผ่านปากของตัวละครคู่หูพระเอกอย่างซานโซ่ ปันซ่า แม้เธอจะมีความรู้ทางด้านภาษาสเปนแต่ก็ต้องอาศัยประสบการณ์การแปลการอ่านของบรรณาธิการที่มีชั่วโมงบินสูงกว่าอย่างรศ.ดร.วัลยา รวมทั้งถามผู้รู้ หาหนังสืออ่านประกอบการค้นคว้าซึ่งเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้เวลามาก ซึ่งหากรวมระยะเวลาที่ใช้ในการค้นคว้าด้วย เธอใช้เวลาในการแปลหนังสือดอนกิโฆเต้ทั้งหมดถึงกว่า 4 ปีทีเดียว ด้วยงานชิ้นเอกของผู้เขียนคือ 'มิเกล์ เด เซร์บันเตส ซาเบดฺร้า' ชิ้นนี้เปรียบได้กับการเปิดหีบ ที่จะเจอหีบซ้อนใบแล้วใบเล่าไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ

รศ.ดร.วัลยา กล่าวว่า แม้เธอจะมีประสบการณ์ด้านการแปลและบรรณาธิการมานับสิบปี ทว่า เรื่องนี้ก็เป็นภาษาสเปน ไม่ใช่ภาษาฝรั่งเศสที่ตนเองถนัด บริบทบางอย่างจึงอยู่นอกเหนือความเข้าใจของบก. จึงต้องมีการตีความร่วมกันระหว่างบก. กับผู้แปล เพราะหากบก.ต้นฉบับกับคนแปลต่างคนต่างทำงานแล้วจะลำบาก งานนี้บก. จึงทำงานคนเดียวไม่ได้

“ทำงานกับอาจารย์วัลยา 6 เดือน ทุกวันเช้าสายบ่ายเย็น บางครั้ง 4 ทุ่มยังไม่กลับบ้าน เลยต้องกินนอนที่บ้านอาจารย์กัลยา” ผศ.สว่างวันเล่าย้อนให้ฟัง

อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่เคยอ่านต้นฉบับภาษาสเปนหนังสือเรื่องนี้มาก่อน หากเมื่อลองได้อ่านงานแปลของผศ.สว่างวันก็ทำให้รศ.ดร.วัลยา เห็นภาพพจน์ “ดิฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่างานวรรณคดีเอกชิ้นนี้จะเป็นงานชวนหัว งานเล่มนี้รวมศิลปะการประพันธ์ทุกประเภทที่หาได้ในงานประพันธ์ งานแปลเรื่องนี้ผู้แปลคือผศ.สว่างวันได้ถ่ายทอดกลวิธีและอรรถรสของผู้ประพันธ์มาอย่างครบถ้วน”

ผศ.สว่างวัน กล่าวว่า สาส์นที่ผู้เขียนส่งผ่านมาในนวนิยายเรื่องนี้ก็คือ ‘คุณธรรม’ ทางด้านศิลปะการประพันธ์งานเขียนเรื่องนี้ก็โดดเด่น เพราะนักเขียนจำนวนทั้งหมด 100 คน จาก 54 ประเทศ ได้เลือกหนังสือดอนกิโฆเต้ฯ เป็นผลงานเขียนที่สำคัญที่สุดในโลกวรรณกรรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 1 ใน 3 ของจำนวนนี้มีนักเขียนรางวัลโนเบลชื่อดังอย่างเช่น วี.เอส. ไนพอล ฯลฯ รวมอยู่ด้วย

ใช่เพียงแต่การแปลที่ต้องทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ และกำลังสมองเท่านั้น ด้านการจัดทำรูปเล่ม สำนักพิมพ์ก็ให้ความสำคัญจัดทำอย่างประณีต ซึ่งในนิทรรศการครั้งนี้จะมีการจัดแสดงหนังสือปกหนังที่จัดทำพร้อมเล่มที่คัดเลือกไว้เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายกษัตริย์ 2 เล่ม วัสดุอุปกรณ์ในการผลิตหนังสือฉบับภาษาไทยเล่มสำคัญ 2 เล่ม เหรียญกษาปณ์ชนิดต่างๆ แสตมป์ และโปสเตอร์ รูปดอนกิโฆเต้ฯ และเซร์บันเตส รวมทั้งหนังสือดอนกิโฆเต้ฯ แบบโบราณ และฉบับภาษาต่างๆ

