xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องเล่าจากหมอนวด(สนามหลวง)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อาจจะมีความคิดเห็นและความรู้สึกที่แตกต่าง แต่ความเชื่อของคนต่างจังหวัดหลายคนต่างมีความคิดเหมือนๆ กันว่าสถานที่ที่หนึ่งที่แสดงถึงสัญลักษณ์ความเป็นเหมืองหลวงที่ทุกคนจะต้องมาเยือนถึงจะเรียกได้ว่ามาถึงกรุงเทพฯ ก็คือ "ท้องสนามหลวง"

พื้นที่ที่มีอาณาบริเวณราวๆ 79,500 ตารางเมตร (กว้าง 0.15 กิโลเมตร ยาว 0.53 กิโลเมตร) แห่งนี้ผ่านการใช้งานมาแล้วหลากหลายรูปแบบ มันเป็นทั้งสนามเด็กเล่น เป็นทั้งสนามกีฬา เป็นทั้งห้างสรรพสินค้า เป็นทั้งฮอลล์จัดงานกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุด เป็นทั้งที่จอดรถ เป็นทั้งตู้กระจกของนักเที่ยวกลางคืน เป็นทั้งโรงแรม เป็นทั้งบ้าน ฯลฯ ที่รองรับผู้คนทุกชนทุกชั้นตั้งแต่ขอทานยันระดับนายกรัฐมนตรี

และในห้วงเวลาของการเปลี่ยนถ่ายฤดูที่อยู่ในช่วงปลายฝนต้นหนาวที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่นาน ที่แห่งนี้ก็กำลังเตรียมที่จะกลายเป็นสวรรค์ ของเหล่าคนขี้เมื่อย(อีกครั้ง)


(1)

แม้วันนี้จะล่วงเข้ากลางเดือนตุลาคม แต่ฝนก็ยังตกชุก

สายฝนที่พรำลงมาตั้งแต่เย็นจนถึงยามค่ำกระทั่งตอนนี้เกือบจะสามทุ่มเข้าไปแล้ว แม้จะถูกอกถูกใจและเป็นที่ต้องการของผู้ที่กลับถึงบ้านอาบน้ำอาบท่าและนอนหลับอุตุเพื่อเก็บแรงไปสู้กับชีวิตในวันใหม่ หรือเป็นเครื่องเติมความเหงาให้กับคนอกหักที่นั่งคลึงแก้วเหล้าอยู่ในบาร์ริมทาง ทว่าขณะเดียวกันก็มีคนไม่น้อยที่ไม่อยากจะเห็นมันตกไปจนตลอดทั้งคืน

หนึ่งในนั้นก็คือ "บุญมี พรรณที" วัย 52 ปี

"ถ้าห้าทุ่มไม่หยุด ก็คงจะต้องกลับ.." เสียงเธอบอกกับเรา พร้อมกับมองไปยังเม็ดน้ำที่ตกลงมาตัดกับแสงไฟข้างทางบริเวณรอบๆ ท้องสนามหลวงจนเห็นเป็นเส้นสายอย่างเด่นชัด

เกือบครึ่งชั่วโมงต่อมาฝนหยุดสนิททิ้งไว้ซึ่งความเย็นสบายของอากาศท่ามกลางสายลมแผ่ว "บุญมี" เดินออกจากที่หลบฝนเข้าสู่ท้องสนามหลวงออฟฟิศของเธอ เช่นเดียวกับพนักงานคนอื่นๆ ทั้งชายและหญิง หลายคนตรงไปยังรถเข็นที่มีเสื่อให้เช่า บางคนที่เตรียมอุปกรณ์มาเองมุ่งตรงไปจับจองพื้นที่บริเวณที่ไม่แฉะมากนัก จากนั้นทั้งเสื่อที่ถูกเช่าและถูกนำมาเองต่างก็ถูกปูลงไปบนผืนผ้าใบ หมอนถูกนำมาวางพร้อมผืนผ้าห่ม ยากันยุงถูกจุดขึ้นทั้ง 4 ทิศ ป้ายกระดาษเขียนด้วยปากกาเมจิกง่ายๆ บอกถึงรูปแบบของการให้บริการถูกวางไว้เรียกแขกด้านหน้า

