xs
xsm
sm
md
lg

ปีกหงส์ในสายลมแรง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"มอญไม่ใช่พม่า"

อาจดูคล้ายประโยคปฏิเสธสามัญธรรมดา หากแววตาเจ็บปวดที่สะท้อนออกมายามที่ผู้พูดเอ่ยถึงนั้น คล้ายกับเขาถูกโบยตีด้วยความโหดร้ายทารุณจากแส้ของประวัติศาสตร์


กว่า 250 ปีที่มอญต้องสูญเสียแผ่นดินให้กับพม่า มอญจึงได้ชื่อว่าเป็นชนชาติที่ไร้แผ่นดิน และไม่มีรัฐมอญปรากฏบนแผนที่โลก

ไม่มีความเจ็บปวดใดเท่ากับการพลัดพรากจากแผ่นดินถิ่นเกิด หากสิ่งที่ยากยิ่งกว่าคือความพยายามยืนหยัดเพื่อรักษารากเหง้าและขนบจารีตของตนให้ดำรงอยู่ในแผ่นดินอื่น

ต้นกุมภาพันธ์…ในวันที่สายหมอกปกคลุมประเทศไทย ไม่มีการสวนสนาม หรือพิธีเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ มีเพียงการจัดงานรำลึกเงียบๆ จากชาวไทยเชื้อสายมอญที่เดินทางมารวมตัวกันจากทั่วประเทศ เพื่อรำลึกถึงดินแดนที่พวกเขาจากมา

ดินแดนที่ครั้งหนึ่ง เคยมีธงหงส์ปลิวสะบัดเหนือแผ่นดินอย่างภาคภูมิ

'เมียะเง่อระอาว' สวัสดีพี่น้องมอญ

เสียงพูดคุยเป็นภาษามอญดังอยู่อึงมี่ รอบตัวเต็มไปด้วยเด็ก คนแก่และคนหนุ่มสาวในชุดประจำชาติมอญ ผู้ชายนุ่งโสร่งลายตาหมากรุกสีแดงและเสื้อสีขาวแขนกระบอก ขณะที่ผู้หญิงนุ่งซิ่นและสไบที่เรียกว่า 'หยาดฮะเหริ่มโต๊ะ' ผมเกล้ามวยประดับดอกไม้

พวกเขาเหล่านี้คือคนไทยเชื้อสายมอญที่มีอยู่ทั้งหมดประมาณ 4 ล้านคนทั่วประเทศไทย กระจายกันอยู่ใน 34 จังหวัดทั่วทุกภูมิภาค ภาษาพูดเสียงสูงๆ ต่ำๆ คล้ายเสียงดนตรีนี้จึงผิดแผกกันไปตามสำเนียงของแต่ละพื้นที่ อาทิ ชุมชนมอญในกรุงเทพฯ อย่าง มอญบางกระดี่ ก็จะต่างจากมอญกระทุ่มมืด, มอญบ้านโป่ง-โพธาราม จังหวัดราชบุรี, มอญปากบ่อสมุทรสาคร, มอญปากลัดสมุทรปราการ รวมทั้งมอญบางขันหมาก จังหวัดลพบุรีที่เป็นเจ้าภาพจัดงานในครั้งนี้ด้วย

องค์ บรรจุน ลูกหลานชาวมอญปากบ่อ จังหวัดสมุทรสาคร ผู้เขียนหนังสือ 'ต้นทางจากมะละแหม่ง' ที่ได้รับรางวัลสารคดีรางวัลพิเศษนายอินทร์อวอร์ดประจำปี 2549 กล่าวว่า คนมอญเมืองไทยเรียกตนเองว่า 'มอญเมืองไทย' และเรียกมอญที่มาจากพม่าว่า 'มอญเมืองโน้น' ขณะที่วันชาติมอญในปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 60 แล้ว โดยเริ่มจัดครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2491 และจัดอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปีในวันแรมหนึ่งค่ำเดือนสาม (หลังวันมาฆบูชาหนึ่งวัน) เพื่อรำลึกถึงวันแรกสร้างกรุงหงสาวดี เมื่อ พ.ศ.1116 โดยพระเจ้าสมละและพระเจ้าวิมละ พี่น้องสองกษัตริย์

ในวันนี้คือวันที่ชาวมอญจะจัดงานประเพณีเพื่อทำบุญเลี้ยงพระและแผ่ส่วนกุศลไปให้กับบรรพบุรุษ พร้อมๆ กับจัดให้มีงานรื่นเริงและการแสดงอย่างรำซอมอญ, ทะแยมอญ, ระบำหงส์ทอง และการละเล่นของคนหนุ่มสาวอย่างการเล่นสะบ้า แต่ประเพณีสำคัญคือ 'ขบวนแห่หงส์' ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติของชาวมอญหรือรามัญ

องค์กล่าวว่า การจัดงานรำลึกชนชาติมอญนี้ ทางผู้จัดอย่างชมรมเยาวชนมอญกรุงเทพฯ จะหมุนเวียนสถานที่ในการจัดงานทุกปี เนื่องจากคนมอญเป็นพุทธศาสนิกชนที่เคร่งครัด ใจบุญสุนทาน สถานที่จัดงานส่วนมากจึงมักจะจัดขึ้นที่วัดมอญในชุมชน อย่างเช่นในปีที่แล้วจัดที่จ.นครปฐม ในปีนี้เปลี่ยนมาจัดที่วัดอัมพวัน ต.บางขันหมาก จ.ลพบุรี โดยมีชาวมอญที่อยู่กระจัดกระจายส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในลุ่มน้ำภาคกลาง นอกนั้นมีชาวมอญในภาคเหนือบ้างอย่างเชียงใหม่, ลำพูน, ลำปาง, ภาคใต้อย่างชุมพร, สุราษฎร์ธานี และในภาคอีสานเพียงสองแห่งคือที่โคราชและชัยภูมิ เดินทางมาร่วมงานอย่างคึกคัก

"ตั้งแต่เราเสียเอกราชให้แก่พม่ามาเมื่อปีสองพันสามร้อย เราไม่มีประเทศเอกราช ศิลปวัฒนธรรมมันก็เลยจางไปเรื่อยๆ ภาษา การแต่งกาย วัฒนธรรมต่างๆ ที่อยู่ในประเทศไทยก็กลายเป็นไทยไปบ้าง ที่อยู่ในพม่าก็ถูกกลืนเป็นพม่าไป เราก็เลยจำเป็นต้องจัดงานนี้ขึ้นมาเพื่อรวบรวมคนมอญมาพบปะ แต่งกายและใช้ภาษามอญ กระตุ้นให้เยาวชนได้เห็นความสำคัญตรงจุดนี้"

ข้อมูลจากเว็บไซต์มอญพีเพิลระบุว่า มีคนมอญอยู่ในพม่าทั้งหมด 4 ล้านคนและมีเพียง 2 ล้านคนเท่านั้นที่พูดภาษามอญได้ ไม่ต่างอะไรจากลูกหลานมอญรุ่นใหม่ในเมืองไทยที่คุ้นชินกับการพูดภาษาไทยในชีวิตประจำวัน หลายคนฟังภาษามอญออก แต่พูดไม่ได้ องค์เองก็เป็นคนหนึ่งที่เคยอายที่จะพูดภาษามอญ อายที่เขามีพ่อเป็นคนมอญ แต่สองปีที่แล้ว ชายหนุ่มออกเดินทางตามหารากเหง้าของตนเอง โดยการข้ามพรมแดนไปยังอีกฝั่งหลังเทือกเขาตะนาวศรี เพื่อเรียนรู้วิถีของ 'คนมอญฝั่งโน้น'

หนุ่มไทยเชื้อสายมอญที่มีโอกาสสัมผัสชีวิตทั้งสองแผ่นดินกล่าวว่า บรรยากาศการจัดงานวันรำลึกชนชาติมอญของไทยและในฝั่งพม่าจะค่อนข้างต่างกัน เนื่องจากคนมอญในฝั่งพม่าได้อยู่ในเหตุการณ์ที่มีความรันทดหดหู่จากการพลิกผันทางการเมือง เศรษฐกิจที่ย่ำแย่สูง จึงมีแนวคิดที่จะกู้ชาติบ้านเมืองสูงไปด้วย ในขณะที่ชาวมอญในไทยห่างหายจากแผ่นดินเกิดมาเนิ่นนาน การจัดงานรำลึกชนชาติจึงเน้นไปเพื่อฟื้นฟูเพื่ออนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมของชนชาติมากกว่าจะเน้นไปที่การเคลื่อนไหวทางความคิดทางการเมือง

