หากจะว่าไปแล้ว ไม่ว่าถนนสายทหาร การเมือง และธุรกิจจะโรยด้วยแดงของกลีบกุหลาบหรือคมหนามแหลมมากมายสักแค่ไหน แต่ท้ายสุดมักเปิดโอกาสแก่ผู้มีบุคลิกภาพโดดเด่นเป็นพิเศษเสมอ ยิ่งเสริมส่งภาพลักษณ์ความแตกต่างด้วยอาภรณ์มากความประณีตพิถีพิถัน ท่วงทำนองชีวิตยิ่งฉายชัดความสำเร็จในเส้นทางที่เลือกก้าวได้ไม่ยาก
เบื้องหลังความเนี๊ยบของชุดสูทที่บรรดา 'บิ๊ก' บนถนน 3 สายข้างต้นเลือกสวมใส่จึงไม่เพียงถ่ายทอดสายสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับ 'สมภพ เทเลอร์' ร้านตัดสูทในดวงใจ หากยังซ่อนส่วนเสี้ยวประวัติศาสตร์ทั้งระดับปัจเจกและสังคมโดยรวมไว้ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามพวกเขาโลดแล่นอยู่ในแวดวงอำนาจ ไม่ว่าจะขั้วใดก็ตามที
* บุคลิกภาพแห่งความภาคภูมิ
'ไก่งามเพราะคน คนงามเพราะแต่ง' พิสูจน์ชัดแล้วว่าไม่เพียงใช้กับอิสตรีเพศเท่านั้น หากยังสอดคล้องกับสุภาพบุรุษผู้พิสมัยความภาคภูมิใจจากเสื้อผ้าที่สวมใส่ ยิ่งอาชีพการงานต้องใช้บุคลิกภาพสร้างความประทับใจแก่ผู้พบเห็นดังนักการเมืองด้วยแล้ว การพบตัวเองในชุดสูทภูมิฐานย่อมผสานความมั่นใจเข้ากับความรอบรู้และจัดเจนแห่งประสบการณ์ จนกระทั่งสัมฤทธิ์ผลได้ไม่ว่าจะปฏิบัติภารกิจบนท้องถนนหรือสภาหินอ่อน ดังนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยและผู้นำฝ่ายค้านคราอภิปรายไม่ไว้วางใจนายชวน หลีกภัย ช่วงปี 2538
"ตอนท่านบรรหารขึ้นอภิปรายนายกฯชวน คนชมทั้งสภาฯ ว่าชุดสูทสีดำของท่านสวย" เจ้าของร้านสมภพ เทเล่อร์ 'สมภพ จริยาแจ่มสิทธิ์' เผยความภาคภูมิใจในชุดสูทจากฝีมือตัวเองที่กลายเป็นส่วนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย ด้วยหลังการอภิปรายครั้งนั้น สถานภาพผู้นำฝ่ายค้านก็แปรเปลี่ยนเป็นผู้นำรัฐบาลแทน
"ได้ไปตัดชุดสูทของท่านบรรหารที่ห้องผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ เพราะทราบว่าท่านต้องการสูทที่มีมาตรฐานเพื่อใช้ในการทำงาน" สมภพที่วันนั้นก้าวขึ้นมาเป็นช่างตัดเสื้อนายกฯ เล่า พลางไขว่าแม้ชุดสูทของหัวหน้าพรรคชาติไทยจะตัดให้ได้ส่วนลำบาก ด้วยรูปร่างไม่สูง แต่ท้ายสุดเมื่อตัดออกมาแล้วก็ดูภูมิฐาน
ความภาคภูมิใจจึงไม่ได้โอบอุ้มแค่ผู้สวมใส่สูทให้เชื่อมั่นตัวเองเท่านั้น ทว่าผู้ตัดก็ยังได้รับความรู้สึกนั้นควบคู่กันไปด้วย เพราะภายในร้านสมภพ เทเลอร์ บริเวณสะพานหัวช้างที่เปิดมานานกว่า 13 ปีแล้วนั้น ตกแต่งด้วยรูปภาพเหล่าบิ๊กในวงการการเมือง ทหาร และนักธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นบรรหาร ศิลปอาชา อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สนั่น ขจรประศาสน์ เสนาะ เทียนทอง อเนก เหล่าธรรมทัศน์ เฉลิม อยู่บำรุง สนธยา คุณปลื้ม อดิศร เพียงเกษ สรอรรถ กลิ่นประทุม ทองใบ ทองเปาด์ ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต รวมทั้งสนธิ ลิ้มทองกุล
