หากจะเกริ่นคำว่า “นักกิจกรรมบำบัด” ออกมา คงไม่แปลกนักถ้าจะนำชื่อนี้ไปถามใครต่อใครแล้วหลายต่อหลายคนก็ต่างพากันส่ายหน้าพร้อมปฏิเสธว่าไม่รู้จัก หรือแทบจะไม่เคยได้ยินเสียด้วยซ้ำ นั่นคงเป็นเพราะในบ้านเรามักคุ้นเคยกับ “นักกายภาพบำบัด” กันเสียส่วนใหญ่ ซึ่งฟังๆไปแล้วทั้งสองชื่อนี้ก็ดูละม้ายคล้ายคลึงกันอยู่ในที ทว่า หากลองสืบสาวเท้าความกันให้ดีจะเป็นอันกระจ่างว่า มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ที่สำคัญคือ นักกิจกรรมบำบัดเป็นบุคลากรที่ทั่วโลกจะขาดไปเสียมิได้ แต่เป็นที่น่าแปลกใจมากในประเทศที่กำลังจะพัฒนาไปสู่ความเป็นสากลอย่างประเทศไทยมีนักกิจกรรมบำบัดแค่ 450 คน ซึ่งถือว่ายังขาดแคลนอยู่อีกมาก
**มารู้จักกับ “นักกิจกรรมบำบัด”
ทุกครั้งที่เราเดินเข้าออกตามโรงพยาบาลในแผนกฟื้นฟูสภาพร่างกายผู้ป่วย เรามักจะเหมารวมเอาว่าเจ้าหน้าที่ที่ทำการรักษาแก่คนไข้คือนักกายภาพบำบัด แต่ถ้าลองสังเกตที่หน้าอกด้านซ้ายของเสื้อกาวน์นั้นจะพบว่ามีตัวหนังสือที่บ่งบอกตำแหน่งเขาหรือเธอเหล่านั้นด้วยคำว่านักกายภาพบำบัดหรือมีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Occupational Therapy
ทั้งนี้ เมื่อ 20 กว่าปีก่อนอาชีพนักกิจกรรมบำบัดได้เริ่มเข้ามาในไทยโดยก่อตัวขึ้นภายใต้การขับเคลื่อนของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นที่แรกและดำเนินการเรื่อยมา ทว่าใจกลางเมืองอย่างกรุงเทพฯกลับยังไม่มีมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาใดทำการเปิดสอนอย่างจริงจัง จนล่าสุดมหาวิทยาลัยมหิดลซึ่งมีชื่อเสียงทางด้านสถาบันการศึกษาทางการแพทย์ได้เริ่มปะติดปะต่อแนวคิดและกำลังจัดตั้งสาขานักกิจกรรมบำบัดอีกเป็นแห่งที่สองของประเทศไทย
ดร.ศุภลักษณ์ เข็มทอง กลุ่มสาขาวิชากิจกรรมบำบัด คณะกายภาพบำบัดและวิทยาศาสตร์การเคลื่อนไหวประยุกต์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ขยายความของนักกิจกรรมบำบัด ว่าเป็นวิชาชีพที่ยังไม่เป็นที่รู้จักในประเทศไทยมากนัก แต่หากอยู่ในต่างประเทศซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศที่ได้รับการพัฒนาแล้วนั้น นักกิจกรรมบำบัดได้กลายเป็นส่วนสำคัญในการดูแลและช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพของผู้ป่วย รวมทั้งเป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลาย ขณะเดียวกันคนไทยมักเข้าใจผิดคิดว่านักกิจกรรมบำบัดกับนักกายภาพบำบัดเป็นคนคนเดียวกันเพราะทำงานในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน แต่ในความเหมือนนั้นมีความแตกต่างในการปฏิบัติงานมาก
หากมองโดยภาพรวมในสาขานักกายภาพบำบัดเน้นในการฟื้นฟูผู้ป่วยที่มีความบกพร่องด้านการช่วยเหลือตัวเอง อาทิ ผู้ป่วยอัมพาต เป็นต้น โดยเข้าไปดูแลให้คนไข้สามารถใช้กล้ามเนื้อแขน ขา ให้ทำงานได้เกือบเป็นปกติ เพราะในความเป็นจริงผู้ที่ป่วยด้วยโรคดังกล่าวคงไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตหรือหายขาดจากโรคที่เป็นได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
