“...พวกเขาเปรียบเทียบว่า ราษฎรที่นับถือศาสนาอิสลามนั้น เปรียบเสมือน ‘ฟืน’ ส่วนตำรวจกับเจ้าหน้าที่รัฐนั้นเสมือน‘ไม้ขีด’ ซึ่งจุดติดฟืนบ้าง ไม่ติดบ้าง เป็นอย่างนี้มาหลายสิบปี แล้ว แต่รัฐบาล(ยุคทักษิณ)นั้นเปรียบเสมือน ‘น้ำมัน’ ที่ราดลงไปบนฟืน...”
จาก “ปฏิบัติการลับ ดับไฟใต้” ตอน “อยู่ใต้ฟ้าเดียวกัน” โดย : พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์
เป็นเวลาร่วม 3 ปีแล้ว หลังเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ปะทุขึ้นจากการปล้นปืนในค่ายทหาร และการเผาโรงเรียน ใน จ.นราธิวาส ช่วงเดือน มกราคม 2547 ซึ่ง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปรามาสว่าเป็นแค่การกระทำของโจรกระจอก
แต่หลังจากนั้นเหตุการณ์ดูเหมือนจะบานปลายขึ้นไปเรื่อยๆ จนเป็นหนึ่งในปัญหาหนักอกของรัฐบาล ที่แม้แต่รัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เข้ามาดำเนินการ พร้อมกับกล่าวคำขอโทษแทนรัฐบาลที่ผ่านมา ซึ่งทันทีที่คำขอโทษจบลง มีเสียงปรบมือชื่นชมตามมาอย่างมากมาย...
*สงครามเชิงสัญลักษณ์ ชิงมวลชน
ทว่า...หลังจากนั้นอีกไม่กี่วัน ความรุนแรงกลับเกิดขึ้นอีก การลอบทำร้าย การวางระเบิดเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนหลายๆคนตั้งคำถามว่าทำไมขอโทษแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น?!?
ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ให้ทัศนะจากการเก็บข้อมูลความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มาตลอด 3 ปี ว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็น “สงครามเชิงสัญลักษณ์” หลังรัฐบาลใหม่กำลังบ่อนเซาะทำลายฐานมวลชนของกลุ่มก่อความไม่สงบด้วยคำ “ขอโทษ” ของนายกรัฐมนตรี
ในขณะที่กลุ่มก่อความไม่สงบตอบโต้ด้วยการสร้างสัญลักษณ์ให้คนทั้งประเทศเห็นว่า...คนในพื้นที่ไม่ยอมรับไมตรีของรัฐบาล...ดังกรณีการชุมนุมปิดล้อมฐานตชด.3201 และ 3202 ของชาวบ้านกว่า 300 คน ที่บาเจาะ
เป็นยุทธวิธีเดิมๆ ที่ประสบผลสำเร็จมาแล้วหลายครั้ง ดังกรณีการล้อมจับ 2 นาวิกโยธิน เมื่อวันที่ 24-25 ก.ย. 48 ที่บ้านตันหยงลิมอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส การกักขังครูโรงเรียน เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 48 ที่บ้านไอบาตู อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส การล้อมจับและรุมทำร้าย ครูจูหลิง ปงกันมูล ครูโรงเรียนบ้านกูจิงลือปะ เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 49 ต.เฉลิม อ.ระแงะ จ.นราธิวาส และกรณีอื่นๆ
ศรีสมภพ อธิบายว่า เกิดจากพื้นที่ที่เกิดเหตุเป็นฐานเดิมที่กลุ่มขบวนการ(ก่อความไม่สงบ)จัดตั้งได้ค่อนข้างเข้มเข็ง จึงสามารถแสดงบทบาทต่อต้าน ท้าทาย หรือสร้างกระแสได้ง่ายมาก โดยเป้าหมายคือการสร้างภาพให้เห็นว่าประชาชนในพื้นที่ยังไม่ยอมรับในแนวทางสมานฉันท์ของรัฐบาล ถือเป็นสงครามเชิงสัญลักษณ์ที่สำคัญมาก
ในขณะที่ พล.อ.ปานเทพ ภูวนารถนุรักษ์ อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ให้ความเห็นว่า คำขอโทษของนายกฯ สามารถดึงมวลชนส่วนใหญ่ที่เคยหันไปร่วมกับกลุ่มขบวนการให้กลับมาอยู่ฝ่ายรัฐได้ แต่กลุ่มอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนยังมีอยู่ และยังพยายามแสดงอิทธิฤทธิ์ตลอดเวลา ซึ่งทุกฝ่ายต้องร่วมกันแก้ไขปัญหา
