เคยสงสัยกันบ้างหรือไม่ว่าหลังจากที่ซูเปอร์สตาร์แห่งวงการกีฬา ดำเนินชีวิตมาถึงช่วงเวลาที่จำเป็นต้องยุติอาชีพอันเต็มไปด้วยเกียรติยศและชื่อเสียง เส้นทางต่อจากนั้นพวกเขาจะหันเหชีวิตตัวเองไปบนหนทางใด เพราะตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตของความเป็น “นักกีฬาอาชีพ” คร่ำเคร่งอยู่กับระเบียบวินัย และการฝึกซ้อมพร้อมลงทำการแข่งขันตลอดเวลา
เมื่อถึงเวลาปลดระวางมีนักกีฬาจำนวนไม่น้อยที่เลือกจะกลับสู่การใช้ชีวิตเรียบง่าย ในขณะที่บางรายผลักดันตัวเองสู่อาชีพที่ส่งให้ชีวิตพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง แต่ใช่ว่าความสมหวังจะเกิดขึ้นกับทุกคน บางรายนอกจากไม่ประสบความสำเร็จแล้ว ยังเดินหลงบนเส้นทางชีวิตใหม่จนหาป้ายยูเทิร์นไม่เจอ
จากผู้รับช่อมะกอกสู่ตำแหน่งเบื้องหลัง
ภายหลังการประกาศอำลาสนามแข่งขัน เหล่าบรรดาอดีตนักกีฬาทั้งหลายมักอยู่ในช่วงเวลาแห่งความเคว้งคว้าง เนื่องจากความเคยชินในอดีตที่คลุกคลีอยู่กับการฝึกซ้อมและการแข่งขันมาโดยตลอด จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ซูเปอร์สตาร์หลายรายยังคงวนเวียนอยู่ในแวดวงนักสู้ด้วยหน้าที่ต่างกันไป
อาชีพยอดนิยมของอดีตดาวดังของวงการกีฬาเลือกที่จะสานต่อความยิ่งใหญ่ของตนเอง เห็นจะหนีไม่พ้นตำแหน่งโค้ช ดังเช่น “จิมมี่ คอนเนอร์ส” ตำนานที่ยังมีชีวิตอยู่ของวงการเทนนิสอเมริกันวัย 53 ปี ที่ตัดสินใจกลับมาเป็นโค้ชให้กับ "เอ-ร็อด" แอนดี้ ร็อดดิก นักเทนนิสรุ่นหลาน ภายหลังการประกาศแขวนแร็กเกตในปี 1991 ซึ่งอดีตแชมป์แกรนด์สแลม 8 สมัย กล่าวถึงการทำหน้าที่ในครั้งนี้ว่า
"มันเป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับผม ที่จะได้ร่วมงานกับยอดนักเทนนิสในยุคปัจจุบันอย่าง ร็อดดิก ครั้งแรกที่ได้รับข้อเสนอยอมรับเลยว่าวันหนึ่งจะต้องมาทำหน้าที่โค้ช แต่มันไม่ยากเลยที่จะตัดสินใจ และผมคิดเพียงอย่างเดียวว่าทำอย่างไรให้เขาไปได้ไกลที่สุด"
ขณะที่นักหวดหนุ่มวัย 23 ปี ชาวอเมริกัน ก็ยอมรับว่ารู้สึกยินดีมากที่ตำนานนักเทนนิสอย่าง คอนเนอร์ส ตอบรับการมาทำงานร่วมกันในครั้งนี้
"ผมรู้ดีว่าเขาเป็นสุดยอดนักเทนนิส และก็รู้สึกเป็นเกียรติมากเมื่อเขาไม่ตอบปฏิเสธผม ตอนนี้ผมคิดว่าจะมีสิ่งดีๆ ผ่านเข้ามาแน่นอน เพราะประสบการณ์ของเขาจะช่วยให้ผมทำผลงานได้ดีขึ้น"
นอกจากจะกลับมาทำงานเป็นโค้ช แล้ว ยังมีอดีตนักกีฬาจำนวนมากเบนเข็มไปทำหน้าที่สื่อมวลชนในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ทำให้พวกเขายังได้คลุกคลีอยู่ในวงการกีฬาเช่นเดิมแถมบางรายยังมีทัศนะหรือบทวิเคราะห์เป็นที่เชื่อถือไปทั่วทั้งวงการอีกด้วย ดังเช่นตำแหน่งผู้บรรยายการแข่งขันทางโทรทัศน์ของ อลัน แฮนเซ่น อดีตกองหลังชื่อก้องของทีม "หงส์แดง" ที่สมัยเป็นนักเตะประสบความสำเร็จร่วมกับทีมสีแดงในเมืองลิเวอร์พูลมากมาย อาทิ แชมป์ฟุตบอลลีก 8 สมัยและยูโรเปี้ยนคัพ 3 สมัย