ในขณะที่นักกิจกรรมบำบัดจะลงลึกในรายละเอียดมากกว่านั้นคือ เมื่อคนไข้สามารถยกแขนหรือใช้กล้ามเนื้อที่เป็นชิ้นส่วนใหญ่ๆได้แล้ว ยังต้องทำให้อวัยวะส่วนนั้นสามารถใช้ดำเนินชีวิตประจำวันได้ เช่น การสวมใส่เสื้อผ้า รับประทานอาหารได้ด้วยตนเอง หรือแม้กระทั่งการหัดเขียนหนังสือหรือลงมือประกอบอาหารเอง แต่หากจะให้การรักษาได้ผลดีทั้งนักกิจกรรมบำบัด นักกายภาพบำบัด และแพทย์ต้องร่วมมือกันทำงานเป็นทีมเพราะแต่ละคนก็เชี่ยวชาญกันไปคนละด้าน
“นักกิจกรรมบำบัดจะฝึกให้ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้โดยเน้น 4 พื้นฐานในการดำเนินชีวิตหลักๆคือ 1. กิจวัตรประจำวัน 2. เรียนหรือทำงาน 3.ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ 4. การพักผ่อน ผู้ป่วยที่เข้ามาบำบัดจะต้องสามารถทำทุกข้อที่ว่ามานั้นได้ ซึ่งการรักษาคนไข้ต้องมีการวางแผนร่วมกันระหว่างคนไข้ นักกิจกรรมบำบัดและญาติของคนไข้ด้วย ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญมาก ในเมืองนอกนักกิจกรรมบำบัดไม่ใช่ทำงานอยู่แต่ในคลินิกอย่างเดียวต้องหมั่นออกไปพบปะและติดตามอาการคนไข้ทั้งที่บ้านและโรงเรียนหรือที่ทำงานด้วย”
นักกิจกรรมบำบัดไม่ได้มีบทบาทเฉพาะฟื้นฟูผู้ป่วยที่ไม่สามารถพึ่งพาตนเองทางร่างกายได้เท่านั้น ยังรวมไปถึงการบำบัดสภาพจิตใจไปพร้อมกันด้วย ซึ่งครอบคลุมคนไข้ 4 ประเภทคือ หย่อนสมรรถภาพทางร่างกาย,จิตเวช,เด็กที่มีอาการทางสมองหรือออทิสติกและผู้สูงอายุ อย่างไรก็ตามในเมืองนอกนักกิจกรรมบำบัดไม่เพียงแต่ประกอบอาชีพตามคลินิกหรือโรงพยาบาลเพื่อรักษาคนไข้เท่านั้น ตามสถานศึกษายังได้นำนักกิจกรรมบำบัดไปช่วยสร้างกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างสมรรถภาพการเรียนของนักเรียนโดยเฉพาะเด็กระดับอนุบาล
“ที่ผ่านมานักกิจกรรมบำบัดในไทยเคยลงพื้นที่ทำงานให้สังคมมาพอสมควร อย่างเช่นตอนเหตุการณ์สึนามิได้ทำงานร่วมกับองค์กรนักกิจกรรมบำบัดของโลกเข้าไปช่วยบำบัดจิตใจผู้ประสบภัย แต่หลายคนก็ยังไม่ค่อยรู้จักเรา เข้าใจผิดว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านอื่นแทน ทั้งๆที่ในไทยได้เริ่มก่อตั้งมา 20 กว่าปีแล้ว” ดร.ศุภลักษณ์บอก
**ตามติดผลลัพธ์กิจกรรมบำบัด
ดังที่ได้กล่าวไปว่าการบำบัดตามแนวทางของนักกิจกรรมบำบัดนั้นสามารถรักษาคนไข้ที่มีความบกพร่องทางร่างกายอันเป็นสาเหตุมาจากหลายโรคและ “ออทิสติก” ภัยเงียบที่มักแฝงตัวอยู่กับเด็กๆนั้น นักกิจกรรมบำบัดกลายเป็นบุคคลสำคัญที่สามารถบำบัดโรคนี้จนให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตแทบจะเหมือนเด็กปกติทั่วไปได้
ในกรณีนี้ยุวรรณอีกหนึ่งคุณแม่ที่มีลูกเป็นออทิสติกเล่าว่า เธอพบว่าลูกชายตัวเองเป็นออทิสติกเมื่อตอนเขาอายุได้ 2 ขวบเพราะสังเกตเห็นอาการผิดปกติหลายอย่าง ซึ่งหลังจากพาลูกไปตรวจและได้รับคำยืนยันจากแพทย์แน่นอนแล้วจึงได้ลาออกจากงานหันมาให้ความสำคัญและใส่ใจกับลูกมากขึ้น โดยเริ่มจากพาไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่โรงพยาบาลรามาธิบดี แต่ในขั้นต้นยังไม่ได้รับคำตอบใดๆ จึงพาไปที่โรงพยาบาลยุวประสาทแต่ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ สุดท้ายต้องนำกลับมารักษาที่เดิม