ดูเหมือนว่ารัฐบาลสุรยุทธ์จะให้ความสำคัญต่อปัญหาด้านมวลชนไม่น้อย เพราะนโยบายการแก้ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้หลายๆเรื่องเน้นในเรื่องนี้เป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการพบปะทำความเข้าใจกับมวลชน ผู้นำศาสนา ชาวบ้าน โต๊ะครู การนำเด็กไปทัศนศึกษานอกพื้นที่ ฯลฯ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า รัฐบาลไม่ได้ทำสงครามแย่งชิงประชาชน แต่เป็นการขอความร่วมมือเพื่อที่จะมาแก้ปัญหาของชาติต่อไป
“ถ้าเราสามารถที่จะสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องได้ สร้างความเชื่อมั่นได้ ประชาชนก็จะมาให้ความร่วมมือกับฝ่ายรัฐมากขึ้น” พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าว
*เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา
หากพูดถึงงานด้านมวลชน หลายๆ คนยอมรับว่าที่ผ่านมารัฐบาลทักษิณสอบตกในด้านนี้ โดยเฉพาะลดบทบาททหาร ยุบกองบัญชาการผสมพลเรือน ตำรวจ ทหารที่ 43(พตท.43) ยุบศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ที่รัฐบาลสุรยุทธ์ได้ฟื้นศอ.บต.ให้กลับคืนมาอีกครั้งเมื่อเร็วๆนี้
นอกจากนี้ รัฐบาลทักษิณยังดำเนินนโยบายผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงด้วยการสถาปนารัฐตำรวจขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ นำไปสู่การอุ้ม-ฆ่าผู้บริสุทธิ์ อีกทั้งยังทำให้ชาวไทยพุทธและไทยมุสลิมส่วนหนึ่งเกิดความระแวงต่อกันแล้ว รวมไปถึงการขาดความเชื่อมั่นต่อองค์กรรัฐของชาวบ้านในพื้นที่ จนทำให้สูญเสียมวลชนส่วนใหญ่ไป
พ.ต.ต. สมหมาย รุ่งเรือง ตำรวจตระเวนชายแดน รองผบ.ฉก.13 หนึ่งในทีมงานด้านมวลชนสัมพันธ์ที่คลุกคลีกับชาวบ้านใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ มาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2516 เปิดเผยว่า ถ้าจะพูดถึงปัญหาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และงานด้านมวลชน ก่อนอื่นต้องยอมรับถึงความแตกต่างทางด้านศาสนา ภาษาและวัฒนธรรมก่อน เพราะเรื่องนี้เหล่าถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง
“การแก้ปัญหาต่างๆภาครัฐต้องจริงใจในการแก้ปัญหาเป็นอันดับแรก ดังยุทธศาสตร์พระราชทาน ‘เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา’ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะชาวไทยมุสลิมยินดีให้ใจกับคนที่จริงใจต่อพวกเขา นอกจากนี้ งานด้านมวลชนสัมพันธ์ต้องทำงานอย่างจริงจังต่อเนื่องไม่ใช่ทำกันแบบไฟไหม้ฟางดังหลายๆหน่วยงานรัฐที่ผ่านมา”
สำหรับภารกิจด้านมวลชนของหน่วย ฉก.13 ก็มีทั้งการพบปะ เยี่ยมเยียน พูดคุย ทำความเข้าใจกับชาวบ้าน การช่วยเหลือปัญหาด้านต่างๆทั้งด้านจิตใจและการช่วยสร้างสิ่งปลูกสร้างต่างๆไม่ว่าจะเป็น ถนน สะพาน ฯลฯ เพื่อแสดงให้เห็นว่าภาครัฐมีความจริงใจในการช่วยเหลือผู้ที่ประสบปัญหาทั้งชาวไทยพุทธและมุสลิม
นอกจากนี้ พ.ต.ต. สมหมาย ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาการเกิดปัญหาหลายๆครั้งในพื้นที่ทาง ฉก.13 จะไม่ใช้การปิดล้อมชาวบ้านและไม่ใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน โดยไม่จำเป็น แต่หากมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นก็จะใช้แนวทางการเจรจา และทำความเข้าใจก่อนเป็นอันดับแรก