ซึ่งหลังจากแขวนสตั๊ดอำลาบทบาทนักกีฬาอาชีพในปี 1991 อดีตนักฟุตบอลเชื้อสายสกอต ก็ก้าวไปสู่อาชีพสื่อมวลชนโดยรับทำงานร่วมกับสถานีโทรทัศน์ชื่อดังของอังกฤษอย่าง สกายเทเลวิชั่น และ สำนักข่าวบีบีซี ทำหน้าที่บรรยายเกมฟุตบอลอังกฤษอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
เมื่อนักกีฬาหันมาเล่นการเมือง
เป็นที่ทราบกันดีว่าชื่อเสียงของนักกีฬาเมื่อครั้งสร้างผลงานบนสังเวียนนั้น เต็มไปด้วยเกียรติยศและความรักใคร่จากแฟนกีฬามากมายเพียงใด แน่นอนว่าความชื่นชมดังกล่าวสามารถส่งผลต่อเวทีการเมือง ส่งผลให้นักกีฬาจำนวนหนึ่งที่ประกาศรีไทร์ตัวเอง ทนกลิ่นเย้ายวนแห่งอำนาจและบารมีไม่ไหว เหล่านักสู้หลายรายจึงหันเหชีวิตตนเองมารับใช้ชาติในอีกบทบาทสำคัญ คือนักการเมือง
การก้าวเข้าสู่แวดวงการเมืองของนักกีฬามีให้เห็นมากราย แต่ที่โดดเด่นคงหนีไม่พ้นในรายของ จอร์จ เวอาห์ อดีตดาวยิงทีมชาติไลบีเรีย ที่สร้างเกียรติยศมากมายบนถนนลูกหนังกับหลายสโมสรบนแผ่นดินยุโรป
ในปี 1995 เวอาห์ ถือว่าประสบความสำเร็จในอาชีพนักฟุตบอลอย่างสูงสุด เมื่อสามารถคว้ารางวัลใหญ่ถึง 2 รางวัล คือ รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรป และ รางวัลนักยอดเยี่ยมแห่งปีของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า ระหว่างการค้าแข้งกับ "ปีศาจแดงดำ" เอซี มิลาน ในอิตาลี หลังจากนั้นยอดดาวเตะแห่งไลบีเรีย ก็ตระเวนค้าแข้งกับสโมสรดังในยุโรปอย่าง เชลซี, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ โอลิมปิก มาร์กเซย์ ก่อนจะไปปิดฉากนักฟุตบอลอาชีพกับสโมสร อัล จาซิร่า ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในปี 2001
ภายหลังการแขวนสตั๊ด เวอาห์ ก็ได้รับเชื้อเชิญให้เข้าร่วมงานกับองค์การยูนิเซฟ เพื่อช่วยเหลือเด็กๆ ในทวีปแอฟริกา ในปี 2004 และจากผลงานเก่าก่อนในอดีตทำให้อดีตยอดดาวเตะรายนี้ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากเด็กๆ และคนหนุ่มในไลบีเรียประเทศบ้านเกิด ซึ่งหลังจากทำงานกับ ยูนิเซฟ จนสร้างชื่อเสียงและเครดิตให้กับตัวเองในระดับที่เจ้าตัวพอใจ อดีตดาวยิง เอซี มิลาน ก็ประกาศตัวลงแข่งขันชิงตำแหน่งเก้าอี้ประธานาธิบดีไลบีเรีย ในปลายปี 2004 และมีคู่แข่งที่น่าเกรงขามอย่าง เอลเลน จอห์นสัน - เซอร์ลีฟ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสาวใหญ่วัย 66 ปี เป็นคู่แข่ง ก่อนที่สุดท้ายยอดนักกีฬาอย่าง เวอาห์ จะพ่ายแพ้ไปอย่างได้ลุ้นในการเลือกตั้งรอบ 2
