ด้วยปี 2550 ที่กำลังจะมาถึงนี้เป็นปีกุน ปีนักษัตรที่มี 'หมู' เป็นสัญลักษณ์ 'ผู้จัดการปริทรรศน์' จึงอยากพาคุณไปเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ตามสไตล์หมูๆ เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศของปีกุน หรือที่บางคนเรียกว่าปีหมู ซึ่งคงจะดีไม่น้อยหากในปีหน้านี้คุณได้อะไรมาอย่างหมู..หมู...
'หมูมงคล' ของขวัญสุดฮิต
เริ่มต้นเทศกาลปีใหม่ด้วยการให้ของขวัญของฝากแบบหมูๆ ของขวัญปีใหม่สุดฮิตแห่งปี 2550 คงหนีไม่พ้น 'หมูมงคล' หรือบรรดาตุ๊กตาหมูตัวอ้วนกลมที่แวดล้อมไปด้วยสัญลักษณ์แห่งความมั่งมีศรีสุข ซึ่งไม่เพียงแต่เยาวราชหรือสำเพ็งอันเป็นย่านการค้าของชาวจีนเท่านั้นที่มีการจำหน่ายหมูมงคลสีทองและสีเงินมากมายหลายแบบ ในห้างสรรพสินค้าและร้านค้าทั่วไปก็สามารถพบเห็นหมูมงคลเหล่านี้ได้เช่นกัน ซึ่งสะท้อนถึงความนิยมที่มีต่อของขวัญชิ้นนี้ได้อย่างชัดเจน
ตามคติความเชื่อของชาวจีนนั้นหมูเป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์ ดังนั้นปี 2550 ซึ่งตรงกับปีกุนที่มีหมูเป็นสัญลักษณ์ ในประเทศจีนจึงมีการผลิตตุ๊กตาหมูสีทองและสีเงินออกจำหน่ายเพื่อให้คนซื้อไปเป็นของขวัญที่มอบให้กันในเทศกาลปีใหม่ ซึ่งหมูมงคลเหล่านี้ได้รับความนิยมจากชาวจีนอย่างมาก ทำให้มียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และกระแสความนิยมนี้ได้แพร่เข้ามาในประเทศไทยด้วยเช่นกัน จึงมีการนำเข้าตุ๊กตาหมูมงคลจากประเทศจีนเข้าจำหน่ายในไทยเพื่อต้อนรับเทศกาลปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง
ตุ๊กตาหมูมงคลจะมีสัญลักษณ์ที่สื่อถึงความเป็นสิริมงคลต่างๆ และอาจมีการเขียนอักษรภาษาจีนซึ่งมีความหมายดีๆ เพื่ออวยพรให้ผู้รับเจริญรุ่งเรือง เช่น หมูถือเหรียญเงินนั่งอยู่บนแท่งทอง เป็นการอวยพรให้ผู้รับร่ำรวย มั่งคั่ง, แม่หมูกับลูกหมูรวม 8 ตัว นั่งบนกองแท่งทอง อวยพรให้ร่ำรวย มีโชคลาภ และมีลูกหลานสืบสกุล ที่ต้องเป็นหมู 8 ตัว เพราะเลข 8 เป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดี, หมูคู่ตีลังกา อวยพรให้มีความสุข สดชื่น สมหวัง, หมูหาบกระจาดเงินกระจาดทอง อวยพรให้การค้าเจริญรุ่งเรือง มั่งมีศรีสุข
หากสังเกตจะพบว่าหมูเหล่านี้จะมีลักษณะอ้วนท้วน กลมเกลี้ยง ส่วนองค์ประกอบอื่นๆก็มีลักษณะโค้งมนเช่นกัน ซึ่งถือเป็นเคล็ดว่าขอให้ชีวิตราบรื่นตลอดปี และอีกนัยหนึ่งหมูในความหมายของคนไทยยังหมายถึงการทำอะไรหรือได้อะไรมาอย่างง่ายๆ ดังนั้นการมอบหมูเงินหมูทองให้แก่กันจึงหมายถึงขอให้ได้เงินทองมาอย่างง่ายๆอีกด้วย ทั้งนี้หมูมงคลที่จำหน่ายในประเทศไทยนั้นมีหลายแบบหลายราคา ขึ้นกับรูปแบบ ขนาด และวัสดุที่ใช้ในการผลิต ดังนั้นเราอาจพบเห็นหมูมงคลที่มีสนนราคาเพียง 20 บาท ไปจนถึงหลักพันหลักหมื่นเลยทีเดียว