หากอย่างไรเสีย ความรักในแผ่นดินถิ่นเกิดก็ยังทำให้ชาวไทยเชื้อสายมอญรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อถูกด่าว่า 'จองปะ จองเดิง' หรือไอ้คนเผาบ้านเผาเมือง ที่องค์บอกว่าเป็นคำด่าที่ชาวมอญรู้สึกเจ็บแสบยิ่งกว่าคำด่าไหนๆ เพราะหากถูกด่าด้วยคำนี้ก็หมายถึงคนนั้นถูกหาว่าเป็นพม่า แม้ถูกเปรียบเทียบว่าเป็นสัตว์ก็ยังไม่เจ็บปวดเท่านั้น ประวัติศาสตร์จึงเสมือนมีดสองคมที่คอยกรีดซ้ำแผลเดิมของชาวมอญอยู่เสมอ แม้แต่ในเพลงทะแยมอญก็ยังมีเนื้อร้องที่รำพันถึงความเจ็บปวดทนทุกข์นั้น

"แต่แน่นอนว่าเราไม่ได้คิดทรยศต่อแผ่นดินไทย เรารักในแผ่นดินที่เราเกิด เราเทิดทูน แต่มันอดไม่ได้ที่จะคิดถึงอดีต" องค์กล่าวทิ้งท้าย

จากมะละแหม่งถึงแผ่นดินสยาม

อาจารย์สุภรณ์ โอเจริญ เขียนเล่าความเป็นมาของชนชาติรามัญไว้ในหนังสือ 'มอญในเมืองไทย' ว่า ในอดีตมอญเคยมีดินแดนอยู่ในบริเวณที่เป็นพม่าตอนล่าง มีประเทศของตนเองเรียกว่ารามัญ มีอาณาเขตของเมืองสามจังหวัดคือ พะสิม หงสาวดี และเมาะตะมะ ชนชาติมอญเคยยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองมากในอดีต และเนื่องจากตั้งอยู่ใกล้กับอินเดียจึงรับเอาอารยธรรมและพุทธศาสนาจากอินเดียก่อนใครๆ

ตลอดเวลากว่าเจ็ดร้อยปีที่มอญตั้งอยู่ในพม่าตอนล่าง อาณาจักรมอญต้องล้มลุกคลุกคลาน เพราะการแย่งชิงอำนาจภายในและการรุกรานจากพม่า เป็นเหตุให้บ้านเมืองตกอยู่ในภาวะสงครามอยู่เสมอ ในระหว่างนั้นชาวมอญได้พากันอพยพเข้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่ในประเทศไทยเนืองๆ พอถึงพุทธศักราชสองพันสามร้อย ชาติมอญต้องเสียแผ่นดินให้แก่พม่า นับจนบัดนี้สองร้อยห้าสิบปีแล้ว คนมอญจึงได้ชื่อว่าเป็น 'ชนชาติไร้แผ่นดิน' หรือ 'คนไม่มีแผ่นดิน'

หากก่อนที่มอญจะเสียเมืองให้แก่พม่านั้น มีคนมอญบางส่วนหนีมาพึ่งพาอาศัยแผ่นดินไทยครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี พระเจ้าอยู่หัวไทยทรงเมตตาให้ชาวมอญได้พักพิง และในที่สุดคนเหล่านั้นก็ได้กลายเป็นคนไทยเชื้อสายมอญแตกลูกหลานออกมามากมาย และในสมัยตอนต้นกรุงรัตนโกสินทร์มีมอญกลุ่มใหญ่ไม่สามารถทนต่อการกดขี่เบียดเบียนจากพระเจ้าแผ่นดินพม่าได้ จึงเกิดการอพยพของชาวมอญครั้งใหญ่กว่า 4 หมื่นคนในรัชสมัยรัชกาลที่ 2 ซึ่งทรงโปรดฯ ให้กรมพระราชวังบวรสถานมงคล เสด็จฯ ไปรอรับครอบครัวชาวมอญที่นนทบุรี และให้ตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนแถบริมแม่น้ำเจ้าพระยา อาทิ ปากเกร็ด, ปทุมธานี, อยุธยา, สมุทรปราการ เป็นต้น

สมัยต้นรัชกาลที่ 3 คนมอญที่อพยพมาไทยได้เข้ารับราชการสำคัญเกี่ยวกับการป้องกันประเทศชาติ ชาวมอญมีหน้าที่สำคัญในการสืบข่าวศึกและลาดตระเวนชายแดนที่ติดต่อกับพม่า หน่วยทหารสืบข่าวนี้มีชื่อว่า 'กรมอาทมาต' แต่ครั้นอังกฤษทำสงครามชนะได้พม่าเป็นอาณานิคม การตระเวนสืบข่าวในพม่าก็หมดความสำคัญลง จนมาถึงรัชกาลที่ 5 ได้ทรงโปรดฯ ให้กองมอญซึ่งมีอยู่ 8 กรม ยกไปเป็นทหารเรือในช่วงวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 เพื่อเตรียมพร้อมในการป้องกันประเทศทางทะเล กรมทหารเรือได้จัดให้ชาวมอญลงประจำลำเรือทำหน้าที่ช่างไฟและฝ่ายมารีน ซึ่งเป็นกองกำลังบนบกของทหารเรือที่อยู่ในกรุงเทพฯ กับสถานีชายทะเลและป้อมปากน้ำ จึงอาจกล่าวได้ว่า แม้ไม่ใช่แผ่นดินเกิดของบรรพบุรุษ แต่ชาวมอญก็เป็นกำลังสำคัญในการช่วยปกป้องแผ่นดินสยามจากการรุกรานของข้าศึกศัตรูมาตั้งแต่สมัยอดีต