อย่างไรก็ตามมีการวิเคราะห์กันว่าโอกาสของอดีตกองหน้าทีมชาติไลบีเรีย ในการตามล่าหาความฝันทางการเมืองนั้นยังเหลืออยู่อีกมาก เนื่องจาก เวอาห์ ยังคงมีโอกาสแก้ตัวในการเลือกตั้งครั้งต่อไปอยู่ดี เพราะเพิ่งจะมีอายุย่างเข้า 40 ต้นๆ เท่านั้น
ส่วนยอดนักกีฬาอีกรายของโลกที่ผันตัวสู่เวทีการเมือง คือ ชาร์ลส์ บาร์คลี่ย์ นักบาสเกตบอลอาชีพแห่งสหรัฐฯ ที่ใช้ชีวิตคลุกคลีกับวงการบาสฯ มะกันมายาวนานถึง 16 ปี อีกทั้งยังมีเกียรติประวัติในการถูกเสนอชื่อเข้าสู่ "ฮอล ออฟ เฟม" จากการที่เคยเป็นผู้เล่นของ ฟิลาเดลเฟีย เซเวนตี้ซิกเซอร์ส, ฟีนิกซ์ ซันส์ และฮุสตัน ร็อคเก็ตส์
ขณะที่การเริ่มต้นเข้าสู่แวดวงการเมืองของ บาร์คลี่ย์ เริ่มต้นขึ้นภายหลังการประกาศรีไทร์ พร้อมทั้งประกาศตัวตนที่แท้จริงว่ามีความใฝ่ฝันที่จะหันหน้าเข้าสู่ถนนการเมืองมานานแล้ว แต่ทว่าด้วยความอ่อนหัดขาดความจัดเจนบนเส้นทางสายใหม่ ทำให้อดีตสตาร์แห่งวงการเอ็นบีเอ พลาดท่า ด้วยการสมัครเป็นสมาชิกพรรครีพับลิกัน ที่กำลังอยู่ในสภาวะตกต่ำทางการเมือง และดำเนินนโยบายในลักษณะอนุรักษนิยม ซึ่งไม่ถูกใจกับคนอเมริกันยุคใหม่ และยังส่งผลร้ายให้ความนิยมในตัวอดีตผู้เล่นดรีมทีมยุคแรกร่วงหล่นตามลงด้วย
สุดท้าย "เซอร์ ชาร์ลส์" ต้องออกมากลืนน้ำลายตัวเอง หันเข้าไปร่วมงานกับพรรคเดโมแครตแทน พร้อมทั้งเรียกคะแนนนิยมกลับมาด้วยการลงขันบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากพายุเฮอริเคน "แคทรีนา"
“สำหรับผมแล้ว บาสเกตบอลคือสิ่งสำคัญในชีวิต แต่ก็ยังมีสิ่งที่สำคัญกว่าอยู่เช่นกัน ผมบริจาคเงิน 1 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อซื้อบ้านให้แก่เหยื่อผู้ประสบภัยจากเฮอริเคนนั่นเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกได้ว่ามันมีอะไรมากกว่าในสังเวียนบาสเกตบอล และผมก็ไม่ใช่ต้นแบบของใครด้วย เพราะครอบครัวของพวกคุณถือเป็นต้นแบบของตัวคุณเอง”
เป้าหมายของ บาร์คลี่ย์ ภายหลังการประกาศย้ายพรรคนั้นคือการทำงานการเมืองในรัฐอลาบามา ในปี 2010 ที่ถือเป็นบ้านเกิด โดยอดีตสตาร์ดังเชื่อว่าตัวเองสามารถทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้ในอีกบทบาทแน่นอน และได้กล่าวในการให้สัมภาษณ์ครั้งหนึ่งว่า
“ผมเชื่อมั่นว่าตัวเองสามารถทำอะไรได้มากกว่าเล่นบาสเกตบอล และต้องการทำให้ความเป็นอยู่ของประชาชนในบ้านเกิดดียิ่งขึ้น อะไรที่สามารถตัดสินใจได้ ผมจะทำมันให้ดีที่สุด”