พร้อมทรัพย์ ทรัพย์สะพรั่ง ซินแสที่มีความเชี่ยวชาญในการดูดวงและดูฮวงจุ้ย พูดถึงการนำหมูมงคลมาวางตามจุดต่างๆ ของบ้านว่า
“หมูเงินหมูทองเป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์ บางตัวจะเขียนอักษรจีนที่มีความหมายเป็นมงคลไว้บนตัวหมูด้วย เช่น ไช้ แปลว่าโชคลาภ การนำหมูมงคลมาตั้งไว้ที่บ้านหรือที่ทำงานจึงถือเป็นการเสริมสิริมงคลให้ชีวิต ซึ่งตามหลักโหราศาสตร์ของจีนเชื่อว่าสัตว์ที่เป็นมิตรกับหมูคือเสือ ดังนั้นในปีกุนซึ่งเป็นปีหมูจึงควรนำเสือมาวางคู่กับหมู เพื่อเป็นการเสริมดวงให้ดียิ่งขึ้น ส่วนจะวางหมูมงคลไว้ในตำแหน่งไหนของบ้านจึงจะดีนั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าของบ้านว่าเกิดวันไหน ปีอะไร จริงๆ แล้ววัตถุต่างๆ ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เข้ามาช่วยเสริมสิริมงคลเท่านั้น แต่สิริมงคลที่เป็นแก่นแกนในการส่งเสริมชีวิตก็คือบุญอันเกิดจากการทำความดีของตัวเรานั่นเอง”
ทั้งนี้ นอกจากตุ๊กตาหมูมงคลแล้ว ของขวัญปีใหม่ปีนี้ยังนิยมทำออกมาเป็นรูปหมูอีกด้วย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพวกตุ๊กตาเซรามิก ตุ๊กตาขนฟู และของกระจุกกระจิกอย่างพวงกุญแจแขวนกระเป๋า และที่ห้อยโทรศัพท์มือถือ ซึ่งถือว่ามีออกมามากแบบมากลายที่สุด เนื่องจากขายง่ายเพราะสนนราคาถูก เพียง 5-10 บาทเท่านั้น กลุ่มวัยรุ่นและพนักงานบริษัทจึงนิยมซื้อเหมาโหลไปแจกเพื่อนๆ เพื่ออวยพรปีใหม่แทนการให้บัตรอวยพรที่เรียกว่า ส.ค.ส.ซึ่งลดความนิยมลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
สมหมาย แจ่มวัย แม่ค้าขายที่ห้อยโทรศัพท์มือถือย่านสำเพ็ง บอกว่า “ ช่วงใกล้ปีใหม่นี่มีที่ห้อยโทรศัพท์มือถือรูปหมูออกมาเยอะมาก มีออกมาหลายสิบแบบ ก็ขายดีนะ ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มวัยรุ่น วัยทำงาน เขาจะซื้อเป็นโหลๆ เอาไปแจกเพื่อนตอนปีใหม่ คือมันถูกกว่าไง อันละ 5 บาท ถ้าซื้อ 1 โหลแค่ 60 บาท นอกจากดูน่ารักแล้วก็ยังเอาไปใช้ได้ด้วย”
ปีหมู สักการะเทพเจ้าหมู
หากปีใหม่นี้จะเสริมสิริมงคลให้ชีวิตด้วยการไปสักการะอนุสรณ์สถานหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นสัญลักษณ์ของปีกุนก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด สถานที่ที่พอจะแนะนำได้และไม่ใกล้ไม่ไกลกรุงเทพฯมากนักมีอยู่ 2 แห่งด้วยกัน