วิกรัย จาระนัย ผู้จัดการสำนักพิมพ์ผีเสื้อ หนึ่งในทีมออกแบบปกและรูปเล่มของหนังสือ ‘ดอนกิโฆเต้ฯ’ กล่าวว่า ทางทีมออกแบบยึดคอนเซ็ปต์การจัดรูปเล่มตามแบบของสำนักพิมพ์ผีเสื้อ ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ทำลายต้นฉบับเดิม ทั้งหมดจึงต้องทำการบ้านโดยหาข้อมูลอย่างหนัก โดยมีมกุฎ อรดี เป็นดังแม่ทัพและมันสมองคอยแนะนำทิศทางการออกแบบหนังสือ

ปกหนังสือ ‘ดอนกิโฆเต้ฯ’  ในการดำเนินงานจัดพิมพ์ภาษาไทยครั้งแรกนี้ ทางสำนักพิมพ์ได้ขึ้นรูปเล่มหนังสือจริงจำนวน 11 เล่ม มีขนาด 8 หน้ายก ปกหนังแท้ ดุนลายนูน เขียนสี ปิดทอง โดยส่งมอบให้รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรสเปน 2 เล่ม และเล่มตัวอย่างจำนวน 9 เล่ม เพื่อเก็บรักษาไว้เป็นประวัติศาสตร์การพิมพ์หนังสือแปลในประเทศไทยและเป็นสมบัติของชาติ โดยสำนักพิมพ์ผีเสื้อได้คัดเลือกปกหนังสือในรูปแบบเดียวกับฉบับพิมพ์ครั้งแรกของสเปน ที่มกุฎถือว่าเป็นศูนย์กลางการทำหนังสือของโลกมาตั้งแต่ในประวัติศาสตร์

“ทุกวันนี้จะมีเทคโนโลยีการใช้ความร้อน แต่เจอปัญหาว่าขนาดของบล็อกใหญ่กว่าเครื่อง ความร้อนกระจายไม่พอ เราก็เลยต้องแก้ปัญหาโดยการตั้งเตาถ่านกันเอง เหมือนปิ้งย่างอาหารนี่แหละครับ แล้วก็เอาบล็อกไปวางในนั้นให้ได้ความร้อนมากพอที่จะทำให้หนังเกิดลาย แล้วเราก็ต้องรีบจับขึ้นมาทับลงบนหนัง แล้วก็ใช้เครื่องอัด ซึ่งความร้อนอัดนานไปก็ไม่ได้ ตอนแรกเราคิดว่าอัดนานน่าจะดี เพราะเกิดลายชัดเจน มันก็ชัดจริงแต่แกะหนังไม่ออก เพราะความร้อนระบายได้ไว พอลอกออกมาผิวหนังมันแตก ล่อนออกไปแล้วไปติดที่บล็อกทำให้มีปัญหาผิวไม่เรียบ” วิกรัยเล่าปัญหาที่ทางทีมงานเจอระหว่างการทำปกและรูปเล่มด้วยการใช้วิธีลนไฟตามแบบโบราณ ซึ่งต้องใช้หนังควายไปถึงกว่า 5 ตัวทีเดียว