ทุกอย่างพร้อมแล้ว ที่เหลือก็แค่การรอลูกค้าขี้เมื่อยทั้งหลาย

"ทำมาตั้งแต่ปี 2545น่ะ คือแต่ก่อนจะนวดตรงหลังศาลหลักเมือง ร้อนหน่อยเพราะนั่งนวดกลางวัน แต่มาทำที่นี่ไม่ร้อน คนเดินไปมา มาเดินเล่นก็มานวดได้ อย่างเวลามีงานที่สนามหลวงคนก็มานวดเยอะ พอได้นะ" ป้าบุญมีเปิดเผยถึงอาชีพที่ทำอยู่ระหว่างรอลูกค้ามาใช้บริการ ในขณะที่รอบๆ ตัวเสียงเพื่อนร่วมอาชีพเอ่ยปากชักชวนผู้คนที่เดินผ่านไปมา

"ก่อนมาทำเราก็ไปเรียนก่อนนะ คือหมอที่นี่ทุกคนต้องเรียนมาก่อน ที่วัดสุทธาวาส ของกทม.นี่แหละ ของพัฒนาชุมชน...เรียนจับเส้นโน่นนี่ให้มันถูกทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ ให้เราจับคู่กับอาจารย์ที่สอนเรา เขาจะอธิบายและจะทำให้ดูเราก็ทำตาม เขาก็จะค่อยๆ บอกว่าที่จับอยู่เนี่ยมันเส้นอะไร ผลัดกันนวดนะคะ เราจะได้รู้"

ไม่มีใครสามารถระบุได้อย่างแน่ชัดว่าจุดเริ่มต้นของการให้บริการนวดแผนโบราณแบบเสื่อผืนหมอนใบบริเวณรอบๆ ท้องสนามหลวงฝั่งตรงข้ามศาลฎีกานี้เริ่มมีขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ถ้าถามว่าหมอนวดที่นี่ได้รับความนิยมและเริ่มมีเยอะขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่บุญมีบอกว่าน่าจะเป็นช่วง 4 - 5 ปีหลังๆ ช่วงเวลาเดียวกับที่การนวดแผนโบราณของบ้านเรากำลังได้รับความนิยมนั่นเอง
สนนราคาของค่าบริการคิด 1 ชั่วโมง 1 ร้อยบาทสำหรับการนวดแผนโบราณ เท่ากันหมดทุกเสื่อทุกหมอฯ แต่สำหรับการนวดเท้านั้นราคาแล้วแต่จะตกลงกัน แต่โดยส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 120 - 160 บาท ส่วนการเริ่มบริการนั้นจะมีตั้งแต่ยามเย็น 5 - 6 โมงเรื่อยไปจนอาจจะถึงเช้า
"หมอที่นี่ส่วนมากจะเคยอยู่ตามร้านมาก่อนนะ อย่าป้าเคยทำอยู่ประจำร้านที่บางใหญ่ นนทบุรี แต่ไม่ไหว ไม่พอกิน ออกมานวดข้างนอกมันก็จะดีกว่า อิสระกว่าเยอะ ถ้าอยู่ที่ร้าน เขาจะให้เรา 200 บาท ไม่ว่าจะมีลูกค้าหรือไม่มีก็ตาม เหมือนเป็นค่าประกัน ก็จะได้ 200 บาท พอกินมั้ยล่ะนั่น ไม่พอกินหรอก แล้วตามร้านเขาก็รับแต่หมอนวดสาวๆ เท่านั้นแหละ เราก็เข้าใจเขานะ แก่ก็ไม่ดึงลูกค้าเท่าไหร่"