ภาพถ่ายทั้งมีและไม่มีลายเซ็นต์กำกับที่ประดับในห้องลองเสื้อ และตามผนังห้องมากมาย ตลอดจนอัลบั้มภาพถ่ายลูกค้าทั้งใหม่และเก่าย้อนไปหลายสิบปีตั้งแต่สมัยเป็นช่างตัดเสื้ออยู่บางกอกโกรเซอรี่ ไม่ได้ปรารถนาจะโอ้อวดแก่ผู้มาเยือน หากสมภพยืนยันว่าเพียงต้องการสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าใหม่ๆ ว่าเขาสั่งสมประสบการณ์มากพอเพียงจะสร้างความประทับใจแก่ลูกค้าผ่านชุดสูท ชุดซาฟารี ชุดพระราชทาน หรือกระทั่งเสื้อเชิ้ต กางเกงธรรมดา ขณะที่ลูกค้าเก่าก็อุ่นใจ เสมือนได้พบตัวเองและเพื่อนพ้องในวันวานอีกคราว
เหนืออื่นใดภาพถ่ายเหล่านั้นยังย้ำเตือนสมภพให้ยึดมั่นความประณีตพิถีพิถันทุกครั้งยามตัดเย็บเสื้อผ้าให้ลูกค้าทั้งบิ๊กและไม่บิ๊ก ด้วยทุกคนคือลูกค้าที่เขาระลึกถึงอยู่เสมอ เพียงพวกเขาให้ความเชื่อถือและนึกถึง เท่านี้ก็มอบกำลังใจมหาศาลแก่สมภพแล้ว ยิ่งทุกวันนี้เขายังตระหนักเสมอว่าหากไม่มีลูกค้าเหล่านี้ โอกาสในชีวิตเขาคงไม่เปิดกว้างมากมายดังปัจจุบัน
"ผู้ใหญ่ให้ความเชื่อถือฝีมือเรา เท่านี้ก็ภูมิใจมากแล้ว" นั่นอาจสรุปความเป็นช่างฝีมือตัดเสื้อชั้นเลิศแห่งร้านสมภพ เทเลอร์ได้ชัดเจนยิ่ง ด้วยลำพังแม้ผู้ใหญ่จะให้น้ำหนักแก่พัสตราภรณ์เพื่อสร้างเสริมบุคลิกภาพแห่งความภาคภูมิแล้ว สายสัมพันธ์แน่นแนบที่มากกว่าความเป็นลูกค้ากับช่างตัดเสื้อยังขยับความชิดใกล้ให้ก้าวไปไกลกว่าแง่มุมทางธุรกิจมากมายนัก โดยเฉพาะกับ 2 ผู้นำยังเติร์ก
สานสายสัมพันธ์
หากการทำธุรกิจมุ่งหมายที่ดอกผลกำไรเป็นหลักแล้ว ธุรกิจต่างๆ คงมุ่งหวังสร้างสัมพันธ์กับลูกค้าเพื่อปรารถนาจะให้พวกเขาควักกระเป๋าจ่ายแต่เพียงอย่างเดียว โดยอาศัยกลยุทธ์ทางการ Brand Loyalty ความซื่อสัตย์ต่อตราสินค้าเป็นสำคัญ ...แล้วหากลูกค้าอยู่ในช่วงเวลาไม่พร้อมจ่ายล่ะ
"การจะได้ใจจากลูกค้า ต้องอย่าเห็นแก่เงิน แม้เงินจะมีความหมายกับผม แต่บางครั้งผมรู้สึกว่าไม่อยากได้เงินจากลูกค้าในช่วงเวลานั้น ผมจะดูว่าคนไหนเราสมควรรับ ไม่สมควรรับ"
สมภพเผยหลักการทำธุรกิจที่ได้ใจจากลูกค้า พลางย้อนอดีตที่ร้อยรัดปัจจุบันและต่อเนื่องไปในอนาคตว่า ลูกค้าที่ติดต่อด้วยกันยาวนานนับแต่ปี 2520 ที่สำคัญมาก คือพ.อ.ประจักษ์ สว่างจิตร และพล.ต.มนูญกฤต รูปขจร ด้วยทั้งคู่คงความเหนียวแน่นในการเป็นลูกค้าและผู้แนะนำลูกค้า