“ด้วยความที่เป็นหนังสัตว์ ผิวจะไม่เรียบเหมือนวัตถุที่เราสังเคราะห์ขึ้น บางทีเราปั๊มไปโดนเจอผิวที่เป็นรอยตำหนิตามธรรมชาติ ถ้าดูแล้วไม่สวยเราก็เอาออก ตัวหนึ่งก็ตัดได้ 2-3 เล่ม แล้วแต่ขนาดตัว ตัวใหญ่หน่อยก็ได้ 4 เล่ม ตัวเล็กหน่อยก็ตัดได้น้อยลง” แต่ถึงแม้จะลำบากยากเย็นยังไง วิกรัยยอมรับว่าผลงานชิ้นนี้นับเป็นงานมาสเตอร์พีซ ของคณะทำงานออกแบบรูปเล่ม ‘ดอนกิโฆเต้ฯ’ ที่ทุกคนภาคภูมิใจ

ภาพประกอบหายากจากปารีส

ผลงานชิ้นเอกอย่างหนังสือดอนกิโฆเต้ฯ นี้ มิเพียงเป็นความร่วมมือและแสดงมิตรไมตรีระหว่าง 2 ราชอาณาจักรอย่างไทยและสเปนเท่านั้น แต่ยังมีบุคคลในแวดวงวรรณกรรมระดับชาติอีกมากมายที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้

หนึ่งในนั้น คือ อดีตบรรณาธิการชาวฝรั่งเศสวัย 81 ปี นาม ‘ปอล แวงซอง’ ที่ได้รับการประกาศแต่งตั้งจากสำนักพิมพ์ผีเสื้อให้เป็นบรรณาธิการอาวุโสและยกย่องว่าเป็น ‘อัศวินแห่งศตวรรษในวงการหนังสือ’

มกุฎ อรดี บก.สำนักพิมพ์ผีเสื้อ กล่าวถึงที่มาในการยกย่องแก่ปอล แวงซอง ในการจัดงานครั้งนี้ว่า เนื่องจากมีหนังสือสำคัญเกี่ยวกับดอนกีโฆเต้อยู่หนึ่งเล่มที่ทั่วโลกให้การยอมรับในภาพประกอบ ฝีมือการวาดภาพของกุสตาฟ ดอเร่ ซึ่งทางสำนักพิมพ์ผีเสื้อเองมีเพียงภาพประกอบท่อนแรกของหนังสือทั้งสองเล่ม ปรากฏว่าฉบับพิมพ์เป็นภาษาอื่นๆ นั้นไม่เคยมีฉบับไหนที่ได้รูปประกอบที่ชัดเจน แม้กระทั่งฉบับพิมพ์ล่าสุดของสำนักพิมพ์อังกฤษเองก็ตาม

“ตอนที่เราทำหนังสือเราเองก็ยังคิดไม่ออกว่าจะใช้เวอร์ชั่นไหนดี เพราะมันมีหลายเวอร์ชั่นมาก แต่ละเวอร์ชั่นที่เราพอจะหาได้ก็ไม่ครบทั้งนั้น ขาดไปบางบทบ้าง ทีนี้ทำอย่างไรล่ะ เราก็พยายามนั่งคิดกระทั่งในที่สุดมีศิลปินของเราคนหนึ่งคืออาจารย์อภิชัย (วิจิตรปิยกุล) บอกว่า ‘ผมเคยเก็บภาพของดอเร่ที่เขียนถึงดอนกิโฆเต้เป็นการรวมภาพทั้งหมดในชุดแรกไว้’ ก่อนหน้าที่เราจะทำหนังสือเกือบ 20 ปี ผมก็เลยขอภาพเขามาก๊อปปี้ ทีแรกคิดว่าจะก๊อปปี้เฉยๆ แต่ท้ายที่สุดก็ต้องเอามาตัดออกเป็นชิ้นๆ เพราะว่ามันเอามาแสกนไม่ได้ หนังสือมันแบะออกไม่ได้ พอได้รูปมาก็ดีใจเพราะได้รูปประกอบของดอเร่ที่ชัดกว่าฉบับอื่นๆ”

