xs
xsm
sm
md
lg

คีรีวง ความจริงใต้สายหมอกโรแมนติกของหุบเขา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สวรรค์บนดิน…หลายคนเคยให้นิยามของดินแดนนี้เช่นนั้น

ความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าบนขุนเขาที่โอบล้อมจนเป็นที่มาของชื่อ ‘คีรีวง’ ทำให้ชุมชนแห่งนี้สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างเข้มแข็ง การทำสวนผลไม้แบบผสมผสานตามธรรมชาติ การร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาชุมชนของคนคีรีวง ธรรมชาติอันงดงามบวกกับผู้คนที่มีน้ำใจทำให้ชื่อของคีรีวงกลายเป็นหมู่บ้านในอุดมคติสำหรับนักสังคมวิทยาและคนหนุ่มสาวที่เสาะแสวงหาดินแดนโรแมนติกของชีวิต

ทว่า กระแสความเจริญที่หลั่งไหลมาพร้อมกับการตัดถนนเข้าสู่ผืนป่า ทำให้วันนี้ คีรีวงมิใช่ดินแดนปิดสำหรับโลกภายนอกอีกต่อไป ภายใต้สายหมอกที่ปกคลุมเหนือยอดเขาหลวงของคีรีวง มีเงาจางๆ ของกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงทาทับอยู่

แม้เราอาจมิใช่คณะแรกที่มีโอกาสย่างเท้าเข้าไปสัมผัสความจริงใต้สายหมอกอันแสนโรแมนติกของหุบเขาแห่งนี้ และแน่นอน ย่อมมิใช่คนภายนอกกลุ่มสุดท้ายที่จะเข้าไปที่นี่ แต่คนคีรีวงยังยืนหยัดเผชิญหน้ารอรับความเปลี่ยนแปลงจากโลกภายนอก และพร้อมที่จะรักษาอัตลักษณ์แผ่นดินถิ่นเกิดเอาไว้ให้คนรุ่นหลัง

-1-

บ้านคีรีวงหรือบ้านขุนน้ำ คือชุมชนที่อยู่ในวงล้อมของขุนเขานครศรีธรรมราช ในอดีตคนภายนอกรู้จักที่นี่จากการติดต่อเพื่อแลกเปลี่ยนผลผลิตจากสวนเป็นข้าวสาร กะปิและอาหารทะเลแห้ง เพราะชุมชนไม่สามารถผลิตเครื่องอุปโภคบริโภคได้เองทั้งหมด ลุงนิคม สุขันทอง วัย 64 ปีชาวบ้านคีรีวงเล่าว่าสมัยก่อนไม่มีถนน ชาวบ้านต้องเดินทางทางน้ำโดยใช้ ‘เรือเหนือ’ ที่ขุดจากไม้ใหญ่ในป่าแล้วบรรทุกผลผลิตทางการเกษตรล่องไปตามลำคลองท่าดีจนถึงปากแม่น้ำ

ซึ่งตรงตามการศึกษาของจงดี ชัยชนะ ที่ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านบอกเล่าว่า ชาวคีรีวงเรียกการเดินทางนี้ว่า ‘ไปนอก’ ซึ่งมักสัญจรในเดือนสี่ (มีนาคม) ถึงเดือนแปด (กรกฎาคม) เพราะเป็นช่วงที่น้ำในลำคลองไม่เชี่ยวมากนัก วิถีชีวิตที่เหมือนตัดขาดจากโลกภายนอก ทำให้ชาวคีรีวงต้องพึ่งพาและช่วยเหลือกันจนเกิดเป็นความรักถิ่นฐานและพวกพ้อง

วิเชียร เจียมสวัสดิ์ อดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่สิบของคีรีวง เป็นอีกผู้หนึ่งที่อาศัยอยู่ที่คีรีวงแม้จะไม่ใช่คนที่นี่โดยกำเนิด หากเขาเข้ามาอยู่ในคีรีวงในฐานะ ‘เขย’ ซึ่งวิเชียรยอมรับว่าหากคนนอกจะเข้ามาอยู่ที่คีรีวงก็ต้องยอมรับและนับถือในวิถีของหมู่บ้านแห่งนี้ ดังเช่นที่ลุงวรุณ จันทร์มณี อายุ 63 ปี บอกว่าสมัยก่อนนั้นบ้านเรือนที่นี่ไม่เคยต้องล๊อค ประตู และไม่เคยเกิดเหตุฆ่ากันตายเลยสักครั้ง หากพอมีถนนตัดเข้ามา ไฟฟ้าเข้าถึงหมู่บ้าน อาชญากรรมก็ติดตามความเจริญเข้ามาดุจเงาตามตัวด้วยเช่นกัน ในช่วงหลังวิถีบางอย่างของคีรีวงจะเริ่มเลือนหายไปนับจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2531 ที่ก่อให้เกิดการปรับตัวครั้งใหญ่ของชาวคีรีวง จนต้องมีการพยายามรวบรวมองค์ความรู้และจัดเวที ‘ผู้เฒ่าเล่าความหลัง’ ถ่ายทอดประสบการณ์ให้เด็กรุ่นใหม่เข้าค่ายรับรู้ประวัติศาสตร์ชุมชน