"พ.อ.ประจักษ์ตัดมาตั้งแต่สมัยมีชื่อเสียงโด่งดังจากการเป็นวีรบุรุษตาพระยา จนกระทั่งท่านเสีย ส่วนพล.ต.มนูญกฤต ก็ตัดหลังจากพ.อ.ประจักษ์แนะนำไม่นาน ซึ่งปัจจุบันก็ยังตัดอยู่" สมภพรำลึกก้าวมิตรภาพของผู้มีพระคุณ พร้อมเผยว่าตอนตัดชุดให้พ.อ.ประจักษ์รู้สึกเกร็งมากสุด เพราะช่วงเวลานั้นท่านมีชื่อเสียงมาก
"ตอนนั้นผมยังทำงานอยู่บางกอกโกรเซอรี่ พ.อ.ประจักษ์เข้ามาตัดชุดพระราชทาน ท่านบอกว่าถ้าฝีมือดีไม่ต้องลองตัว ผมก็ตัดให้ท่านไปชุดหนึ่ง ทุกอย่างเรียบร้อย ยกเว้นแค่กางเกงที่ท่านติว่าสั้นไปสักครึ่งนิ้ว ซึ่งนั่นเป็นเพราะผมเห็นว่าท่านเป็นทหาร จึงไม่ได้ตัดขากรอมให้"
คำติชมของผู้นำยังเติร์กในวันวานได้เปลี่ยนผ่านเป็นบทเรียนล้ำค่าที่สมภพยึดมั่นตลอดมา เพราะไม่เพียงถามไถ่ความต้องการของลูกค้าจนแน่ชัดก่อนเท่านั้น หากยังแนะนำลูกค้าถึงความเหมาะสมของสีผ้า เนื้อผ้า รูปทรง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นล้วนวางอยู่บนความเห็นชอบของลูกค้าเป็นสำคัญ กระทั่งท้ายสุดลูกค้าเกิดความไว้วางใจในผลิตภัณฑ์และผู้ผลิต จนความสัมพันธ์พัฒนามากกว่าความเป็น 'ลูกค้า' โดยเฉพาะกับพ.อ.ประจักษ์ ที่เป็นผู้ชักนำลูกค้าสายทหารเข้ามา
"พ.อ.ประจักษ์ตัดแล้วพึงพอใจ ก็แนะนำต่อให้พล.ต.มนูญกฤตมาตัดด้วย รวมถึงร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงสมัยอยู่กองปราบ ตลอดจนลูกค้าดังๆ ที่ตัดต่อเนื่องมาจนทุกวันนี้ก็เพราะพ.อ.ประจักษ์แนะนำ"
แม้วีรบุรุษตาพระยาจะจากไปหลายปีแล้ว แต่ภาพถ่ายประดับฝาผนังรวมทั้งถ้อยคำน้ำเสียงยามเอื้อนเอ่ยถึงของสมภพ ล้วนฉายความกตัญญูกตเวที ไม่ต่างอันใดกับยามพูดถึงพล.ต.มนูญกฤต ที่ไม่มีพื้นที่ว่างไว้ให้ความคลางแคลงใจในความเป็นกัลยาณมิตรที่แท้ระหว่างกัน มิพักจะเอ่ยอ้างถึงการกระทำอันเด่นชัดยามช่วงชีวิตลำบากของผู้นำจปร.7
"ตอนพล.ต.มนูญกฤตกลับจากเยอรมนี ผมไปรับท่าน มีลูกน้องตั้งแถวรอรับท่านหลายคน พอท่านเห็นผม ท่านเรียกผมเข้าไป บอกตอนอยู่เยอรมนีคิดถึงผมตลอด เพราะใส่กางเกงที่ผมตัดส่งไปให้ทุกครั้งก็เห็นป้ายชื่อร้านผม"
นอกจากมิตรภาพจะผลิบานผ่านห้วงเวลานั้นอย่างเริงรื่นแล้ว ประกายความเป็นมืออาชีพของช่างตัดเสื้อธรรมดาผู้นี้ยังโลดแล่นไม่แพ้กัน ด้วยขนาดลูกค้าอยู่ไกลห่างอีกซีกโลกหนึ่ง แต่สมภพสามารถจดจำสัดส่วนรูปร่างของพล.ต.มนูญกฤตได้ชัดเจนยิ่ง
