เมื่อความแก่ชราของสภาพร่างกายยังคงย่างเท้าเข้ามาหาเราอยู่ทุกวี่วัน คนส่วนใหญ่อาจจะไม่รับรู้ว่าอายุที่มากขึ้นบวกกับอาการหลงๆ ลืมๆ รวมไปถึงเรื่องราวเกี่ยวกับความจำที่สูญเสียไป หรือความจำบกพร่องนั้น เป็นที่มาของโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer) ซึ่งมีการวิจัยค้นพบมาจนครบรอบ 100 ปีเต็มในปีนี้
นับไปนับมา หากมีเวลาเพียง 15 นาที ที่จะต้องอธิบายให้ท่านสุภาพสตรี และสุภาพบุรุษเกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องภาวะสมองเสื่อม หรืออัลไซเมอร์ นั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
ดังนั้น ‘โรคอัลไซเมอร์’ ที่ว่านี้จึงกลายมาเป็นธีมหลักในการใช้ถ่ายทอดเรื่องราวการดูแลเอาใจใส่และการให้ความสำคัญต่อผู้สูงอายุที่สูญเสียความทรงจำ เพื่อเข้าประกวดในโครงการหนังสั้นชิงรางวัล Forget - Me – Not Award ปลายทางแห่งฝันกับความทรงจำที่เลือนราง (Every Demented has a Dream) ที่เพิ่งมีการประกาศผลรางวัลไปเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ที่ผ่านมาสดๆ ร้อนๆ และว่ากันว่าจะมีการนำผลงานภาพยนตร์สั้นที่ได้รับรางวัลไปเผยแพร่ใน 4 ทวีปทั่วโลก
โดยภาพยนตร์จะต้องสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของโรคอัลไซเมอร์แล้ว และที่นอกเหนือไปจากนั้นคือ ต้องให้ความสำคัญไปถึงเรื่องความสัมพันธ์ของครอบครัวและคนรอบข้าง ซึ่งผู้กำกับต้องถ่ายทอดให้ได้อย่างลึกซึ้ง และกระชับเพราะระยะเวลาจำกัดอยู่เพียง 15 นาทีเท่านั้น
และแล้วความรักสุดพิเศษของภาพยนตร์สั้นอัลไซเมอร์เริ่มต้นขึ้นตรงนี้
“เหมือนเคย” ความทรงจำ อบอุ่น อ่อนโยน ของคุณตา คุณยาย
คงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด ถึงขนาดไม่น่าเชื่อ หากคนในครอบครัวที่อายุเกินกว่า 60 ปี ส่งสัญญาณที่จะบ่งบอกว่าชีวิตเริ่มผิดปกติ โดยมีอาการของผู้ป่วยสมองเสื่อม ซึ่งจะเห็นได้จากการสูญเสียความทรงจำในระยะสั้นจนมีผลกระทบจากการทำงาน สิ่งที่เคยทำเป็นกิจวัตรประจำวัน เช่น กินข้าว อาบน้ำ กลับเริ่มทำไม่ได้ ไม่รู้เวลา ไม่รู้สถานที่ และมีอารมณ์หรือพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง เริ่มวางของผิดที่ผิดทาง
แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดาเกินกว่าที่จะนั่งดูอยู่เฉยๆ ได้ จึงทำให้มีการจับประเด็นดังกล่าวมาถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์สั้นสโลโมชันเนิบๆ ที่ดำเนินเรื่องด้วยคู่รักวัยคุณตา คุณยาย ที่รู้จักกันในชื่อ “เหมือนเคย” เป็นผลงานการกำกับของ ศิวโรจณ์ คงสกุล หนุ่มร่างท้วมวัย 27 ปี ที่ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะเลือกเดินทางต่อไปในแวดวงภาพยนตร์ เขาจึงทุ่มเทเวลาทั้งหมดตลอดระยะเวลา 1 เดือน ให้กับภาพยนตร์สั้นเรื่องนี้
ก่อนหน้าที่จะเริ่มลงมือถ่ายทำภาพยนตร์สั้นเรื่อง “เหมือนเคย” ศิวโรจน์ เล่าให้ฟังว่า “ผมไม่เคยมีความรู้ความเข้าใจเรื่องโรคอัลไซเมอร์อยู่เลย คิดอย่างเดียวว่ามันก็คือโรคคนแก่ทั่วๆ ไป แต่ก็พอมีความคุ้นเคยกับคนป่วยอยู่บ้าง สารภาพตามตรงว่าความจริงแล้วผมอยากทำหนังรักมาก ซึ่งผมคิดว่า “เหมือนเคย” ก็สื่อตรงนั้นออกมาได้ใจ เพราะมันแฝงไปด้วยความเป็นหนังโรแมนติกมากอยู่ในนั้น”
ศิวโรจน์ บอกต่ออีกด้วยว่า “หนังเรื่องนี้ผมเลือกนำเสนอโดยใช้วิธีการซ่อนอาการของโรค โดยเลือกนำเสนออยู่เพียงบางจุด แต่โดยรวมแล้วก็ยังอยากให้เห็นคนเป็นโรคนี้ แต่ไม่ใช่ถึงขั้นว่าเป็นหนังที่แสดงถึงอาการมีปัญหาของผู้ป่วย เน้นที่ตัวละครที่จะต้องแสดงให้เห็นถึงชีวิตประจำวันของผู้ป่วยว่าเป็นอย่างไร และมีอะไรที่พอจะแทรกข้อมูลลงไปได้ก็จะเสริมลงไป เพราะสุดท้ายแล้วการแก้ไขปัญหาคือการอยู่กับคนป่วย มอบความรัก ความอบอุ่นและความเข้าใจที่พอจะช่วยดูแลเขาได้"
นอกจากนี้ความน่าทึ่งต่อมาของ “เหมือนเคย” คือ มุมมองของการดูแลซึ่งกันและกันของผู้สูงอายุ รวมถึงการเอาใจใส่คนรอบข้าง ซึ่งศิวโรจน์บอกว่า ในส่วนนี้คนไทยน่าจะมีความลึกซึ้ง ละเอียดอ่อนมากกว่าชาติอื่นๆ จึงมีความรู้สึกยินดีอย่างมากที่จะมีการเผยแพร่ภาพยนตร์สั้นเรื่องนี้ให้ต่างชาติได้รับทราบข้อมูลเพื่อเป็นประโยชน์
“ไม่ว่าคุณจะสูญเสียความทรงจำอะไรไปมากแค่ไหน แต่เมื่อคนสองคนยังคงมอบความรู้สึกรักและห่วงใยดูแลกันอยู่เหมือนเดิมที่แรกรักกัน” เป็นนิยามง่ายๆ แต่มีที่มาของชื่อเรื่อง “เหมือนเคย”
“เหมือนเคย” เป็นเสมือนความอบอุ่น ความเข้าใจของคนสองคน บางทีคนที่ไม่เข้าใจในความรัก อาจจะยังไม่รู้สึกคล้อยตามไปกับหนังสั้นเรื่องนี้” ศิวโรจน์กล่าว น้ำเสียงของเขาไม่ได้พูดเล่น
ต้องยอมรับตามตรงว่า ระยะเวลาเพียง 15 นาทีของ “เหมือนเคย” ทำให้
5 นาทีแรก…พูดไม่ออก
5 นาทีต่อมา…หลายคนกำลังอินอารมณ์กับภาพยนตร์สั้นเรื่องนี้
5 นาทีสุดท้าย...แทบไม่ต้องเดาเลยว่า ระดับเดซิเบลของเสียงปรบมือจะดังกึกก้องแค่ไหนในโรงภาพยนตร์
Memories "ตอนนี้คุณลืมใครอยู่หรือเปล่า?"