ในเบื้องต้นเนื่องจากลูกชายมีปัญหาเรื่องการพูด การออกเสียง แพทย์จึงค่อยๆทำการรักษา กระทั่งลูกชายอายุได้ 3 ขวบ แพทย์จึงแนะนำให้นำลูกไปรับการบำบัดกับนักกิจกรรมบำบัด หลังจากนั้นอาจารย์ที่ทำการรักษาได้แนะนำให้นำลูกเข้าโรงเรียนโดยให้เรียนกับเด็กปกติ แต่ให้เน้นโรงเรียนที่มีคนเรียนน้อยเพื่อให้เด็กได้ค่อยๆปรับตัว รวมทั้งไม่ให้บอกกับทางโรงเรียนว่าลูกเป็นออทิสติกด้วยเกรงว่าจะเป็นการไปกดดันเด็ก พร้อมกันนั้นก็ฝึกพูดไปเรื่อยๆ ทั้งนี้ขั้นตอนการรักษานั้นทางนักกิจกรรมบำบัดได้ให้ผู้ปกครองเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย และให้คำแนะนำเพื่อนำไปฝึกให้ลูกเองที่บ้าน
เชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนที่มีลูกป่วยเป็นออทิสติกคงเข้าอกเข้าใจสภาพปัญหานี้ได้ดีซึ่งยุวรรณบอกว่ากำลังใจสำหรับพ่อแม่เป็นเรื่องสำคัญ รวมทั้งมีความอดทนเป็นที่ตั้งเพราะออทิสติกต้องใช้ระยะเวลาในการบำบัดรักษานานมาก บางครั้งถึงขั้นท้อแท้ เห็นหลายคนเป็นแบบนี้จนเลิกพาลูกไปบำบัดเพราะคิดว่าทำอย่างไรก็ไม่หายเป็นปกติได้ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดๆ
ส่วนสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือพ่อแม่ต้องอยู่ใกล้ชิดลูก และเป็นผู้ฝึกสอนเขาได้ดีที่สุด สำหรับลูกชายของเธอนั้นปัญหาที่พบนอกจากเรื่องของการออกเสียงแล้ว ยังพบในเรื่องกล้ามเนื้อ เช่น หากเป็นวิชาพลศึกษาจะทำได้ไม่ดีนัก ในส่วนนี้เองนักกิจกรรมบำบัดได้เข้ามาช่วยเสริมทักษะให้ กระทั่งปัจจุบันสามารถดำเนินชีวิตในด้านที่ขาดแทบจะเป็นปกติ
“ช่วงวัย 2-5 ขวบ ถือเป็นช่วงโอกาสทองของเด็กที่เป็นออทิสติกที่พ่อแม่ควรรีบฉวยไว้เพราะเข้าสู่ช่วงที่เขาเปิดรับและพร้อมจะเรียนรู้มากที่สุด หากละเลยช่วงนี้ไปโอกาสที่เด็กจะมีการพัฒนาก็น้อยมากและอาจส่งผลให้เด็กมีอาการหนักกว่าเดิม อย่างลูกชายเราจะดูแลเขาใกล้ชิดตลอด พอรู้ว่าเขาเป็นก็ลาออกจากงานประจำเพื่อมาดูแลอย่างเต็มที่ จนปัจจุบันอายุ 10 ขวบแล้ว เห็นได้ชัดเลยว่าเขามีพัฒนาการแทบจะเหมือนเด็กปกติทุกอย่าง แม้กระทั่งเพื่อนๆหรือครูที่โรงเรียนยังไม่รู้ว่าเป็นออทิสติก”
“นั่นเพราะส่วนหนึ่งได้รับการบำบัดจากอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องกิจกรรมบำบัดโดยตรงเขาสอนให้เรารู้ว่าควรจะปฏิบัติกับเด็กกลุ่มนี้อย่างไรบ้างและสิ่งสำคัญคือทุกคนในครอบครัวต้องร่วมมือกัน เคยเห็นพ่อแม่บางคนอายที่ลูกเป็นแบบนี้แล้วให้พี่เลี้ยงเป็นคนพาลูกมาทำกิจกรรมบำบัดซึ่งตัวเองรู้สึกว่าใครก็สอนลูกไม่ดีเท่าตัวเราหรอก”
**ก้าวต่อไปของนักกิจกรรมบำบัดไทย
ดูเหมือนว่าศักยภาพของนักกิจกรรมบำบัดจะมีอยู่มากและถือเป็นอีกหนึ่งศาสตร์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ ทว่า ในเมืองไทยผู้ที่จะก้าวมายืนอยู่ในหน้าที่นี้ยังน้อยนัก