"เลือกมาที่สนามหลวงเพราะว่ามันกลับบ้านง่าย ขึ้นรถสะดวกไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็ดีไปหมด มีรถทั้งคืนด้วย ลูกค้าก็เยอะมีหลายแบบ คนทำงานเหนื่อยมาก็พักที่นี่ แท็กซี่จะเอารถเข้าอู่ ส่วนใหญ่ก็จะมาแวะที่นี่ คือเรียกว่านวดตรงนี้มันเหมือนที่ของคนเลิกงานดึกด้วยแหละ บางคนเขาเมื่อยเขาก็มานวด แต่ถ้าเราทำที่ร้าน มันก็แค่ 4 โมงเช้า ถึง 3 ทุ่มเท่านั้น บางคนเนี่ยเขาอยากนวดแต่ว่าไม่มีที่ไปก็มาที่นี่"

ถามว่าต่อคืนจะนวดได้สักกี่คนเธอบอกว่า 5 คนก็สุดยอดแล้ว

"ก็แล้วแต่ว่าคนหนึ่งเนี่ยกี่ชั่วโมง แต่ส่วนใหญ่ไม่เกินนี้นะ เพราะเราก็หมดแรงด้วย..." สิ้นประโยคคำพูดของป้าก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่มีลูกค้าชายวัยกลางคนเข้ามาขอใช้บริการพอดี เธอจัดแจงดึงเสื่อให้ตึง บอกให้ลูกค้านอนลง จัดให้เข้าที่เข้าทางพร้อมยกมือขึ้นพนมไหว้ครู

(2)

"จริงๆ ก็อยากนวดทั้งคืนนะ เพราะว่าจะได้เยอะๆ แต่ว่า1,000 กว่าบาทก็ไม่ไหวแล้วล่ะ หมดแรงข้าวต้มเลย จบเกม เหนื่อยสุดๆแล้ว เราก็ต้องจ้างเขานวดกลับเราบ้างนะถ้าเราเหนื่อยมากๆ น่ะ อาชีพนี้ใครว่าง่ายไม่จริงหรอกก็มีหลายครั้งที่เหนื่อยแล้วก็ต้องกลับไปก่อน เพราะเมื่อก่อนหมอนวดมันน้อย นวดไม่ได้หยุดเลย ก็กลับก่อนเช้าก็มี คือรายได้มันก็มาจากทิปด้วยนะคะ บางคนมานวดเขาชอบเรานวดดี นวดชั่วโมงหนึ่งแค่ร้อยเดียวก็ให้มา 200 บาท เราไม่ได้ขอนะ แต่เขาให้เอง"

เจอชักดาบนวดแล้วไม่จ่ายมั้ย? เราถามป้าบุญที่สองมือกำลังขยำไปบนต้นขาของแขก

"นานๆ ทีจะเจอค่ะ คือปกติเรานวดก่อน แล้วค่อยเก็บเงินไงคะ เลยมีบ้างที่โดนชักดาบ บางทีก็อยากจะเก็บเงินก่อนนะ แต่ว่าวันนั้นเราก็มานวดนี่แหละมาเจอลูกค้าเป็นนักมวยเก่า เราบอกว่าเราจะขอเก็บเงินก่อนนะคะ เขาขึ้นเสียงเลย นี่..คุณดูถูกผมหรือ ผมแต่งตัวแบบนี้ ผมมีเงินนะ สุดท้ายเราต้องขอโทษเขาว่าเราไม่ได้มีเจตนาแบบนั้น ก็เลยต้องกันมานวดก่อนแล้วค่อยเก็บเงิน แต่ลูกค้าที่น่ารักๆ ก็มีนะ บางคนนวดแล้วติดใจก็ขอนวกเพิ่มอีก 1 - 2 ชั่วโมงไปอีก เลี้ยงน้ำ เลี้ยงขนมจีน ก็มีนะ"

"บางวันก็นิ่งแห้วเลยแหละ บางวันก็ไม่ได้ซักบาทก็มี แต่ไม่บ่อยนะส่วนใหญ่จะได้ไม่ได้มากก็น้อย"

ตำรวจมากวน หรือมีใครมาไถเงินมั้ย?