เรื่องบางเรื่องอาจคลาดเคลื่อน เนื่องจากพื้นที่บรรจุความทรงจำในสมองนั้นอาจลดน้อยถอยลงเพราะความสูงอายุ ทว่าในวัยรุ่นเป็นวัยที่มีพื้นที่สามารถใช้ในการบันทึกความทรงจำได้เป็นอย่างดี แต่กลับพบว่ามีวัยรุ่นจำนวนไม่น้อยที่จดจำอะไรไม่ได้ คิดอะไรไม่ค่อยออก ซึ่งนั่นอาจเป็นเรื่องของสมาธิที่ไม่ดี ความตั้งใจไม่เต็มที่ และปัญหาจากเรื่องของอารมณ์และความเครียด จนทำให้บางครั้งหลงลืมเรื่องเล็กๆ ที่สำคัญยิ่งใหญ่ไปได้ง่ายๆ
MEMORIES เป็นภาษาอังกฤษ แปลว่า ‘ความทรงจำ’ และนี่คือหนังสั้นอีกเรื่องหนึ่งที่สามารถเรียกความรู้สึกซาบซึ้ง และประทับใจจากผู้ชมได้อย่างไม่น้อยหน้า ซึ่งเป็นผลงานการกำกับของ ธีระพล สุเนต์ตา หนุ่มวัย 28 ปี ที่เคยร่วมคว้ารางวัลจากเทศกาลหนังสั้นครั้งที่ 10 มาแล้ว จากภาพยนตร์สั้นเรื่อง สามนาที
ผู้กำกับภาพยนตร์สั้น เรื่อง Memories กล่าวว่า “ในตอนแรกคิดไว้ว่าจะไม่กลับมาทำหนังสั้นอีกต่อไปแล้ว เพราะว่าเหนื่อย เนื่องจากงบประมาณที่ต้องเป็นคนหาเอง ทีมงานที่ต้องจัดตั้งขึ้นเอง ถ่ายเอง ตัดต่อเอง ติดต่อประสานงานทุกอย่างด้วยตัวเองหมด นี่คือความเป็นหนังสั้นที่กว่าจะทำออกมาได้นั้นแสนเหนื่อย ซึ่งมันแตกต่างกับหนังใหญ่โดยทั่วไปคือ เขาจะมีแต่ละแผนก โดยแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน
แต่สิ่งที่ทำให้ตัดสินใจหวนกลับมาในวงการหนังสั้นอีกครั้งหนึ่งเป็นเพราะ ภาพยนตร์สั้นเรื่อง Memories นี้ ได้แรงบันดาลใจที่เกิดขึ้นจากบทภาพยนตร์ของพี่ชายคือ นพดล สุเนต์ตา เป็นผู้แต่งขึ้น แล้วส่งเข้ามาประกวด หลังจากนั้นพอทราบว่าบทภาพยนตร์ได้ผ่านเข้ารอบ จึงได้นำเรื่องดังกล่าวมาปรึกษาหารือกันว่าจะเอายังไงต่อไปดี หลังจากตัดสินใจอยู่นานต่อมา จึงตกลงกันว่าจะลงมือกำกับเอง และต้องทำในระยะเวลาที่กำหนดคือ 1 เดือน ซึ่งผมก็ได้ทุ่มเวลาที่มีให้กับหนังเรื่องนี้อย่างเต็มที่”
หลักการทำงานของ ธีระพล เขาได้เริ่มต้นจากการดูโจทย์ แล้วหาคำตอบว่าต้องทำอย่างไรถึงจะเป็นการตอบโจทย์ได้อย่างชัดเจน โดยในเรื่อง Memories เป็นการตีความไว้ว่าประเด็นสำคัญในเรื่องของความทรงจำที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องของโรคอัลไซเมอร์ จะต้องนำเสนอออกมาในรูปแบบของความรักและความเข้าใจ สภาพอาการเจ็บป่วยของคนไข้มากกว่า เพราะความเป็นจริงแล้วเราไม่สามารถเข้าไปแก้ไขอะไรตรงนั้นได้ วิธีเดียวที่เราทำได้ในตอนนี้คือ รำลึกถึงว่าครั้งหนึ่งบุคคลเหล่านั้นเป็นคนที่เคยเป็นพ่อเป็นแม่ของเรา แม้ในวันนี้จะกลายเป็นเสมือนคนแปลกหน้าก็ตาม
“ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยมีความรู้เรื่องโรคอัลไซเมอร์มาก่อนเลย จึงต้องมีการทำการบ้านก่อน เพื่อจะได้มีความเข้าใจในพฤติกรรมของผู้ป่วยมากยิ่งขึ้น โดยต้องมีการค้นคว้าหาความรู้อยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นห้องสมุด อินเทอร์เน็ต หรือหาวีซีดีเกี่ยวกับพฤติกรรมการแสดงออกของผู้ป่วยมาดูประกอบด้วยว่าพฤติกรรมของผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้เขาจะต้องประสบปัญหาอะไรบ้าง เช่น เรื่องของการทานอาหาร จนรวมไปถึงเรื่องการปัสสาวะ อาบน้ำ บางเรื่องผมก็ไม่ได้นำเสนอออกมาในเนื้อเรื่องให้ผู้ชมสามารถรับรู้ได้ทั้งหมด แต่ผมจะเลือกเฉพาะประเด็นที่สามารถสะท้อนให้เห็นปัญหาชัดๆ" ธีระพลเล่าให้ฟัง
Memories ไม่ได้เน้นเรื่องอาการเจ็บป่วยของผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์อย่างสมจริงมากนัก แต่จะเน้นหนักไปในเรื่องของความรักและความเข้าใจ แล้วเป็นการตั้งคำถามกลับว่า จริงๆ แล้วใครที่เป็นโรคอัลไซเมอร์กันแน่ ใครกันที่มักขี้หลงขี้ลืม ระหว่างพ่อที่ไม่สามารถจดจำภาพในปัจจุบันได้ แต่ยังคงจำภาพในอดีตได้อย่างชัดเจน และพยายามจะตามหากล่องใบหนึ่งเพื่อมอบให้ลูกสาว ส่วนผู้เป็นลูกสาวนั้นกลับจำเรื่องราวในปัจจุบันได้อย่างชัดเจน แต่จำเรื่องดีๆ ที่ผู้เป็นพ่อเคยมอบให้ในอดีตไม่ได้เลย
“ผมใช้เวลาถ่ายทำจริงๆ 4 วัน ความสำเร็จครึ่งหนึ่งต้องยกให้กับตัวนักแสดงที่ทำงานได้ดีมากๆ คุณลุงที่แสดงนำในเรื่องนี้มีความเป็นมืออาชีพสูง เนื่องจากเวลาที่มีนักแสดงเป็นผู้สูงอายุเป็นตัวดำเนินเรื่องทั้งหมด เราต้องเลือกคนที่มีความสามารถในระดับหนึ่ง เพราะหากเป็นผู้สูงอายุที่ไม่ใช่นักแสดงจริงๆ มาเล่นมันก็จะยาก หรือไม่เข้าถึงบทบาทตรงนั้น ทุกคนที่มีส่วนร่วมทำหนังสั้นเรื่องนี้ต่างมาช่วยกันทำด้วยความจริงจัง จริงใจ ทำให้ผมมีกำลังใจในการทำงานต่อไป” ธีระพลยังเล่าถึงเรื่องความประทับใจให้ฟัง