กระทั่งตัดเสื้อผ้าส่งไปประเทศเยอรมนีโดยคงความ 'เป๊ะ' เหมือนอยู่เมืองไทย รวมถึงลูกค้าทั้งบิ๊กและไม่บิ๊กที่สมภพจะจดจำข้อมูลได้ครบถ้วนจากขั้นตอนการวัดตัวอย่างละเอียดผ่านเทคนิคแบบครูพักลักจำและแนะนำสั่งสอนประกอบกันของสุดยอดฝีมือตัดสูทสมัยก่อน จนสามารถตัดสูทชุดที่ 2-3 ให้ลูกค้าได้โดยไม่ต้องวัดตัวซ้ำอีก
กระนั้น ดังทราบกันทั่วไปว่าระดับบิ๊กจากวงการทหาร การเมือง และธุรกิจนั้นปรารถนาการเอาใจใส่เป็นพิเศษจากร้านค้าบริการต่างๆ อยู่เนืองนิตย์
"การรักษาความสัมพันธ์กับนักการเมือง เวลาเขามีงาน อย่างวันเกิด หากผมรู้ก็ต้องไป ไม่ใช่ไปในฐานะที่เขาเป็นลูกค้า แต่เพราะเราผูกพันกับเขา ส่วนใหญ่ลูกค้าที่มาตัดกับเราก็จะผูกพันกัน เพราะผมไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร ไม่ใช่เวลาเขาเผลอเล่าเรื่องอะไรให้ฟัง แล้วผมจะนำไปเล่าให้คนอื่นฟังต่อ เล่าตรงนี้ก็จบตรงนี้" เจ้าของร้านสมภพ เทเลอร์เน้น ก่อนย้ำด้วยว่า การยึดคติไม่นินทา หากลูกค้านินทาใคร เราไม่ร่วมนินทาด้วย ยังทำให้ลูกค้าสบายใจ ไม่กังวลหากพลั้งเผลอออกไป ทุกวันนี้ลูกค้าของสมภพจึงมีทั้งฟากไทยรักไทยและฝั่งประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นอดิศร เพียงเกษ สนธยา คุณปลื้ม สรอรรถ กลิ่นประทุม อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ยิ่งกว่านั้น การทำ 'ตามเนื้อผ้า' ราคายุติธรรม ไม่หลอกลวงลูกค้า ไม่ใช่ลูกค้าพอใจแล้วมาตัด หวัง 'ฟันกำไร' อย่างเดียว ยังช่วยรักษาความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้าระดับบิ๊กที่แม้จะพร้อมจ่ายอย่างงามเพื่อความเนี๊ยบ แต่ก็ไม่ปรารถนาจะเป็นเหยื่อทางธุรกิจของใคร
* เหนือนิยามความเนี๊ยบ
ประสบการณ์การตัดเย็บเสื้อผ้ายาวนานกว่า 4 ทศวรรษ นับแต่จบการศึกษาจากโรงเรียนช่างเสื้อวัดสุทัศน์ในปี 2506 ก่อนจะเปลี่ยนชื่อมาเป็นวิทยาลัยกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ในปัจจุบัน ผสานบทบาทบนเวทีคลาสสิกจากยุคที่ถนนทุกสายยังมุ่งตรงไปบรอดเวย์ ไม่ว่าจะเป็นผู้นำระดับบิ๊กอย่างจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หรือจอมพลถนอม กิตติขจร ที่มักจะไปตัดเสื้อผ้าที่นั่นเป็นประจำ
ก่อนจะหักเลี้ยวสำคัญในช่วงชีวิตหลังจากบรอดเวย์คลายความรุ่งเรืองลงไป โดยสมภพได้ใช้เวลาไม่น้อยเคี่ยวกรำประสบการณ์ในแผนกช่างตัดสูท ที่งอกเงยจากบางกอกโกรเซอรี่ที่ผลิตเสื้อแอร์โรว์ แวนฮูเซ็นอยู่เดิม ก่อนจะพลิกผันครั้งใหญ่อีกคราหลังตัดสินใจตั้งร้าน สมภพ เทเลอร์ ของตัวเองขึ้นในปี 2536 ภายหลังบางกอกโกรเซอรี่ล้มเลิกกิจการไป