แห่งแรกคือ 'อนุสาวรีย์หมู' ซึ่งตั้งอยู่บริเวณริมคลองหลอด ด้านหลังวัดราชประดิษฐ์ ตรงข้ามกระทรวงมหาดไทย เพียงแต่เดินข้ามสะพานข้ามคลองหลอดซึ่งอยู่ด้านหน้ากระทรวงไปก็จะเห็นอนุสาวรีย์หมูสีทองอร่ามตั้งอยู่ แม้อนุสาวรีย์นี้จะไม่ได้เป็นเทพเจ้าแห่งหมู หรือสร้างขึ้นเพื่อเป็นตัวแทนของปีกุนโดยตรง แต่ก็สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงบุคคลสำคัญที่เกิดในปีกุน นั่นก็คือ 'สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ' ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสที่พระองค์ทรงเจริญพระชนมายุครบ 50 พรรษา ในปี 2456
เนื่องจากในปีดังกล่าวบรรดาผู้ที่เกิดปีเดียวกับสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ คือ พ.ศ. 2406 ซึ่งเป็นปีกุน อันได้แก่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ และพระยาพิพัฒน์โกษา (เศเลสติโนซาเวียร์) มีความคิดที่จะทำหีบพระศรีถวาย แต่สมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ ได้มีพระราชเสาวนีย์ลงมาว่าไม่ทรงรับของถวาย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ จึงปรึกษากับพระยาพิพัฒน์โกษา คิดจะดำเนินการเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระองค์ท่านโดยที่ไม่ฝ่าฝืนพระราชเสาวนีย์ จึงตกลงกันร่วมสร้างอนุสาวรีย์รูปหมู อันเป็นปีนักษัตรของสมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ และทำก๊อกน้ำประปาสำหรับประชาชน เพื่ออุทิศถวายเป็นพระราชกุศลในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระองค์ ต่อมาพระยาราชสงคราม (กร หงสกุล) รู้เข้าก็ขอร่วมด้วย โดยมอบหมายให้ จิตร พิมพโกวิท และพระเทพรจนา (สิน ประฏิมาประกร) เป็นผู้ออกแบบและก่อสร้าง
ลักษณะรูปแบบศิลปกรรมของอนุสาวรีย์หมูนั้นทำเป็นรูปหมูยืนอยู่บนกองหินที่ก่อเป็นเนินเขาเล็กๆ หล่อด้วยทองแดง ที่ฐานมีศิลาจารึกเป็นหินชนวนสีเทา กว้าง 80 ซม. สูง 58 ซม. จารึกคำถวายพระพรแด่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ต่อด้วยรายพระนามและรายนามของผู้ที่ร่วมลงทุนในการสร้างอนุสาวรีย์ถวาย แต่ก๊อกน้ำประปาซึ่งมีอยู่แต่เดิมนั้นในภายหลังเกิดการชำรุดเกินกว่าจะซ่อมแซมจึงได้ถูกรื้อออกเหลือแต่อนุสาวรีย์หมูดังกล่าว ต่อมาได้มีชาวบ้านนำผ้าแดงมาผูกและกราบไหว้บนบานศาลกล่าว จึงมีผู้คนมาสักการะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นอนุสาวรีย์ที่ชาวบ้านมากราบไหว้ขอพรจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งยังมีผู้นำฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พร้อมทั้งคำสวดบูชาพระองค์ท่านมาตั้งไว้บนโต๊ะเล็กๆ ด้านหน้าอนุสาวรีย์เพื่อให้ผู้ที่ผ่านไปมาได้บูชาด้วย