แม้จะเคยประสบกับอุทกภัยถึง 3 ครั้งใน นับตั้งแต่มหาวาตภัยที่แหลมตะลุมพุกเมื่อพ.ศ. 2505 ซึ่งส่งผลต่อชุมชนคีรีวงเช่นกัน เรื่อยมาถึงอุทกภัยครั้งใหญ่ในปีพ.ศ. 2518 ที่น้ำป่าไหลทะลักเข้าท่วมชุมชน แต่เหตุการณ์อุทกภัยเกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนกันยายน 2531 ซึ่งรุนแรงที่สุดเท่าที่คีรีวงเคยประสบมา จนชาวบ้านเรียกว่า ‘มหาอุทกธรณีภัยปี 31’ ในครั้งนั้นนักวิชาการและนักธรณีวิทยาได้ออกมาชี้ว่าที่ตั้งชุมชนคีรีวงไม่ปลอดภัย ต้องย้ายออกโดยด่วน ชุมชนที่ถูกสายน้ำแยกออกเป็นสองส่วนได้พยายามร่วมกันหาทางออก ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปเป็นแนวทางคือ เปิดลำคลองให้กว้างไม่ให้ดินถมคลอง, จัดการเย็บภูเขาที่พบว่ามีรอยร้าว โดยการเติมสีเขียวด้วยการปลูกป่าทดแทน อาทิ ใช้หนังสติ๊กยิงลูกไทรเข้าไปตกในป่าบนภูเขาทีละลูก และพยายามหาอาชีพเสริมเพื่อเพิ่มรายได้ทดแทน นอกเหนือไปจากการปลูกผลไม้หลายชนิดรวมกันไว้บนภูเขาโดยวิธีเลียนแบบธรรมชาติ ซึ่งชาวคีรีวงเรียกสวนตัวเองว่า "สวนสมรม"

คีรีวงมีลำคลองหลายสาย มีลำธาร มียอดเขาที่สูงที่สุดในภาคใต้อย่างยอดเขาหลวง นอกจากนี้คีรีวงยังนับเป็นชุมชนประวัติศาสตร์เก่าแก่ ในงานวิจัยเรื่อง ‘200 ปีคีรีวง’ เชื่อว่าต้นกำเนิดคนคีรีวงเป็นไพร่ที่หนีจากการถูกส่งไปรบที่เมืองไทรบุรี และทนการกดขี่ไม่ไหวจึงเดินเท้าหนีมาจนพบดินแดนอุดมสมบูรณ์แห่งนี้ แล้วสร้างบ้านแปงเมืองสืบมา เริ่มแรกมีเพียง 50 ครัวเรือน โดยในกลุ่มนั้นมีต้นตระกูลใหญ่ของชาวคีรีวงอยู่ทั้งหมด 7 ตระกูล

ที่โดดเด่นและทำให้คีรีวงมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่ว คือธนาคารหรือกลุ่มออมทรัพย์ของหมู่บ้านคีรีวง กลุ่มออมทรัพย์แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นภายหลังเหตุการณ์ภัยธรรมชาติ 2 ครั้งแรกที่ทำลายบ้านเรือน ทรัพย์สินและที่ทำกิน หนำซ้ำผลผลิตของชาวคีรีวงออกสู่ตลาดพร้อม ๆ หรือไล่เลี่ยกันกับจังหวัดอื่น ผลไม้จากสวนต่างๆ จึงจะมาคับคั่งอยู่ที่ตลาดหัวอิฐในเมืองนครศรีธรรมราชในฤดูกาลเดียวกัน ทำให้ราคาผลไม้ตกต่ำจนชาวบ้านหลายรายต้องไปเป็นหนี้เงินกู้ จนกระทั่งมีแกนนำชาวบ้านคีรีวงหัวก้าวหน้าสองคนอย่างตรีวุธ พาระพัฒน์ และฝาก ตรีถวัลย์ ได้ชักชวนคีรีวงกลุ่มหนึ่งเข้าเป็นสมาชิกสหกรณ์ ทุกอย่างทำท่าจะไปได้ด้วยดีก็เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2531 พัดพาเอกสารของกลุ่มออมทรัพย์ทุกอย่างไปกับสายน้ำ และตอนนี้เองที่เป็นบทพิสูจน์ความซื่อสัตย์และไว้วางใจกันของชาวคีรีวง เพราะทุกคนต่างไม่มีหลักฐานอะไรนอกจากสัจจะในคำพูดเท่านั้น