ขณะที่ประเทศไทยก็มีนักกีฬาที่หันเหมาสู่อาชีพนักการเมืองเช่นกัน คือ พเยาว์ พูนธรัตน์ อดีตนักชกเหรียญทองแดงโอลิมปิกคนแรกของไทย ที่สามารถคว้าแชมป์มวยโลกรุ่นซูเปอร์ฟลายเวตของสภามวยโลก ดับเบิลยูบีซี มาครองได้ แล้วหันหลังให้วงการหมัดมวยก้าวสู่การเป็นนักการเมืองมืออาชีพ ด้วยการลงสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในปี 2544 ในนามพรรคประชาธิปัตย์
อย่างไรก็ตาม แม้บทบาททางการเมืองของ พเยาว์ จะไม่ได้โดดเด่นดังเช่นการเป็นนักชกระดับแชมเปี้ยน แต่บนเส้นทางการเมืองอดีตนักชกเหรียญรางวัลโอลิมปิกคนแรกของไทย ก็ไม่ได้สร้างรอยด่างให้กับเกียรติยศชื่อเสียงที่เคยสร้างไว้บนสังเวียนผ้าใบ แม้ว่าวันนี้อดีตฮีโร่อย่าง พเยาว์ จะจากไปอย่างสงบแล้วก็ตาม
นักแสดงบทพิสูจน์ฝีมือนักกีฬาบนแผ่นฟิล์ม
การหันเหจากนักกีฬาอาชีพมาสู่ความเป็นนักแสดงภายหลังก้าวลงจากสังเวียนกีฬานั้นแทบจะเป็นเรื่องปกติสำหรับนักกีฬาในเมืองไทย เพราะหากจะนับเฉพาะนักชกฝีมือดีที่มีงานแสดงทั้งหนังและละครก็มี 3 หมัด สะบัดไมค์ ที่ประกอบด้วย สามารถ พยัคฆ์อรุณ, สมรักษ์ คำสิงห์ และ เขาทราย แกแลคซี่ ที่ต่างก็มีดีกรีจากสังเวียนผ้าใบพ่วงท้ายกันมาทั้งสิ้น
ขณะที่ในวงการบันเทิงต่างประเทศก็ไม่น้อยหน้า นักกีฬาคนดังต่างพาเหรดก้าวเข้าสู่วงการมายามากมาย โดยเฉพาะในรายของซูเปอร์สตาร์ชาวฝรั่งเศสของทีม "ปีศาจแดง" อย่าง เอริก คันโตน่า ที่ถูกยกย่องให้เป็นนักเตะระดับตำนานของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุค 90 เพราะในช่วงระยะเวลา 5 ปี ที่ค้าแข้งอยู่กับสโมสรฟุตบอลแห่งโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด คันโตน่า สามารถนำพาถ้วยรางวัลมาสู่สโมสรมากมาย ก่อนจะประกาศแขวนสตั๊ดแบบช็อกโลกในวัย 31 ปี กับสโมสรแห่งนี้
ซึ่งภายหลังจากการอำลาทีมแบบกะทันหันนั้น คันโตน่า เปิดเผยว่าต้องการหาความท้าทายใหม่ๆ ในอาชีพนักแสดงดูบ้าง "ผมรู้ดีว่ามีหลายคนสงสัยในเรื่องการตัดสินใจเลิกอาชีพค้าแข้ง แต่ผมก็อยากลองทำงานด้านอื่นดูบ้าง เพื่อที่จะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ อยู่เสมอ"
เส้นทางสายภาพยนตร์ของ "ก็องโต้" เริ่มขึ้นในปี 1995 กับหนังฝรั่งเศสเล็กๆ ในบทตัวประกอบก่อนจะมาปรากฏตัวในภาพยนตร์คุณภาพอย่าง “อลิซาเบธ” ในปี 1998 ภายหลังการอำลาอาชีพค้าแข้งอย่างเต็มตัว จากนั้น "คิง เอริก" ของสาวกปีศาจแดงก็ออกหน้าบนแผ่นฟิล์มให้แฟนๆ ได้ชื่นชมเป็นระยะในภาพยนตร์ฝรั่งเศสอีกหลายเรื่องกระทั่งเรื่องสุดท้ายในปี 2005
แต่แม้จะมีผลงานบนแผ่นฟิล์มออกมารวมแล้วถึง 10 เรื่อง ในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา แต่ คันโตน่า ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากแฟนหนังมากนัก เนื่องจากบทบาทที่อดีตกองหน้าทีมปีศาจแดงได้รับนั้น มักจะหนักไปทางนักแสดงสมทบและมีบทพูดน้อย ในขณะที่ลีลาการแสดงของ ก็องโต้ เองจะเรียกว่าไร้ฝีมือก็ได้ จึงส่งผลให้ คันโตน่า กลับลำหันไปเล่นฟุตบอลชายหาดอย่างจริงจัง พร้อมกับนำทัพ ฝรั่งเศส คว้าแชมป์โลกฟุตบอลชายหาดในปี 2005