หลังจากนั้น เมื่อจะจัดงานนี้ขึ้นทางสำนักพิมพ์จึงได้ติดต่อไปยังปอล แวงซอง ให้ช่วยจัดหาต้นฉบับที่เป็นรูปประกอบของดอเร่จริงๆ “คุณปอลแกอายุ 81 แล้ว แต่ก็ยังอุตส่าห์หาให้ด้วยความวิริยะอุตสาหะ ไม่เพียงเท่านั้นก็คือขนเอาเล่มที่สองมาด้วย ซึ่งเรากำลังปวดหัวอยู่ว่าจะทำอย่างไร ในอนาคตที่จะพิมพ์เล่มสองยังหารูปประกอบของดอเร่ไม่ได้เลย ซึ่งหายากมากเพราะตั้ง 150 ปีแล้ว มันก็หายากเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นตอนนี้เราก็สบายใจว่าคนแปลยังแปลต้นฉบับเล่มที่สองไม่เสร็จ แต่มีรูปประกอบรออยู่แล้ว รูปเล่มทั้งหลายเสร็จหมด เพราะฉะนั้นก็ไม่กังวลอีกแล้ว”

ทางด้านปอล แวงซอง เล่าถึงการค้นหาต้นฉบับหนังสือดอนกีโฆเต้ที่เป็นภาพประกอบของดอเร่ให้ฟังว่า เขาต้องไปตามหาถึง 4 ครั้งกว่าจะเจอ แต่ปอลก็กล่าวติดตลกว่านับว่าเป็นโชคดีของเขาที่ใช้เวลาหาแค่ 4 ครั้ง เพราะอาจจะต้องหานานกว่านั้นก็ได้ โดยปอลเริ่มตามหาจากการตระเวนตามย่านร้านขายหนังสือเก่าในกรุงปารีส จนกระทั่งในที่สุดก็พบหนังสือดอนกิโฆเต้ฉบับภาษาฝรั่งเศส (พิมพ์ครั้งแรก) ที่มีภาพประกอบของกุสตาฟ ดอเร่

“หนังสือดอนกิโฆเต้สองเล่ม รวมกันหนักถึง 25 กิโลกรัม แถมวันนั้นฝนก็ตก ผมจึงต้องหารถเข็นมาบรรทุกหนังสือพร้อมกับร่มเพื่อไม่ให้หนังสือเปียก ส่วนตัวผมเองนั้นเปียกก็ไม่เป็นไร จากนั้นผมต้องบอกทางเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีสว่าให้ช่วยประสานกับทางสายการบินไม่ให้ปรับน้ำหนักที่เกินมา เลยโชคดีได้อานิสงค์อัพเกรดตั๋วเครื่องบินจากชั้นประหยัดมาเป็นที่นั่งชั้นเฟิสต์คลาส” อดีตบรรณาธิการอาวุโสชาวฝรั่งเศสกล่าวพร้อมเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของผู้ฟัง

บก.สำนักพิมพ์ผีเสื้ออธิบายว่า ก่อนหน้านี้ทางปอลก็ได้ช่วยเหลือหลายอย่าง ทั้งเรื่องลิขสิทธิ์ การติดต่อสำนักพิมพ์หรือนักเขียนในฝรั่งเศสที่เขาช่วยเป็นธุระให้หลายต่อหลายครั้ง หลังจากเขาเดินทางมาพร้อมหนังสือภาพประกอบต้นฉบับแล้ว ทางสำนักพิมพ์ผีเสื้อจึงคิดที่จะตอบแทนน้ำใจมิตรชาวฝรั่งเศสผู้นี้

“แกไม่เคยคิดค่าตอบแทนอะไรจากเราเลย นอกจากความสุขที่จะได้จากการทำงานอย่างนี้ เพราะฉะนั้น คนอย่างนี้ผมถือว่าเขาก็มีอุปนิสัยเหมือนอย่างดอนกีโฆเต้นั่นเอง ก็คืออยากช่วยเหลือคนอื่น อยากทำสิ่งที่ดี เราไม่เคยยกย่องบรรณาธิการอาวุโสหรือบรรณาธิการคนไหนออกนอกหน้าอย่างนี้ เหตุเพราะว่าแกเป็นคนต่างชาติด้วย ฉะนั้น เมื่อคนต่างชาติปฏิบัติต่อเราดีถึงขนาดนี้ แล้วเขามาประเทศเราด้วย เราก็ควรจะยกย่องเทิดทูนเขาเป็นเรื่องเป็นราว ผมถือว่าคุณปอลเป็นปะหนึ่งทูตทางวัฒนธรรม”