วิเชียรเปิดเผยว่า ปัจจุบันกลุ่มออมทรัพย์ของหมู่บ้านคีรีวง มีเงินหมุนเวียนอยู่ถึงกว่า 50 ล้านบาท นั่นย่อมยืนยันถึงสัจจะของคนที่นี่ได้ว่าซื่อตรงเพียงใด

-2-

“ถ้ามองจากสายตาคนภายนอก ดินแดนนี้คือดินแดนเดียวที่ไม่ยอมสยบต่ออำนาจรัฐ ถึงเกิดกรณีไพร่หนีนาย และเมื่อเกิดเหตุเภทภัย ชาวคีรีวงก็ผ่านพ้นมาด้วยหลักธรรมาภิบาลเพียงข้อเดียวคือ ‘สัจจะ’ นั่นคือสิ่งที่น่าภาคภูมิใจของชาวคีรีวง” รศ.อุดม หนูทอง อาจารย์มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ กล่าวในการเสวนาหัวข้อ ‘อัตลักษณ์นครศรีฯ – คีรีวง อดีต ปัจจุบัน อนาคต’ ที่กลุ่มลูกขุนน้ำ และพลังคีรีวงเพื่อความยั่งยืนจัดขึ้นในโครงการแสดงมุทิตาจิตเพื่อเป็นเกียรติแด่ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ กวีซีไรต์และศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ เนื่องในวาระอายุครบ 81 ปีที่ผ่านมา

จักรี เนาว์สุวรรณ ประธานการจัดงานเชื่อมั่นว่าความงามของศิลปะจะเป็นพลังช่วยส่งเสริมให้คนคีรีวงและตลอดจนสังคมคนนครฯ มีความเข้าใจ ภูมิใจในอัตลักษณ์ของตน โดยใช้ศิลปวัฒนธรรมเป็นตัวเชื่อมโยงให้คนในชุมชนมีความภูมิใจในถิ่นกำเนิด เกิดแรงบันดาลใจที่ดีงามพร้อมที่จะทำประโยชน์ให้ส่วนรวมต่อไปในอนาคต

ส่วน วรา จันทร์มณี ผู้ประสานงานโครงการกล่าวว่า ที่ผ่านมาสังคมภายนอกรับรู้และรู้จักคีรีวงในภาพด้านที่โรแมนติกเพียงอย่างเดียว แต่ในความเป็นจริงแล้วคีรีวงก็เป็นชุมชนที่ต้องประสบปัญหาคล้ายคลึงกับชุมชนอื่นเช่นกัน หนึ่งในปัญหาที่คีรีวงต้องเผชิญในปัจจุบันนี้ คือการพัฒนาจากภาครัฐที่ชุมชนไม่ได้คิดภายใต้ฐานของตนเอง แต่เป็นการคิดตามสิ่งที่คนอื่นบอกว่าดีซึ่งเป็นสิ่งที่อันตราย แต่ชุมชนคีรีวงเองก็มีความรู้สึกต่อการพัฒนานั้นว่าไม่เหมาะกับตนเอง นับว่าเป็นจุดแข็งที่ชาวคีรีวงเป็นชุมชนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์สูง

“ขณะที่กระแสทุนหรือกระแสอื่นๆ โหมเข้ามา เราก็ต้องหนุนกระแสวัฒนธรรมเข้ามาสู้ด้วย แล้วเราจะไม่ทำเฉพาะที่นี่ เรามีแผนที่จะไปทำที่ศรีสัชชนาลัย ที่ราชบุรี เพชรบุรี ตามกำลังที่มี เราคุยกับท่านอังคารว่าในช่วงบั้นปลายชีวิต เราจะทำกิจกรรมพวกนี้ ปลุกวิญญาณของชุมชนให้ตื่นฟื้นขึ้นมา”

เพราะคีรีวงคืออีกหนึ่งชุมชนที่จะเป็นความหวังว่าจะเป็นชุมชนต้นแบบของโลก แต่ผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งคนคีรีวงเองและคนภายนอกเล่า มองภาพชุมชนกลางหุบเขานี้อย่างไร?