อย่างไรก็ตามเหรียญย่อมมี 2 ด้านเสมอ แม้สุดยอดนักเตะอย่าง คันโตน่า จะล้มเหลวในวงการบันเทิงอย่างไม่เป็นท่า แต่ทว่า วินนี่ โจนส์ อดีตนักเตะสุดระห่ำของพลพรรค "เครซี่แก๊ง" วิมเบิลดัน ที่เคยประกาศศักดาในวงการลูกหนังอังกฤษด้วยการนำต้นสังกัดคว่ำทีมเต็งอย่าง ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ปี 1986 มาแล้ว กลับสามารถประสบความสำเร็จในวงการภาพยนตร์ได้อย่างเหลือเชื่อ
แม้ในวงการลูกหนังเกียรติประวัติเดียวที่ โจนส์ ได้รับการยอมรับคือ ถ้วยแชมป์เอฟเอ คัพ กับ วิมเบิลดัน แต่กับเส้นทางบนถนนลูกหนังมิดฟิลด์พันธุ์ดุรายนี้ถือว่า สร้างวีรกรรมที่ทุกคนต้องจดจำไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นกลวิธีตัดเกมกองกลางอัจฉริยะอย่าง พอล แกสคอยน์ ด้วยการบีบช้างน้อยกลางสนามฟุตบอล หรือพฤติกรรมดุ ห่าม ในการทำฟาวล์ผู้เล่นคู่แข่ง ก่อนที่ท้ายสุดนักเตะรายนี้จะแขวนสตั๊ดไปในปี 1999 ภายใต้สีเสื้อของ ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส
หลังจากหายไปจากวงการลูกหนังไม่นาน โจนส์ กลับมาอีกครั้งพร้อมกับภาพยนตร์แนวแปลก สไตล์อังกฤษอย่าง Lock, Stock and Two Smoking Barrels ในปี 1999 กับบทมือปืนหน้าตาย ที่พร้อมจะปลิดชีพใครก็ได้ ตามราคาค่าจ้าง ที่เข้ากับบุคลิกของอดีตกองกลางจอมซ่ารายนี้ พร้อมกับส่งผลให้มีบทแบบนี้มาให้ โจนส์ มีงานไม่ขาดสาย อีกทั้งยังขึ้นชั้นเป็นพระเอกในหนังเรื่อง Mean Machine ก่อนจะโกอินเตอร์สู่ฮอลลีวูดในบทที่ประกบดาราดังมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Swordfish , Gone in Sixty Seconds และภาพยนตร์ทำเงินอย่าง X-Men : The Last Stand ซึ่งดูแล้วอนาคตในวงการบันเทิงของโจนส์ นับว่าเข้าขั้นสดใสเหลือเกิน กระทั่งเจ้าตัวเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน "ผมประหลาดใจมากกับความสำเร็จในวงการบันเทิงของตัวเอง มันไม่น่าเชื่อว่าจากนักฟุตบอลค่าตัวถูกๆ จะก้าวมาถึงจุดนี้ ผมสนุกกับงานที่ทำอยู่มาก"
ทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของ ชีวิตหลังอำลาชื่อเสียงเกียรติยศในสนามของเหล่านักกีฬาดัง สำหรับคอกีฬาแล้วการได้เห็นขวัญใจของพวกเขากลับมาโลดแล่นในบทบาทหน้าที่ใหม่ ไม่เพียงแต่จะช่วยให้หายคิดถึงหากแต่เป็นสิ่งที่แปลกตาและน่าติดตาม ไม่ว่านักกีฬาขวัญใจรายนั้นจะประสบความสำเร็จ หรือล้มเหลวกับอาชีพใหม่ภายหลังการรีไทร์ไปแล้วก็ตาม
***************
เรื่อง - ทีมข่าวกีฬา