นุชนาฏ พงษ์เวช ชาวไทยเชื้อสายมอญจากชุมชนวัดทองบ่อ พระนครศรีอยุธยา เล่าว่า บรรพบุรุษของเธอก็เป็นหนึ่งในจำนวนชาวมอญที่อพยพมาในสมัยศึกสงคราม และวันนี้เธอก็เดินทางมาร่วมงานวันรำลึกชนชาติมอญด้วยความตั้งใจ เพราะหวังว่าสักวันหนึ่งเธอจะมีโอกาสได้เห็นรัฐมอญเป็นเอกราชก่อนที่จะสิ้นลมหายใจ โดยนุชนาฏกล่าวถึงความรู้สึกหลังจากการยืนสงบระลึกถึงวิญญาณบรรพบุรุษว่า

"แม้เราไม่มีเมือง เมืองเราแตก เรามาอยู่เมืองไทยแต่เราก็รวมเอกลักษณ์มอญ ภาษา การแต่งกาย การทำบุญวิธีแบบมอญ เวลามองท้องฟ้าแล้วก็ได้แต่มองนกแทนหงส์ เพราะหงส์เป็นสัญลักษณ์ตามพงศาวดารในการสร้างเมืองหงสาวดีของชาวมอญ เราก็หวังว่าสักวันหงส์ตัวนี้จะมีอิสรภาพและบินกลับรัง แม้ความหวังของเราจะเลือนราง เราคงจะได้เอกราชคืนยาก แต่ลูกหลานมอญเราไม่ลืม"

สะพานแห่งความหวังที่สังขละบุรี

ขณะที่ชาวไทยเชื้อสายมอญในเมืองไทยจัดงานวันรำลึกชนชาติมอญปีนี้ที่จังหวัดลพบุรี อีกฝั่งหนึ่งของประเทศไทย ที่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี กลับเงียบเหงา ไม่มีการจัดงานรำลึกใดๆ เพราะชาวมอญที่อยู่ที่นี่ส่วนใหญ่อยู่ในฐานะของ 'ผู้อพยพ'

เหตุการณ์นองเลือดทางการเมืองของพม่า ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 สิงหา 1988 หรือเหตุการณ์ '8888' ส่งผลให้นักศึกษามอญส่วนใหญ่กระจัดกระจายกันไปลี้ภัยในประเทศที่สามหลายแห่ง แต่จำนวนไม่น้อยที่พลัดหลงอยู่ตามชายขอบระหว่างสองประเทศ การไร้แผ่นดิน หมายถึงปัญหาการไร้สัญชาติ และการไร้สิทธิคุ้มครองตามกฎหมาย

สาวร แสงทองคำ คือชาวมอญสังขละบุรีที่เกิดและเติบโตบนแผ่นดินไทย พ่อแม่ของเขาอพยพหนีไฟสงครามและการกดขี่ของทหารพม่ามาจากหมู่บ้านเจ้ากะเล ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองมะละแหม่ง ประเทศพม่า แต่แม้จะเกิดบนแผ่นดินไทย แต่เขาก็ยังเป็นคนไร้สัญชาติ หากกระนั้น สาวรก็ไม่เคยลืมว่าตนเป็นคนมอญที่ได้มาพึ่งพิงอาศัยแผ่นดินนี้เกิดมา

แต่เล็กจนโต สาวรซึมซับคำสอนของหลวงพ่ออุตตมะ พระภิกษุองค์ดังที่เป็นที่เคารพยิ่งของชาวรามัญที่สังขละบุรี เขาบอกว่าหลวงพ่ออุตตมะเป็นพระที่มีจิตเมตตาสูง โดยไม่แบ่งแยกชนชั้น เผ่าพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นกะเหรี่ยง เป็นมอญ พม่า หรือคนไทย ท่านมักจะเทศนาเสมอว่าการเกิดมาเป็นคนต้องยึดธรรมะเป็นหลัก อีกคำสอนหนึ่งของหลวงพ่อที่สาวรจำได้ขึ้นใจคือ อยู่บนแผ่นดินไทยก็ต้องรู้จักทดแทนบุญคุณของแผ่นดินไทย สาวรจึงยึดคำสอนนั้นเป็นหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิตแม้ภิกษุผู้เทศนาจะมรณภาพจากไปแล้ว