พระครูเทพศิริโสภณ เจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า เนื่องจากลักษณะทางกายภาพของคีรีวงโอบล้อมด้วยภูเขา มนุษย์หากได้อยู่ในอ้อมอกของธรรมชาติแล้วจะรู้สึกปลอดภัย ที่สำคัญคีรีวงเป็นแหล่งน้ำสำคัญแหล่งหนึ่งของเมืองนครฯ คนคีรีวงสามารถรักษาแหล่งน้ำให้บริสุทธิ์แก่คนในเมืองไว้ได้ สิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นความภาคภูมิใจแก่คนคีรีวงสืบไป

ด้านธีรพันธ์ จุฬากาญจน์ ชาวคีรีวงที่ได้รับรางวัลนักวิจัยดีเด่น ปี 2549 จากสกว. ฉายให้เห็นภาพประวัติศาสตร์ของคีรีวงว่า ชาวคีรีวงเองบางส่วนอึดอัดใจกับงานวิจัยที่บอกว่าชาวคีรีวงดั้งเดิมเป็นไพร่ที่หนีนายมาอย่างที่งานวิจัยเคยบอก ซึ่งอาจจะไม่ใช่ทั้งหมด เพราะจากการทำงานวิจัยพบว่าคนคีรีวงเริ่มเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่นี่สืบค้นไปได้ถึงสมัยยุคหิน เจอเครื่องมือเครื่องใช้ และเทวรูปเป็นหลักฐานชัดเจน เนื่องจากคีรีวงมีชัยภูมิที่เหมาะแก่การหลบหนีมาตั้งหลักแหล่ง มีภูเขาเป็นกำแพงธรรมชาติโอบล้อม

จุดเด่นของคีรีวงที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ความเป็นเครือญาติซึ่งปัจจุบันชาวคีรีวงทุกตระกูลเป็นเครือญาติกันหมด เนื่องจากว่ามีความเป็นเครือญาติสูงจะรวมกลุ่มทำกิจกรรมสิ่งใดก็สำเร็จทุกประการ ยกตัวอย่างที่ทำการกลุ่มออมทรัพย์ในชุมชนที่หายไปกับสายน้ำพร้อมหลักฐานต่างๆ แต่ทำไมกลุ่มออมทรัพย์ยังอยู่ได้ เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงความรักสามัคคี ความซื่อสัตย์ไว้วางใจและเห็นอกเห็นใจกันของชาวคีรีวง

“ความเป็นผู้นำของชาวคีรีวงมันถ่ายทอดอยู่ในสายเลือด ทุกคนพร้อมจะเป็นผู้นำโดยธรรมชาติ น้ำไหลหลากไม่มีสะพานให้ลูกข้ามไปโรงเรียน นัดกันมาตัดต้นหมากมาทำสะพานโดยไม่ต้องรอกำนันผู้ใหญ่บ้านมาสั่ง ถนนหน้าบ้านเป็นหลุมเป็นบ่อก็ไม่ต้องรองบประมาณจาก อบต. แบกจอบแบกเสียมไปถมกันเอง เราไม่สามารถล่องเรือได้ ไม่ต้องรอให้รัฐบาลมาตัดถนนให้เรา เราไปตัดถนนเองและใช้ภูมิปัญญาของเรา”

เหตุการณ์หนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจของชาวคีรีวง คือหลังเกิดอุทกภัยทางราชการมีแนวคิดให้ย้ายชุมชนออกไปอยู่ที่อื่นเนื่องจากไม่มีพื้นที่ไหนในคีรีวงที่สามารถอยู่ได้อย่างปลอดภัย “แต่สุดท้ายเราก็บอกว่าเราจะไม่ย้ายไปไหน ขอตายกันที่นี่ นี่คือสิ่งที่บรรพบุรุษเราบอกและทุกคนก็ยืนยันที่จะอยู่ที่นี่ สุดท้ายรัฐก็ต้องยอม พลังของคนคีรีวงก็ยินดีร่วมกันให้ขุดลอกคลองและตลิ่ง ไม่มีที่ไหนที่ชาวบ้านยอมยกที่ดินให้ขุดลอกคลองและตลิ่งโดยไม่จ่ายเวนคืน มีที่นี่ที่เดียว นี่คือความเสียสละยิ่งใหญ่ของชาวคีรีวง”