สายธารความสัมพันธ์ที่ก่อตัวตั้งแต่ห้วงอยู่บางกอกโกรเซอรี่ โดยเฉพาะสายทหาร นักการเมือง และนักธุรกิจ ยังสืบสานมายังร้านของตัวเอง ดังจะเห็นได้จากสมุดอวยพรวันเปิดร้านที่นอกจาก 2 ผู้มีพระคุณจะอวยพรให้ประสบความสำเร็จแล้ว ยังมีรายชื่อบุคคลระดับบิ๊กในวงการอีกไม่น้อยทีเดียว
แม้บางช่วงเศรษฐกิจจะซบเซา โดยเฉพาะหลังเปิดร้านได้ 4 ปี อันเนื่องมาจากพิษต้มยำกุ้ง แต่ด้วยความเนี๊ยบในทุกชุดที่ตัดออกมา ไม่ว่าจะเป็นสูทหรือซาฟารี ก็สร้างความประทับใจให้ลูกค้าได้ไม่ขึ้นกาลเวลาเท่าใดนัก ยิ่งหากลูกค้ารู้จักรักษารูปร่างและเสื้อผ้าด้วยแล้วละก็ ความภูมิฐานของชุดเหล่านั้นจะอยู่คู่กับเขาไปอีกนาน
"ทั้งสูททั้งซาฟารี ลูกค้าใส่แล้วจะสบายใจ เนี้ยบ แขนสวย ทรวดทรงสวย จะต่างจากร้านอื่นๆ ที่ตัดรูปทรงไม่เป็น เพราะเวลานั่ง หากตัดไม่ได้สัดส่วน คอด้านหลังจะอ้าไปข้างหลัง ถ้าตัดดีคอจะไม่อ้า ไหล่ก็ไม่ย่น แขนก็ไม่เหี่ยว"
อย่างไรก็ตาม เจ้าของร้านขวัญใจลูกค้าระดับบิ๊กสะท้อนว่า ความสวยหรือไม่สวยของเสื้อผ้าจะไม่สำคัญเลย หากผู้นั้นไม่พิถีพิถันกับการแต่งกายเท่าที่ควร ประเภทหยิบฉวยอะไรก็ใส่ได้ แต่หากเป็นผู้แต่งกายเป็น มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าชุดที่จะใส่นั้นจะเสริมหรือทำลายบุคลิกภาพกันแน่ เพราะแค่ความยาวของตัวเสื้อไม่รับกับแขน ต่อให้เสื้อตัวนั้นสวยแค่ไหน ทุกอย่างก็จบ
* มิตรภาพผลิบาน
การมอบความไว้วางใจในร้านตัดเสื้อผ้าที่ดูจากภายนอกไม่หรูหรา ทว่าภายในกลับอวลไออุ่นจากอัธยาศรัยไมตรีของเจ้าของร้าน และหากค้นลึกลงไปในความสัมพันธ์จะพบว่าโดยเนื้อแท้แล้วมิตรภาพสามารถงอกเงยจากดอกผลทางธุรกิจได้ หากต่างฝ่ายต่างคงความเอื้ออาทรไว้ ดังพล.ต.มนูญกฤต ที่วันนี้เป็นหนึ่งในลูกค้าเหนียวแน่นของสมภพ เทเลอร์
ความสัมพันธ์ยาวนานขนาดหย่อนสามทศวรรษไม่ถึงขวบปีนั้นได้เจริญงอกงามมาตั้งแต่ปี 2520 ภายหลังจากพ.อ.ประจักษ์แนะนำไม่นาน ก็เริ่มตัดเสื้อผ้ากับสมภพ โดยหลังออกจากราชการราวปี 2524 จะเน้นตัดเป็นเสื้อผ้าสบายๆ รวมทั้งชุดสูทสากล
"คบกันยืดเยื้อยาวนานเกือบ 30 ปี โดยไม่เคยเปลี่ยนร้านเลย ก็เพราะเขาเอื้ออาทรกับเราเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ใช่เฉพาะเรื่องราคา แต่เรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะตอนที่ผมลำบากไปอยู่ประเทศเยอรมนี เขาก็ตัดเสื้อผ้าส่งไปให้เป็นระยะ โดยผมไม่ได้ร้องขอหรือจ้างวาน"
นอกจากความมีน้ำใจของสมภพจะเป็นที่ประจักษ์แล้ว ความมีฝีมือ ประณีต ซื่อสัตย์ ตรงต่อเวลา และอัธยาศรัยดียังถ้อยถักมิตรภาพระหว่างทั้งคู่ยาวนานจวบจนปัจจุบัน