ทั้งนี้เวลาออกพื้นที่ปฏิบัติภารกิจมวลชนสัมพันธ์พ.ต.ต. สมหมาย ยึดแนวทาง 7 ย. เป็นหลักในการพบปะกับชาวบ้าน ซึ่งก็ประกอบด้วย 1.เยี่ยมเยียน 2.ยิ้มแย้ม 3.เยียวยา 4.แยกแยะ 5.ยกย่อง 6.ยุติธรรม 7.ยั่งยืน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ใช่ว่าปฏิบัติภารกิจมวลชนสัมพันธ์ของ พ.ต.ต. สมหมาย และ ฉก.13 ที่ดูแลพื้นที่บางส่วนของจังหวัดยะลา ใช่จะสะดวกโยธิน เพราะนอกจากรัฐบาลทักษิณจะดำเนินงานด้านมวลชนผิดพลาดแล้ว การต่อสู้ทางอุดมการณ์ ณ ปัจจุบันนี้ถือว่าแตกต่างจากเมื่อครั้งอดีตมาก
“สมัยก่อนผู้ก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้จะมีอุดมการณ์ชัดเจน ไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ไม่ดึงให้เป็นเรื่องระหว่างศาสนา และยังมีฐานที่มั่นอยู่ในพื้นที่ป่าเขาไม่แฝงตัวเข้ามาปะปนกับชาวบ้าน แต่ว่าทุกวันนี้กลับแตกต่างออกไป เพราะผู้ก่อความไม่สงบนอกจากจะดึงชาวบ้านและเยาวชนบางส่วนเป็นพวกแล้ว ยังส่งพวกเขาเข้ามาปะปนในพื้นที่ในลักษณะทหารบ้าน คอยกระพือข่าวร้าย กระจายข่าวชั่วให้ชาวบ้านหลงเชื่อ เพื่อให้รู้สึกเกลียดชังทหาร ตำรวจ คนของรัฐ และชาวไทยพุทธ”
พ.ต.ต. สมหมาย กล่าว พร้อมยืนยันว่าแม้ปัญหาจะหนักหนาสาหัส แต่เขาในฐานะทหารของชาติ ทหารของพระเจ้าอยู่หัว ก็จะอดทนไม่ย่อท้อ ทั้งด้านการปราบปรามและภารกิจมวลชนสัมพันธ์เพื่อให้ความสงบ สันติสุขกลับมาสู่พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
*สานสัมพันธ์ต่างพื้นที่
ภารกิจมวลชนสัมพันธ์ มิใช่มีเฉพาะ ของทหาร ตำรวจ และหน่วยงานรัฐในพื้นที่ 3 จังหวัดชานแดนใต้เท่านั้น หากแต่หน่วยงานอื่นก็มี
กิจกรรมด้านมวลชนเพื่อร่วมเยียวยาปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ด้วยเช่นกัน ดังกรณีของกรมกิจการพลเรือนทหาร กองบัญชาการสูงสุด ที่มีการนำมวลชนจากส่วนกลางจากหลายหน่วยงานลงพื้นที่ไปพบปะพูดคุยปรับทุกข์กับผู้ประสบปัญหา รวมถึงกิจกรรมร่วมกันโดยเฉพาะกับเด็กๆ ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ รวมถึงไปให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติภารกิจในพื้นที่
สำหรับภารกิจสานสัมพันธ์พบปะเยี่ยมเยียนผู้ประสบปัญหาถือเป็นโครงการนำร่องที่จะมีการพัฒนาต่อไปของ กองบก.สูงสุด โดยมีการประสานงานของ ทหาร ตำรวจ และผู้นำชุมชนในพื้นที่ โดยมุ่งเน้นไปในชุมชนเข้มแข็งและพื้นที่สีขาวเพื่อให้ช่วยขยายแนวคิดนี้ไปยังพื้นที่อื่นๆต่อไป
โดย พันเอกหญิงกันต์วดี ปิ่นมณี หนึ่งในหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญของโครงการนี้ เล่าว่า การเกิดปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้สร้างความ สลดหดหู่ และความเศร้าใจแก่ประชาชนคนไทยที่ติดตามข่าวสาร
“โครงการนี้จัดขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและปัญหาต่างๆ รวมถึงสร้างสัมพันธ์ไมตรีที่ดี ตลอดจนให้กำลังใจและความห่วงใยซึ่งกันและกัน เพื่อให้พี่น้องผู้ประสบปัญหารับรู้ว่าพวกเขาไม่ถูกทอดทิ้งเพราะมีเพื่อนๆพี่น้องชาวไทยคอยเป็นกำลังใจ ร่วมรับรู้ รับฟัง เยียวยาปัญหา และอยู่เคียงข้างกับพวกเขาเสมอ” พันเอกหญิงกันต์วดี กล่าว
*เสียงสะท้อน