ผศ.อาคม เดชทองคำ อาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราชกล่าวว่า อัตลักษณ์ของชาวคีรีวงเมื่อเปรียบเทียบคีรีวงกับลุ่มน้ำปากพนังที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของเมืองนครฯ แต่ต่อมากลับเป็นพื้นที่แร้นแค้นในการเพาะปลูก ต่างจากคีรีวงที่มองไปทางไหนก็เห็นแต่สีเขียวขจี ซึ่งคนที่นี่ได้แปรทรัพยากรธรรมชาตินั้นมาเป็นผลผลิตทางวัฒนธรรม เช่น ความเชื่อเรื่องผีเจ้าป่าเจ้าเขาที่เชื่อมโยงกับอนุรักษ์ป่าและน้ำ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่บรรพบุรุษของชาวคีรีวงสร้างไว้
 
“คีรีวงมีทางเข้าทางออกทางเดียว ถูกโอบล้อมด้วยภูเขา จึงสามารถตรวจสอบคนเข้าออก คนชั่วคนร้ายหายาเสพติดโจรผู้ร้าย เมื่ออำนาจรัฐมาไม่ถึงจึงต้องช่วยเหลือดูแลกันเอง นี่คือที่มาของการรักพวกพ้อง”

สิ่งที่ภาคภูมิใจอีกประการหนึ่งของชาวคีรีวงก็คือ การทำสวนสมรมซึ่งไม่เหมือนการทำสวนที่ไหนๆ ในโลก การทำสวนผลไม้บนเขาเป็นวิถีชีวิตของชาวคีรีวงที่ยังคงรักษาไว้ตามภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ หากทว่า การที่ชาวคีรีวงจะอยู่ที่นี่ต่อไปได้อย่างปลอดภัยและยั่งยืนนั้นก็ต้องลดการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อทำสวนสมรม เช่นที่ธีรพันธ์บอกว่า

“สุดท้ายทุกคนก็ยอมรับ ไม่ตัดไม้ทำลายป่า ปลูกผลไม้ทำสวนสมรมปลูกเพิ่มอยู่เฉพาะในพื้นที่เดิม และมาทำอาชีพเสริมเพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่ชุมชน สิ่งที่เราทำทั้งหมดนี้คนภายนอกเขาเห็น ผมรู้จักคนภายนอกหลายคนที่เขาบอกว่าคีรีวงทำอะไรให้บอกเขายินดีช่วยเหลือ นั่นคือเพื่อน คือเครือข่ายคนที่เขารักและหวงแหนอยากจะมาช่วยเหลืออุ้มคีรีวงต่อไป”

-3-

คนนอกที่เฝ้ามองอย่างรศ.อุดม ยังฝากมุมมองให้ชาวคีรีวงได้ขบคิดกันว่า ในอนาคตอย่าได้ไปคิดว่าสิ่งที่เคยเป็นมาและเป็นอยู่อย่างประสบความสำเร็จ ความภาคภูมิใจในวันนี้จะคงเป็นอยู่อย่างนี้ตลอด หากเมื่อใดคนคีรีวงตั้งอยู่ในความประมาท หรือแม้ระมัดระวังอย่างดีแล้วก็ตาม อาจจะมีปัจจัยจากภายนอกเข้ามา ยกตัวอย่างเช่น ทำเลที่ตั้งของคีรีวงมีทรัพยากรธรรมชาติสมบูรณ์ แต่หากภายนอกชุมชนโดนทำลายล้างจนหมดแล้ว คีรีวงจะคงอยู่ได้อย่างไร ชาวคีรีวงจึงต้องเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ว่า ความไม่ประมาทของคนที่อยู่ในชุมชนคือภูมิต้านทานที่ดีที่สุด เมื่อไม่สามารถปิดกั้นประตูของคีรีวงจากโลกภายนอกได้ ก็ควรสร้าง ‘ประตูปัญญา’ ให้คนในชุมชนรู้เท่าทัน

“มีวิสัยทัศน์ให้คีรีวงเป็นแหล่งเรียนรู้ แต่ต้องคำถามว่าเราเรียนรู้อะไร เราเรียนรู้ของใหม่ที่มันเข้ามาเพื่อความเป็นคนทันสมัย หรือเราเรียนรู้ภูมิปัญญาของเราที่สั่งสมสืบทอดกันมาจนกระทั่งเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงสังคมของเรามาอย่างยาวนาน และสิ่งนั้นก็ยังสามารถที่จะเลือกสรรเพื่อสานต่อในการดำรงอยู่ชุมชนของเราต่อไปในอนาคต”