ปัจจุบัน สาวรเป็นครูสอนภาษามอญให้แก่นักเรียนประถมที่โรงเรียนวัดวังก์วิเวกการาม และยังสอนพิเศษภาษาไทยและภาษามอญให้แก่ผู้ใหญ่และวัยรุ่นที่อายุเกินจะเข้าโรงเรียนได้ด้วย หากหลายปีก่อนหน้านั้น หนุ่มมอญผู้นี้คล้ายได้ยินเสียงเพรียกจากพงไพรหลังทิวเขาตะนาวศรี เขาจึงบรรพชาเป็นสามเณรแล้วเดินทางไปจำพรรษาที่วัดบ้านเกิดของพ่อแม่ที่เมืองมะละแหม่ง และมีโอกาสศึกษาภาษามอญและวิถีชีวิตของคนมอญที่นั่น

ต่อมา สาวรตัดสินใจสึกออกมาและซื้อที่ดิน 5 ไร่ ทำสวนหมากและยางพาราอยู่ที่นั่น และตอนนั้นเองที่สาวรได้เห็นว่าเพื่อนร่วมชาติเขาต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบากเพียงใด สาวรบอกว่าหากคนมอญหาเงินมาได้ 10 บาท จะเหลือใช้จริงๆ เพียงแค่ 2 บาท เพราะต้องจ่ายส่วยคุ้มครองให้ทั้งทหารกะเหรี่ยง พม่า และกองกำลังพรรคมอญใหม่ด้วย มิฉะนั้น ก็จะถูกฝ่ายนั้นๆ กลั่นแกล้ง ไม่ได้รับการคุ้มครอง และอาจถูกปล้นสดมภ์ ยึดทรัพย์สิน ไปจนถึงถูกทหารพม่ายึดที่ทำกินเลยก็ได้ หลายปีที่เจ้ากะเล สาวรรู้ว่าเพียงกำลังของเขาไม่อาจสู้กับอาวุธของฝ่ายต่างๆ ได้ สาวรถูกกองทัพพม่าเกณฑ์ทหารไปรบกับฝ่ายกะเหรี่ยง เมื่อรอดชีวิตกลับมาพร้อมกับค่าตอบแทนเป็นใบยกเว้นภาษีเป็นเวลา 10 ปี สาวรตัดสินใจว่าพอแล้วกับชีวิตบนคมกระสุนที่นี่ เขามุ่งหน้ากลับสังขละบุรี…แผ่นดินเกิดที่เขาไม่มีสิทธิเป็นพลเมือง

อัตราว่างงานที่สังขละบุรีสูงมากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากร ชาวมอญที่นั่นส่วนใหญ่ไม่มีบัตรประชาชนก็จะทำงานรับจ้าง ก่อสร้างเล็กๆ น้อยๆ นอกจากนั้น ก็ทำงานเย็บผ้าในโรงงานตัดเสื้อที่เป็นเหมือนเส้นเลือดหล่อเลี้ยงคนมอญที่นั่นพอๆ กับแม่น้ำซองกาเลีย แต่อย่างน้อยชีวิตที่ไม่ต้องหวาดระแวงกับเสียงปืน เสียงระเบิดที่นี่ก็ทำให้ชุมชนมอญในสังขละบุรีพยายามต่อสู้ฝ่าฟันให้พ้นไปให้ได้ โดยยึดหลักธรรมะและพระราชดำรัสเศรษฐกิจพอเพียงของพระเจ้าแผ่นดินไทยที่ทรงเมตตาให้พวกเขามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร

"ผมทำงานเป็นครูก็พยายามเอาประสบการณ์มาสอนให้เด็กๆ เห็นว่าคนมอญในพม่าลำบากขนาดไหน เรามาอยู่เมืองไทยก็ขอให้เห็นคุณค่าของแผ่นดินที่เรามาอาศัยอยู่"

**************

เรื่อง - รัชตวดี จิตต์ดี




การละเล่นสะบ้ามอญ
องค์ บรรจุน
นุชนาฎ พงษ์เวช
กำลังโหลดความคิดเห็น