ทั้งนี้ในกิจกรรมสานสัมพันธ์ในพื้นที่โรงเรียนต่างๆ เด็กส่วนใหญ่ได้สะท้อนแนวคิดจากการพูดคุยและการกรอกแบบสอบถามออกมาว่าอยากให้เหตุการณ์สงบโดยเร็ว ไม่อยากให้มีการฆ่าผู้บริสุทธิ์อีก ทั้งไม่อยากให้ผู้ก่อความไม่สงบลอบวางเพลิงเผาโรงเรียน เพราะทำให้พวกเขาไม่มีที่เรียนหนังสือ
เด็กชายอัสรี แห่งโรงเรียนบ้าน.... (ขอสงวนชื่อโรงเรียนเพื่อป้องกันการคุกคามจากฝ่ายตรงข้าม) ที่เคยถูกเผาไปก่อนได้มีการสร้างขึ้นใหม่ อ.ยะหา จ.ยะลา เล่าว่า แต่ก่อนที่โรงเรียนอยู่กับอย่างสงบ แต่ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ต้องมีทหารเข้ามาคุ้มกันในโรงเรียน เวลาไปไหนมาไหนก็ต้องเฉพาะช่วงเวลากลางวันเท่านั้น ส่วนช่วงกลางคืนนั้นไม่กล้าออกไปไหนไม่เหมือนกับเมื่อก่อน
“ญาติผมคนหนึ่ง ถูกยิงเสียชีวิตตอนขับรถมอเตอร์ไซค์ ส่วนผมเคยได้ยินเสียงระเบิดที่ใกล้ที่สุด ใกล้ๆกับโรงเรียนแต่ครูกันเด็กๆไว้ ซึ่งพวกเรากลัวกันมากหลังจากนั้นทหารก็เข้ามาช่วยปลอบช่วยดูแล โตขึ้นผมอยากจะเป็นทหารบ้าง เพื่อคอยจับคนทำผิด คนวางระเบิด” เด็กชายอัสรีเล่า
ด้าน นางสาว ฟารีต้า แห่งโรงเรียนบ้าน....(ขอสงวนชื่อโรงเรียนเพื่อป้องกันการคุกคามจากฝ่ายตรงข้าม) อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ผู้ที่โตขึ้นอยากเป็นพยาบาลเพื่อรักษาผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ก่อความไม่สงบเล่าว่า รู้สึกดีใจที่มีคนจากต่างถิ่นมาเยี่ยมเยียน ซึ่งสมัยก่อนในหมู่บ้าน ตามตลาดอยู่กันอย่างมีความสุข กลางคืนก็ออกไปหาอะไรกิน ออกไปเที่ยวงานต่างๆ แต่หลังจากเกิดการณ์ความไม่สงบขึ้น กลางคืน อ.ยะหริ่ง เหมือนเมืองร้าง
“ดิฉันอยากบอกว่าทุกศาสนาสอนให้คนรักกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมาได้ พวกเราได้แต่ภาวนาให้เหตุการณ์ร้ายสงบโดยเร็ว ซึ่งส่วนหนึ่งเราค่อนข้างอุ่นใจที่มีทหารมาคอยคุ้มกันโรงเรียนให้ตลอดเวลา” ฟารีต้าเล่าด้วยสีหน้าหดหู่
ส่วน นีซะ แม่บ้านชาวไทยมุสลิม แห่งหมู่บ้าน...(ขอสงวนชื่อหมู่บ้านเพื่อป้องกันการคุกคามจากฝ่ายตรงข้าม) ในอ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ผู้สูญเสียสามีไปจากเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เล่าว่า หลังสามีที่เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านถูกลอบทำร้ายเสียชีวิต ช่วงแรกนั้นรู้สึกหมดสิ้นทุกอย่าง แต่ว่าทางทหารได้เข้ามาช่วยเหลือดูแล ให้ย้ายมาอยู่ยังชุมชนใหม่เป็นหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง
“วันนี้ดิฉันใช้ชีวิตอย่างพอเพียง รู้สึกสงบและไม่เคียดแค้น วันหนึ่งๆแทบไม่ต้องใช้เงิน เพราะในหมู่บ้าน มีข้าว มีผัก มีปลา มีเป็ด ไก่ ส่วนเสื้อผ้าชาวของเครื่องใช้สบู่ ยาสีฟัน ก็มีคนมาบริจาค โดยทุกวันนี้ทหารเขาจ้างครูมาสอนให้เขียนลายเซรามิกมีรายได้วันละ 100 บาท ซึ่งจะเอาไว้เป็นทุนส่งลูกคนสุดท้องเรียนให้จบ”
นีซะเผยความในใจต่อว่า แม้จะสูญเสียพ่อบ้านไป แต่เธอยังมีในหลวงและพระราชินีพ่อหลวง แม่หลวงของปวงชนชาวไทย นอกจากนี้ ยังมีทหารมาช่วยเหลือในหลายๆด้าน ช่วยสร้างบ้าน ช่วยเราประกอบอาชีพ ขุดบ่อ ปลูกต้นไม้ สร้างเล้าเป็ดเล้าไก่ และช่วยเป็นกำลังใจ ซึ่งในหมู่บ้านนี้เมื่อมีทหารมาช่วยดูแลก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาก
..................