“ทุกวินาทีในหนังสั้นเรื่องนี้ ผมเอามาแลกกับเวลาที่ควรอยู่กับแม่ในระยะเวลา 2 อาทิตย์ พอหนังเรื่องนี้เสร็จ แม่ผมก็เสียชีวิตจากโรคมะเร็ง ดังนั้นหนังสั้นเรื่องนี้จึงขอมอบแด่คุณแม่ตุ๊กตา สุเนต์ตา” ธีระพลพูดด้วยน้ำเสียงเครียด ท่าทางจริงจัง
สุดท้ายธีระพลได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “การทำหนังสั้นเป็นเหมือนก้าวแรกในการทำหนังให้คนอื่นดู อยากให้ผู้ผลิตทุกคนจริงใจกับผู้ชม”
น้ำทะเลที่เซาะทราย “มันคือความจริง...ที่ไม่เที่ยงแท้ ”
เคยสงสัยไหมว่า ทำไมภาพยนตร์ตลกถึงขายได้ และบางเรื่องถึงขั้นขายดิบขายดี หากเวลานี้คอหนังสั้นทั้งไทยและเทศคนไหนที่กำลังห่อเหี่ยว หมดกำลังใจ เมื่อพบว่าคนในบ้านที่เคยพูดคุยภาษาเดียวกัน แต่ในวันหนึ่งกลับสื่อความหมายกันไม่เข้าใจ ดังนั้นควรหาภาพยนตร์สั้นตลกแบบสารประโยชน์ เรื่องน้ำทะเลที่เซาะทรายมาครอบครองโดยฉับพลัน
น่าประหลาดใจจริงๆ เมื่อประเด็นโรคอัลไซเมอร์ จะกลายเป็นหนังที่ดูแล้วตลกมากกว่าอบอุ่น แต่นี่คือความเป็นจริง เมื่อคู่หู สุกัลยา ปะกัง หญิงสาววัย 23 ปี และ ผดุง สมาจาร ชายหนุ่มวัย 22 ปี ผู้กำกับหนังสั้นเรื่องน้ำทะเลที่เซาะทราย ได้เนรมิตความแปลกนั้นขึ้นมาจนน่าติดตาม
“ไม่ซีเรียส” ดูเหมือนว่าคำนี้จะเป็นคอนเซ็ปต์ในการทำภาพยนตร์สั้นเรื่อง น้ำทะเลที่เซาะทราย ของสุกัลยา และ ผดุง เพราะจากการสังเกตจากบุคลิกของผู้กำกับทั้งสอง ดูแล้วมีความสนุกสนาน ร่าเริงอยู่ในนั้นไม่น้อยเลยทีเดียว
และบวกกับจังหวะและลีลาของตัวนักแสดงในการนำเสนอที่เป็นสิ่งที่ฉีกออกมาอยู่นอกกรอบ เพราะทั่วไปเมื่อพูดถึงเรื่องของอัลไซเมอร์แล้วมักจะพบว่าโดยรวมจะเป็นเรื่องของความรัก และความอบอุ่น แต่ภาพยนตร์สั้นเรื่องนี้กลับทำให้ออกมาดูสนุกสนานและเข้าใจง่าย ไม่น่าเบื่อ ออกมาเป็นแนววาไรตี้ สนุกสนานจากจุดนี้ทำให้น้ำทะเลที่เซาะทรายมีเสน่ห์จนทำให้ดูแตกต่างไปจากหนังสั้นเรื่องอื่นๆ ในธีมเดียวกัน
ส่วนแรงบันดาลใจจากคนเขียนบทภาพยนตร์ สุกัลยาเล่าให้ฟังว่า “ในครอบครัวของเรามียายที่เป็นโรคอัลไซเมอร์อยู่ด้วย ทำให้เห็นภาพอยู่เสมอเวลาที่แม่ต้องเป็นคนคอยดูแลยายเพียงคนเดียวไม่มีใครคิดช่วยเหลือ และเวลาที่ยายเป็นอะไรขึ้นมาหลายๆ คนมักจะพูดเสมอว่า ทำไมไม่ทำอย่างนั้น ทำไมไม่ทำอย่างนี้ จึงนำจุดนี้มานำเสนอและถ่ายทอดเป็นบทภาพยนตร์”