สิ่งสักการะที่เกี่ยวข้องกับหมูอีกแห่งหนึ่งคือ 'เทพเจ้าปีกุน' ซึ่งอยู่ที่บริเวณชั้น 2 ของอาคารเฉลิมพระเกียรติ ภายในมูลนิธิอุบลรังสีจุฬามณี จ.นครปฐม ซึ่งเป็นสถานที่ที่รวบรวมความเป็นสิริมงคลตามแนวพุทธศาสนาทั้งแบบไทย จีน และทิเบตไว้อย่างกลมกลืน โดย 'เทพเจ้าปีกุน' นั้นเป็นหนึ่งในเทพเจ้าแห่งปีนักษัตรทั้ง 12 องค์ ซึ่งผู้ที่เกิดในปีกุนนิยมมาสักการะเทพเจ้าปีกุนเพื่อขอพรให้ประสบแต่ความโชคดี หรือทำบุญสะเดาะเคราะห์เพื่อความสบายใจ
สำหรับผู้ที่ต้องการไปสักการะเทพเจ้าหมูที่มูลนิธิอุบลรังสีจุฬามณีนั้น หากเดินทางจากกรุงเทพฯ สามารถใช้เส้นทางถนนปิ่นเกล้า-นครชัยศรี ผ่านแยกพุทธมณฑลสาย 4 ขับตรงไปเพื่อยูเทิร์นตรงสะพานกลับรถ จากนั้นให้วิ่งในเส้นคู่ขนาน จะเห็นป้ายทางเข้ามูลนิธิอุบลรังสีจุฬามณีอยู่ทางซ้ายมือ (ทางเข้าอยู่ติดกับวัดหทัยนเรศวร์) เข้าไปประมาณ 500 เมตร ซึ่งเพียงก้าวแรกที่ผ่านพ้นประตูเข้าไปในมูลนิธิแห่งนี้ก็ให้รู้สึกถึงความสงบชุ่มเย็นที่แผ่ซ่านในจิตใจอย่างยากจะอธิบาย นับเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่ดีไม่น้อยทีเดียว
หมูกระทะถูกโฉลกกับนักมวย
หากจะนัดหมายเพื่อนฝูงหรือพาสมาชิกในครอบครัวไปสังสรรค์ฉลองวันปีใหม่ ลองมองหาร้านหมูกระทะ บุฟเฟต์ปิ้งย่างราคาย่อมเยาซึ่งสอดรับกับแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงก็ดูจะเข้าทีไม่น้อย ด้วยสนนราคาที่ค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับร้านอาหารแบบอื่นๆ โดยทั่วไปราคาจะอยู่ที่หัวละ 69-99 บาท (ไม่รวมค่าเครื่องดื่ม) ที่สำคัญคือรับประทานได้ไม่อั้น และสามารถนั่งสังสรรค์กันได้ทั้งคืน
จริงๆ แล้วหมูกระทะนั้นเป็นเมนูที่กลายพันธุ์มาจากหมูย่างเกาหลีซึ่งเริ่มแพร่หลายเข้ามาในประเทศไทยเมื่อ 20 กว่าปีก่อน โดยสูตรดั้งเดิมของหมูย่างเกาหลีนั้นจะเป็นหมูสไลซ์หมักกับขิง น้ำมันงา ซีอิ๊วขาว งาขาวคั่ว แล้วนำไปปิ้งบนกระทะแบนๆ สุกแล้วนำมาจิ้มกับน้ำจิ้มซีอิ๊วดำหวานๆ โรยหน้าด้วยงาขาว รับประทานคู่กับผักดองรสเปรี้ยวๆเผ็ดๆที่เรียกว่ากิมจิ
แต่ด้วยลิ้นของคนไทยที่ชื่นชอบอาหารรสจัดจ้าน โดยเฉพาะรสเผ็ด จึงได้มีการปรับสูตรเครื่องหมักเนื้อหมูให้เข้มข้นขึ้น และเพิ่มประเภทเนื้อสัตว์ต่างๆเข้าไป เช่น เนื้อ ไก่ ปลาหมึก แต่เครื่องหมักยังคงมีงาขาวเป็นตัวชูรสเพื่อคงความเป็นเกาหลีเอาไว้ อีกทั้งยังปรุงน้ำจิ้มเสียใหม่โดยนำกระเทียม มะนาว พริกขี้หนู หรือพริกป่นมาเป็นส่วนประกอบ เพื่อให้ได้น้ำจิ้มรสแซบถูกปาก