รศ.อุดมยกตัวอย่างการทำสวนสมรมของชาวคีรีวงว่าไม่ใช่แค่การประกอบอาชีพ แต่เป็นวิถีชีวิตที่ช่วยขัดเกลาวิธีคิด ขัดเกลาคุณธรรมจริยธรรมที่อยู่ในใจ เพราะธรรมชาติคือเครื่องมือที่ดีมาก รวมทั้งความเป็นเครือญาติที่ทำให้ชาวคีรีวงได้เปรียบมาก จะทำอย่างไรเพื่อปลุกสำนึกให้คนคีรีวงทั้งหมดตระหนักว่าพวกเขาล้วนเป็นเครือญาติกัน เพียงต่างนามสกุล วิธีที่ดีที่สุดก็คือให้ผู้ใหญ่ คนเฒ่าคนแก่บอกเล่าเรื่องราวแก่เด็กรุ่นหลัง

ด้านอาจารย์แห่งเมืองนครฯ อย่างผศ.อาคม ระบุ “เคยมีคนเตือนชาวคีรีวงมาแล้วเมื่อปี 31 ผมจะเตือนอีกครั้งหนึ่งว่า ช่วยทะนุถนอมธรรมชาติให้ถึงที่สุด และที่สำคัญกว่านั้นคุณจะต้องเอาจิตวิญญาณถ่ายไปสู่ลูกสู่หลานให้เขารับรู้เผื่อว่าเขาไม่มีส่วนร่วมกับความเจ็บปวดในวันนั้น เขาจะได้รู้ว่าผลพวงจากการไปกระทำย่ำยีธรรมชาติ มันจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา”

ผศ.อาคมมองว่า สิ่งที่ชาวคีรีวงต้องระวังคือกระแสทุนที่มาจากภายนอก จะสังเกตเห็นว่าการรวมกลุ่มของชาวคีรีวงสมัยนี้ไม่เหมือนคนรุ่นก่อนอย่างฝาก ตรีถวัลย์ ชาวคีรีวงที่ได้รับการยกย่องให้เป็น ‘ปราชญ์และบิดาแห่งบัญชีชาวบ้าน’ ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยห้ามจับปลาในหน้านี้ ห้ามเล่นการพนันในอาณาบริเวณนี้ แล้วมีนักเลงอยากลองดี จนมีคำหนึ่งที่โค้ตไว้ในงานวิจัยเขาบอกว่า ‘ถ้ามึงยิงกู กูต้องยิงมึง’

“มีตัวบ่งชี้หลายประการว่าความเป็นคีรีวงกำลังถดถอย มีหลายส่วนทีเดียวที่มันหดหายไปอย่างน่าเสียดาย ฉะนั้นต้องทบทวนนะครับ ถ้ารักคีรีวงจริง ถ้ายังอยากเห็นคีรีวงอยู่อย่างยั่งยืนจริง มีสองเรื่องคือ หนึ่งต้องถนอมธรรมชาติให้ถึงที่สุดชีวิต อันที่สองต้องระวังกลุ่มทุนที่มาจากภายนอกแล้วใช้คีรีวงเป็นฐานทำเงินใส่กระเป๋า คุณผู้เป็นเจ้าของคีรีวงต้องช่วยกันปกปักรักษา ผมเป็นคนนอกอาจจะมองคีรีวงไม่ดีพอ แต่บอกได้เท่าที่มองเห็น”

สุดท้าย ธีรพันธ์บอกในฐานะตัวแทนชาวคีรีวงว่า เขาไม่สามารถห้ามไม่ให้คนมาเที่ยวคีรีวงได้ เพราะวันนี้กระแสชื่อเสียงของคีรีวงออกไปสู่ภายนอกแล้ว และคีรีวงก็อ้าแขนรับกับคนภายนอกที่เข้ามาตลอด แต่สิ่งที่คนคีรีวงทำได้คือรู้ตัวตนของตนเองพร้อมถ่ายทอดสู่ลูกหลาน ที่สำคัญคือ “ถ้าคนภายนอกเข้ามาต้องเคารพความเป็นตัวตนของคนคีรีวง”

*************
เรื่อง รัชตวดี จิตดี
















กำลังโหลดความคิดเห็น