น้ำทะเลที่เซาะทราย จึงกลายเป็นภาพยนตร์สั้นที่สะท้อนมุมมองชีวิตของวัยรุ่น ที่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งสามารถถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกของผู้ดูแลได้อย่างตรงไปตรงมา จนทำให้ผู้ชมมองเห็นปัญหาและข้อดี ข้อเสียของการดูแลผู้ป่วยที่ความจำบกพร่อง
นอกจากนี้ภาพยนตร์สั้นเรื่องนี้ยังสื่อในเรื่องช่องว่างระหว่างวัยได้อย่างชัดเจน เพื่อให้ทุกคนในครอบครัวสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งในระหว่างการดำเนินเรื่องไปนั้นจะสัมผัสได้ถึงความเป็นธรรมชาติที่มาพร้อมกับความตลกขบขัน และเข้าใจง่าย
“มันไม่ได้ออกมาอย่างที่คิดไว้เท่าไหร่นัก แต่หนังเรื่องนี้ผมชอบที่กระบวนการทำงานที่แต่ละคนมีการแชร์กัน ซึ่งหนังคนอื่นเขาอาจจะเขียนบทคนเดียว กำกับคนเดียวจึงทำให้ทิศทางของหนังมันค่อนข้างที่จะตรง น้ำทะเลที่เซาะทรายของเราจึงเลือกที่จะสอดแทรกมุกตลกลงไป เพราะเราคิดว่าสาระมันอัดแน่นไปแล้ว เต็มที่อยู่แล้ว ซึ่งอาจจะทำให้ดูน่าเบื่อเกินไป” ผดุงกล่าว พร้อมลงท้ายด้วยเสียงหัวเราะ
สุกัลยาบอกต่อว่า “เราเคยดูหนังสั้นมาหลายเรื่อง ดังนั้นเราจึงอยากให้หนังเรื่องนี้ของพวกเราออกมาแล้วดูน่าติดตามทุกวินาที มีเรื่องให้ชวนฉงนจนอยากรู้ถึงฉากต่อไป เพราะถ้าทำแล้วออกมาไม่ดี คนอื่นไม่อยากดูงานที่เราผลิตออกมาเราก็จะไม่สบายใจ เพราะเราเคยมีความรู้สึกอย่างนั้นเวลาไปดูภาพยนตร์บางเรื่องที่มันไม่สนุก ทำให้รู้สึกว่าเมื่อไหร่จะจบไปสักที”
ผดุงเสริมขึ้นว่า “การทำหนังสั้นครั้งนี้เป็นเหมือนการได้โอกาสที่ดี ได้กลับมาทำหนังสั้นกับเพื่อนๆ อีกครั้ง เพราะเหมือนว่าหลังจากจบจากการเรียนแล้ว โอกาสที่จะได้ไปทำหนังสั้นนั้นน้อยลง เพราะมีข้อจำกัดในเรื่องของการรวมตัวของทีมที่ค่อนข้างยากลำบากมาก บางคนต้องมีงาน มีหน้าที่จะต้องรับผิดชอบ และในฐานะที่ผมอยากสนุก อยากได้ประสบการณ์เพิ่มมากขึ้น ผมคิดว่าเวลาที่ทุ่มเทไปกับหนังเรื่องนี้ก็ถือว่ามันไม่เสียเปล่า”
“เหมือนกับที่เราไม่สามารถห้ามพระอาทิตย์ให้ขึ้นและตก ไม่สามารถห้ามลมไม่ให้พัด ไม่อาจห้ามน้ำทะเลไม่ให้เซาะปราสาททราย มันก็คือความจริง...ที่ไม่เที่ยงแท้ โรคอัลไซเมอร์ก็เช่นกัน นี่คือที่มาของภาพยนตร์สั้นเรื่อง น้ำทะเลที่เซาะทราย” สุกัลยากล่าวทิ้งท้าย
**********************
เรื่อง – นาตยา บุบผามาศ