ปัจจุบันนี้ ปอล แวงซอง เป็นพลเมืองเกษียณอายุชาวฝรั่งเศส เขาจึงไม่ต้องรับผิดชอบหน้าที่การงานใดแล้ว หากก็ยังเต็มอกเต็มใจช่วยเหลือสำนักพิมพ์เล็กๆ ในต่างแดนให้ได้มีโอกาสตีพิมพ์งานวรรณกรรมที่มีคุณภาพจากภาษาฝรั่งเศสเผยแพร่ต่อไปทั่วโลก

อุดมคติของดอนกิโฆเต้กับสังคมไทย

การปรากฏของหนังสือ ดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่าฯ ฉบับภาษาไทยนี้ แม้อาจจะล่าช้ากว่าอีกหลายประเทศ แต่ทางด้านความประณีตสมบูรณ์ของการแปลและรูปเล่มนั้น มิเป็นรองชาติใดเลย

“เราอยากจะบอกว่าหนังสือวิเศษอย่างนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพิมพ์ออกมาได้ ประการหนึ่ง ความขัดข้องทางภาษา มีคนที่รู้ภาษาสเปนเพียงไม่กี่คนในประเทศไทยที่รู้ดี แต่ปัญหาข้อใหญ่ใจความก็คือ หนังสือเล่มนี้มันเป็นหนังสือเมื่อ 400 ที่แล้ว ซึ่งตรงกับสมัยพระนเรศวร เพราะฉะนั้นคุณจะถอดความอย่างไรให้คนในสมัยนี้อ่านได้ มันก็เป็นเรื่องยาก เพราะฉะนั้น การทำงานนี้จึงเป็นเรื่องลำบาก เมื่อพิมพ์ออกไปแล้วด้วยโอกาสที่กษัตริย์สเปนอยากถวายหนังสือให้ในหลวง ก็อยากให้คนไทยได้อ่านกันเยอะๆ เพราะทั่วโลกเขาอ่านกันไปหมดแล้ว 84 ประเทศแล้วที่แปลเป็นภาษาของตัวเองจากภาษาสเปน แต่ประเทศที่แปลจากภาษาอังกฤษเรายังไม่ได้นับ มันคงมีเป็นร้อยๆ ประเทศ ประเทศไทยนี้หลังสุด เวียดนามเขาแปลก่อนเราตั้ง 30 ปี เมื่อปี 1976”

ถามถึงผลตอบรับจากนักอ่านในรอบปีที่ผ่านมา ที่มีต่อหนังสือคลาสสิคเล่มหนา ราคาเฉียดพัน มกุฎกล่าวว่า “สำหรับหนังสือหนาขนาดนี้ ราคาค่อนข้างแพง เหตุเพราะว่ามันมีเงื่อนไขที่ทำมาตั้งแต่ต้น ที่เป็นปกแข็ง รูปเล่มขนาดมันบังคับ เรายังทำปกอ่อนไม่ได้ในขณะนี้ เพราะว่ายังหาวิธีไม่ลงตัวว่าจะย่อยังไง ต้นทุนการผลิตที่สูงทำให้ราคามันค่อนข้างแพง หนังสือมันหนา จำนวนจำหน่ายขนาดนี้ก็นับว่าน่าพอใจ” อย่างไรก็ตาม บก.ผีเสื้อบอกว่า ทางสำนักพิมพ์ไม่มีแนวคิดจะลดคุณภาพกระดาษเพื่อให้ต้นทุนการผลิตหนังสือราคาถูกลงโดยใช้กระดาษปรู๊ฟ เนื่องจาก มีการศึกษาว่ากระดาษปรู๊ฟนั้นไม่เหมาะต่อการอ่านหนังสือของเด็ก