"ล่าสุดผมเพิ่งตัดเสื้อผ้ากับเขาปลายปีที่แล้ว ชุดทั้งหมดที่ผมใส่อยู่ทุกวันนี้ บอกได้เลยว่ามาจากฝีมือเขาเกือบทั้งนั้น เพราะใส่แล้วผมรู้สึกสบาย" พล.ต.มนูญกฤตเผย พลางสำทับว่า โดยส่วนตัวแม้จะให้ความสำคัญกับการสวมใส่สบายของเสื้อผ้ามากกว่าความเนี๊ยบ แต่ท้ายสุดก็ได้ครอบครองทั้ง 2 อย่าง เพราะเสื้อผ้าจากฝีมือสมภพไม่เพียงใส่สบาย หากยังเสริมบุคลิกภาพจากความประณีตของการตัดเย็บอีกด้วย
ขณะที่การสวมใส่เสื้อผ้าชั้นเลิศจากช่างตัดเย็บสุดยอดฝีมือไม่ได้เป็นกระแสจากห้วงแบรนด์เนมระบาดหนักในวันนี้เท่านั้น ทว่าวันวานความเนี๊ยบของชุดสูทยังบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ได้มากมายในการเปลี่ยนแปรทางสังคม ดังสะท้อนผ่านมุมมองของเกียรติ สรัคคานนท์ อดีตดาราชื่อดัง และเลขาฯ พลอากาศเอกทวี จุลละทรัพย์ รองนายกรัฐมนตรีสมัยรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ที่เชี่ยวชาญการใส่สูทนับแต่ยุคบรอดเวย์ช่วงโชติ โดยสุดยอดฝีมือ 'ช่างตั๊ก' ยันปัจจุบันที่แบรนด์เนมหรูราคาหลายแสนบาทเป็นความฝันของบิ๊กทุกวงการ
มุมมองจากผู้ผ่านประสบการณ์การใส่สูทยาวนานกว่า 4 ทศวรรษฟันธงว่า ต่อให้ชุดสูทแบรนด์เนมหรูเลิศเพียงใด ก็ยังคงความเป็น 'โหล' อยู่ดี ด้วยผลิตมาก โอกาสที่จะไม่เหมาะกับรูปร่างทางกายภาพของผู้สวมใส่จึงพบเห็นได้เสมอ ยิ่งสูทเหล่านี้นำเข้าจากเมืองนอกด้วยแล้ว ไซส์จะใหญ่ แขนยาว ไม่เหมาะกับคนไทย เพราะหากจะให้พอดีตัวก็ต้องปรับแก้ ร่นกะดุม กระทั่งท้ายสุดเสียรูปทรง
"ขณะที่การตัดเย็บโดยช่างฝีมือที่ประณีตเหมือนสมัยช่างตั๊ก เขาจะสอยด้วยมือทั้งหมด ขณะที่ปัจจุบันจะใช้จักรเป็นส่วนใหญ่ งานจึงไม่ละเอียดเหมือนเมื่อก่อน อีกอย่างเรื่องการเข้ารูป เข้าเอว เขาไม่ให้ความสำคัญเลย"
ยิ่งกว่านั้น ในวัย 7 ทศวรรษของอดีตดาราเงินล้านผู้นี้ยังสามารถใส่ชุดสูทที่ตัดจากฝีมือช่างตั๊กเมื่อ 30 ปีที่แล้วได้เป๊ะ เนี๊ยบ จนรู้สึกประทับใจมาก กระทั่งต้องตามมาตัดกับ 'สมภพ' ที่เป็นลูกศิษย์ครูตั้กทั้งแบบครูพักลักจำและสอนสั่งแนะนำ ด้วยทราบว่าฝีมือของสมภพแทบจะถอดแบบมา
"สมภพตัดสไตล์เดียวกันกับช่างตั๊ก เขาเก่ง จึงตามมาตัด" เกียรติเผย พลางทิ้งท้ายว่าแม้จะมีชุดสูทมากถึง 30 ชุด รวมถึงแบรนด์เนมหรูจากต่างประเทศ แต่ด้วยความประทับใจในศิลปะการตัดเย็บ วาดตามรูปแขน เอวเก็บเนี๊ยบ ชายไม่ปล่อยย้วย หลังเก็บ ซอกรักแร้เก็บเรียบ ไหล่ไม่ย่น ทำให้ไม่รู้สึกเหมือนยืมเสื้อคนอื่นมาใส่ ดังพบเห็นจากคนอื่นๆ ที่มักไม่พิถีพิถันกับการแต่งตัวเท่าที่ควร ทำให้วันนี้เขาต้องตามมาตัดชุดสูทใหม่เพื่อรองรับวันสำคัญที่สุดในชีวิตอีกวันหนึ่งของลูกสาว
*********
เรื่อง ภาณุเบศร์ มหาเรือนขวัญ