และนั่นก็คือหนึ่งในภารกิจมวลชนสัมพันธ์และเสียงสะท้อนของผู้ประสบกับปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งในขณะที่ภาครัฐระดมหนทางปฏิบัติภารกิจด้านมวลชน ทางฝ่ายตรงข้ามก็กำลังหาทางช่วงชิงมวลชนด้วยเช่นกัน ส่วนปฏิบัติการทางด้านมวลชนของฝ่ายตรงข้ามจะเป็นเช่นใด และมีประสิทธิผลแค่ไหนนั้น...ดูเหมือนนี่เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่รัฐบาลจะต้องคลี่คลายโดยเร่งด่วน !?!
โครงการหัวเกลอ
หนึ่งในผู้ร่วมโครงการมวลชนสัมพันธ์ของกองบก.สูงสุด ที่ได้รับความสนใจจากเด็กๆและเยาวชนเป็นอย่างดียิ่งก็คือ “โครงการหัวเกลอ รวมเลือดเนื้อ ชาติเชื้อไทย” ของชมรมศิลปินเพื่อความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งงานนี้ ชัช วัศพล นักร้องที่จะมีอัลบั้มของตัวเองเร็วๆนี้ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงใหญ่ในการลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เปิดเผยว่า โครงการหัวเกลอ กำเนิดขึ้นจากการที่ภาครัฐยังไม่สามารถที่จะเข้าถึงประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้มากเท่าที่ควร โดยเฉพาะกับเด็กๆและเยาวชน ด้วยเหตุนี้ทางชมรมฯ จึงเล็งเห็นความสำคัญและปรารถนาเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาตรงจุดนี้ เพื่อที่จะเข้าถึงประชาชน และปัญหาที่เกิดขึ้นให้ได้มากที่สุด
“โครงการหัวเกลอ เพื่อให้ศิลปิน 1 คน หาเพื่อนอีก 2 คน ในพื้นที่นั้นๆ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและปัญหาต่างๆ รวมถึงสร้างสัมพันธ์ไมตรีที่ดี ตลอดจนให้กำลังใจและความห่วงใยซึ่งกันและกัน โดยศิลปินจะเป็นตัวกลาง และนำปัญหาที่เกิดขึ้นมาร่วมกันแก้ไข”
ชัช กล่าวพร้อมเล่าต่อว่า จากข่าวสารออกมาดูน่ากลัวนั้น แต่จากการลงพื้นที่(สีขาว)ที่ตนเองไปประสบมากับพบว่าชาวบ้านล้วนเป็นมิตรไมตรี โดยเฉพาะเด็กๆเยาวชนน่ารักมาก
“ผมอยากให้คนไทยร่วมกันรับรู้ถึงความเดือดร้อนของคนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และถ้ามีอะไรช่วยเหลือได้ก็ให้ช่วยเหลือกันคนละไม้คนละมือ หรือคอยเป็นกำลังใจ เพราะที่ผ่านมาพวกเขาโดนฝ่ายตรงข้ามทำร้ายบอบช้ำมากพอแล้ว” ชัชกล่าว
*******************
เรื่อง - ทีมข่าวท่องเที่ยว