“เราเคยศึกษาเรื่องกระดาษมานาน เรารู้ว่าสำหรับเด็กอายุน้อยๆ ไม่ควรใช้กระดาษปรู๊ฟมาก เพราะมันมีฝุ่นกระดาษ ถ้าหากเด็กเป็นภูมิแพ้ได้ไปเจอฝุ่นกระดาษเข้าก็จะอันตราย เพราะฉะนั้น หนังสือสำหรับเด็กเขาจะไม่เลือกกระดาษปรู๊ฟ ยิ่งเด็กเล็กเท่าไหร่ยิ่งไม่ควรใช้กระดาษปรู๊ฟ แล้วอีกอย่างหนึ่งคือกระดาษปรู๊ฟมันไม่ถูกสตางค์ลงไปเท่าไหร่หรอกครับ เราพิมพ์ให้มันอยู่ได้นานดีกว่า”

ในฐานะบรรณาธิการ มกุฎกล่าวว่าเขาไม่อาจหวังอะไรได้มากถึงผลตอบรับต่อหนังสือแปลเล่มนี้ เขายอมรับว่าเป็นเรื่องพูดยากว่าหนังสือดอนกิโฆเต้ฯ จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรในวงวรรณกรรมไทยหรือไม่ ต้องรอดูต่อไปในอนาคต “ผมหวังว่า หอสมุดแห่งชาติจะเป็นที่นัดพบในเรื่องหนังสือได้มากขึ้นในอนาคต อย่างน้อยที่สุดวันนี้ทูต 3-4 ประเทศมาก็ชมว่าเป็นงานที่ดี นั่นหมายความว่า เรามีแหล่ง มีสถานที่ มีทรัพยากรพร้อมที่จะจัดงานเรื่องหนังสือโดยไม่ต้องไปเสียเงินจัดงานในโรงแรมมากมาย ต่อไปผมหวังว่าคุณเดินมาห้องสมุดในเวลาบ่าย คุณก็จะเห็นว่ามีกิจกรรมจัดทุกวันเลย เพราะหนังสือในเมืองไทยมันก็ออกมาเรื่อยๆ”

เคยมีคำกล่าวไว้ว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตเราควรมีโอกาสได้ไปชมนครวัดก่อนตาย หากมกุฎ อรดี แห่งสำนักพิมพ์ผีเสื้อผู้เป็นบรรณาธิการร่วมของหนังสือเล่มนี้ กลับบอกว่า “ในชั่วชีวิตหนึ่ง หากแม้นสวรรค์ทรงอนุญาตให้อ่านหนังสือได้เพียงเล่มเดียว จงเลือกเล่มนี้เถิด ชีวิตจักไม่ตายเปล่าแน่แท้!” บก.สำนักพิมพ์ผีเสื้อยังเชื่อมั่นว่า ‘ดอนกิโฆเต้’ ไม่มีวันตาย

“สังคมไม่ว่าจะอีกกี่สิบกี่ร้อยปีข้างหน้าจะต้องมีคนอย่างนี้อยู่ คุณหาเถอะ คุณมองดู ในสังคมปัจจุบันจะต้องมีคนอย่างนี้อยู่ ไม่อย่างนั้นบรรยากาศคงจะแย่ถ้าหากทุกคนเห็นแก่ตัว ทุกคนเห็นแก่ได้ ทุกคนหวังประโยชน์ ทุกคนโกง ส่วนตัวผมคิดว่าอุดมคติของดอนกิโฆเต้ไม่มีวันล้าสมัยเลย”

**หมายเหตุ นิทรรศการหนังสือ ดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่าฯ 'นวนิยายที่กษัตริย์ทรงมอบแก่กษัตริย์' จะมีไปถึงวันเสาร์ที่ 10 มีนาคม 2550 ณ ห้องโถง หอประชุมใหญ่ หอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี ถนนสามเสน กรุงเทพฯ






ปอล แวงซอง




กำลังโหลดความคิดเห็น