เดิมหมูเกาหลีหรือหมูกระทะนั้นจะขายเป็นชุดๆ ไม่ได้เปิดเป็นร้านบุฟเฟต์เหมือนปัจจุบัน แต่ต่อมาเมื่อความนิยมหมูกระทะเพิ่มขึ้นและมีผู้ทำขายกันมากขึ้น ผู้ที่ดำเนินกิจการด้านนี้จึงปรับกลยุทธ์ใหม่โดยเปิดเป็นร้านบุฟเฟต์หมูกระทะ พร้อมทั้งเพิ่มเมนูอาหารอื่นๆ ทั้งของคาวของหวานเข้าไปเพื่อดึงดูดลูกค้า ส่วนร้านใดจะเป็นเจ้าแรกนั้นไม่ได้มีการบันทึกไว้ ซึ่งอาจเป็นเพราะรสชาติอร่อย ราคาถูก ในช่วง 10 ที่ผ่านมาบุฟเฟต์หมูกระทะจึงได้รับความนิยมจนกลายเป็นกระแสฮิตที่ทำขายกันทั่วบ้านทั่วเมือง และเมื่อการแข่งขันสูงขึ้นจึงมีการพลิกแพลงปรับเมนูเป็นร้านกุ้งกระทะ, ร้านสเต๊ก+หมูกระทะ เพื่อสร้างจุดขายที่แตกต่าง
ที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งก็คือ ร้านหมูกระทะนับเป็นธุรกิจที่มีบรรดานักมวยทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่แห่แหนกันเข้ามาดำเนินกิจการและยึดเป็นอาชีพหลักหลังจากการแขวนนวมมากที่สุดอาชีพหนึ่ง ว่ากันว่านักมวยที่บุกเบิกธุรกิจหมูกระทะเป็นคนแรกก็คือ 'นำพล สีจันทึก' ซึ่งใช้ชื่อในการชกว่า 'นำพล หนองกี่พาหุยุทธ' อดีตแชมป์โลกเจ้าของฉายา 'ขุนเข่าหน้าเปื่อย' โดยร้านซึ่งอยู่ที่ จ.นครราชสีมานั้นมีลูกค้ามาอุดหนุนกันเนืองแน่นจนรวยไม่รู้เรื่อง ต่อมา 'เพียว จันทึก' หรือ 'จอมไถนา-นำขบวน หนองกี่พาหุยุทธ' น้องชายแท้ๆของนำพลซึ่งยึดอาชีพนักมวยเหมือนพี่ชายก็หันมาเปิดร้านเนื้อย่างเกาหลีตามพี่ชายด้วย และร้านของเพียวก็ประสบความสำเร็จเช่นกัน ทำให้บรรดานักมวยต่างหันมามองธุรกิจนี้กันมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็น 'ไอ้หมัดทะลวงไส้' นาม 'เขาทราย กาแล็กซี่' นักชกขวัญใจชาวไทย อดีตแชมป์จูเนียร์แบนตัมเวตของสมาคมมวยโลก ที่เปิดร้านหมูกระทะอยู่ในย่านทาวน์อินทาวน์ กรุงเทพฯ , 'สมรักษ์ คำสิงห์' เจ้าของวลีเด็ด “ไม่ได้โม้...” นักชกหัวไวเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิกคนแรกของประเทศไทย จากการขึ้นชกมวยสากลสมัครเล่นในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเมื่อปี 2539 ก็ตามรอยรุ่นพี่ โดยนำเงินรางวัลที่ได้มาเปิดร้านหมูกระทะ , 'วิชัย ขัดโพธิ์' หรือ 'วิชัย ราชานนท์ ' ที่สามารถคว้าเหรียญทองแดงจากการขึ้นชกในกีฬาโอลิมปิกปี 2539 ปีเดียวกับสมรักษ์ ก็หันมาเอาดีในธุรกิจนี้เช่นกัน ตามมาด้วย 'ผจญ มูลสัน' อดีตนักมวยหมัดสั่ง เจ้าของเหรียญทองแดงโอลิมปิก ซึ่งนำชื่อของตนเองมาเป็นชื่อร้าน โดยตั้งชื่อว่า 'ผจญ มูลสัน หมูกระทะ'
แม้นักมวยทุกคนอาจไม่ได้ประสบความสำเร็จจากการเปิดร้านหมูกระทะเหมือนกันหมด แต่ธุรกิจนี้ก็กลายเป็นกระแสฮิตจนเรียกกันติดปากว่า 'หมูกระทะนักมวย'
ในปี 2550 นี้ อาจมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับหมูอีกมากที่คุณๆอยากสัมผัส แต่เหนือสิ่งอื่นใดทุกคนคงอยากให้ทุกอย่างในชีวิตกลายเป็น 'เรื่องหมูๆ' ให้สมกับที่หมอดูหลายสำนักทักทายกันว่าปีหน้านี้เป็นปี 'หมูทอง'
/////////////////////
เรื่อง – จินดาวรรณ สิ่งคงสิน