ประเด็นนี้อาจารย์อนุชาติ เขื่อนนิล กลุ่มวิชาสาขานักกิจกรรมบำบัด คณะกายภาพบำบัดและวิทยาศาสตร์การเคลื่อนไหวประยุกต์ มหาวิทยาลัยมหิดล บอกว่าขณะนี้ประเทศไทยมีนักกิจกรรมบำบัดทั้งสิ้น 450 คนซึ่งถือว่าน้อยมาก ทั้งที่สาขานี้ดำเนินการมาเป็นเวลากว่า 25 ปีโดยเริ่มเปิดตัวที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นแห่งแรก แต่ก็สามารถผลิตบุคลากรได้เพียง 40 คนต่อปีเท่านั้น อีกทั้งนักศึกษายังไม่มีข้อมูลเพียงพอ รวมไปถึงรัฐบาลก็ไม่มีทุนสนับสนุนแล้วเช่นกัน
“ปัจจุบันสาขานักกิจกรรมบำบัดมีใบประกอบโรคศิลป์รับรองแล้ว นั่นเป็นการรับประกันว่าผู้ที่จบวิชาชีพนี้ต้องได้เรียนพื้นฐานแพทย์มาทุกอย่างรวมทั้งมีพื้นฐานด้านคลินิกพอสมควร และเนื่องจากบุคลากรขาดแคลนจึงทำให้อาจารย์ผู้สอนขาดแคลนไปด้วย อีกทั้งผู้ที่จบใหม่ก็มักจะถูกเอกชนดูดกลืนกันไปมากและรัฐบาลก็ยังไม่เล็งเห็นถึงความสำคัญเท่าที่ควรเพราะทุนที่เคยได้ตอนนี้ก็ถูกตัดไปแล้ว”
ดังนั้น ด้วยเหตุผลที่ไม่เอื้ออำนวยหลายๆ ด้าน ทำให้ศาสตร์นี้กลายเป็นตัวเลือกปลายแถวสำหรับเด็กรุ่นใหม่ ท่ามกลางภาวะที่การศึกษาเป็นเรื่องที่ต้องแข่งขันกันสูงเช่นปัจจุบันนี้ ขณะเดียวกันศาสตร์นี้กำลังถูกผลักดันให้เป็นที่รู้จักกันมากขึ้น
รศ.ชนัตถ์ อาคมานนท์ รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะกายภาพบำบัดและวิทยาศาสตร์การเคลื่อนไหวประยุกต์ มหาวิทยาลัยมหิดล บอกว่าที่ผ่านมาหลายมหาวิทยาลัยได้พยายามที่จะเปิดหลักสูตรนี้แต่ด้วยความที่ประเทศไทยขาดแคลนบุคลากรโดยเฉพาะอาจารย์ผู้สอนซึ่งถือเป็นอุปสรรคที่สำคัญมาก จึงมีเพียงมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่เป็นแห่งแรกและแห่งเดียวอยู่ในขณะนี้ แต่ในขณะที่มหาวิทยาลัยมหิดลก็กำลังเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดหลักสูตรนักกิจกรรมบำบัด โดยได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่คอยเป็นพี่เลี้ยงให้ ซึ่งจะเริ่มเปิดภาคเรียนในปีการศึกษา 2551 สามารถรับนักศึกษาได้ปีละ 40 คน และการเตรียมการนี้ใช้เวลากว่า 7 ปี
สาขานี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ยังใหม่อยู่สำหรับเด็กไทย ดังนั้นหากคิดอีกแง่หนึ่งก็ถือเป็นทางเลือกและเป็นโอกาสที่ดีทีเดียว เพราะตลาดแรงงานก็ยังต้องการบุคลากรเป็นจำนวนมาก รับรองได้ว่าไม่มีปัญหาเรื่องการตกงาน แต่ทั้งนี้เนื่องจากยังใหม่อยู่ผู้เรียนจึงต้องเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้กับวิชาชีพนี้ ต้องกล้าที่จะท้าทาย สำหรับเรื่องทุนการศึกษาทางมหาวิทยาลัยมหิดลก็ได้พยายามหาทุนไว้รองรับให้เพียงพอต่อจำนวนผู้เรียน หากสนใจที่จะศึกษาด้านนี้จริงก็ไม่ต้องกังวลแต่อย่างใด
“อยากให้มองว่านี่เป็นเรื่องท้าทายสำหรับเด็กรุ่นใหม่ เราต้องกล้าลอง กล้าเปิดโอกาสให้ตัวเอง ทั้งนี้ก็ต้องทำใจด้วยว่าเนื่องจากมันยังใหม่อยู่ทั้งในวงการศึกษาและในประเทศเรา แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องจบแล้วไม่มีงานทำเพราะทั้งในภาครัฐและเอกชนยังต้องการนักกิจกรรมบำบัดอีกมาก รวมทั้งจำนวนคนไข้ด้วยโรคนี้ก็ต้องยอมรับว่ามีแนวโน้มเพิ่มจำนวนขึ้นอีกเช่นกัน” รศ.ชนัตถ์กล่าวทิ้งท้าย
*****************
เรื่อง....ศิริวรรณ โสภาระ