"เท่าที่ทำไม่มีนะคะ แต่จะมีบ้างวันจันทร์น่ะค่ะ เขาจะไม่ให้ปูข้างฟุตบาธก็จะไล่ หมอนวดก็ไม่เชื่อหรอกขยับเข้ามานวดข้างในหมดแหละ ขยับหนีเข้ามา แต่ก็ไม่ได้อะไรนะ ไม่ได้เถียงกันแค่มาไล่ๆ แต่เราก็บอกเขานะว่าคนจนๆ มันหยุดไม่ได้หรอก เรามันคนติดดิน แล้วอาชีพนี้ก็ช่วยคนที่ตกงานด้านอื่นมาทำ มันต้องดิ้นรนกันทั้งนั้นแหละ"

แม้จะมีจำนวนหมอที่ค่อนข้างจะเยอะ แม้จะไม่รู้จักหน้าค่าตากันมาก่อน ทว่าการเป็นอยู่ของหมอนวดสนามหลวงแห่งนี้ก็ค่อนข้างจะเป็นไปในลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัย มีการจับกลุ่มกันค่อนข้างจะชัดเจนแต่ก็ไม่มีการทะเลาะวิวาทหรือแย่งลูกค้า หากว่างๆ หรือหมอนวดคนไหนได้ค่าบริการเยอะก็จ้างพวกกัน นวดกันเองเป็นการแบ่งรายได้

"ไม่มีคนนวดก็นวดกันเอง นอนเล่นคุยกันเปลี่ยนกันนวดไปเรื่อยๆ คือตรงนี้มันอิสระไงคะ ถ้าทำในร้านไม่มีทางทำได้นั่งได้ แต่นอนไม่ได้ มันต้องมีระเบียบมากๆ แต่ที่นี่มันอิสระ"

"ที่เห็นเรานั่งในกลุ่มเดียวกัน เราไม่ได้มาด้วยกันหรอกนะ ต่างคนต่างมา ใครจะมาก็ได้ ก็เรียกลูกค้ากันเอา ไม่มีแย่งกัน ส่วน ที่เลือกตรงนี้เพราะมุมนี้มันเป็นสนามหญ้า มันนุ่มน่ะคนชอบ มันเหมาะกว่ามุมอื่น มีป้ายรถเมล์ ถ้าไปนั่งตรงอื่นอย่างคนเดียวก็ใช่ว่าจะมีคนเข้ามานวดนะ ไม่มีหรอก เราก็ต้องมานั่งเป็นกลุ่มๆ ใครมาก็มาไม่ว่ากันอยู่แล้ว ให้ลูกค้าเลือกเอง"

"แต่ถ้าฝนกตกก็หยิบอุปกรณ์พับแล้ววิ่งไปเลยค่ะ ป้ายรถเมล์ พอฝนหยุดก็ออกมา บางทีก็บ้านใครบ้านมัน อุปกรณ์ไม่มีอะไรมาก เสื่อ หมอน ผ้าห่ม ยากันยุง ใครไม่เอาเสื่อมาก็เช่าก็ได้ 20 บาทเอง"

(3)

หมอนวด - สนามหลวง สองคำที่อาจจะฟังแล้วให้ความรู้สึกโลโซ ทว่าใครจะรู้บ้างว่าลูกค้าที่มาใช้บริการที่นี่นั้นมีมากมายหลากหลายระดับตั้งแต่คนขับรถ พนักงานธนาคาร กุ๊กตามโรงแรม แขกชาวต่างชาติ ตำรวจ เทศกิจ เรื่อยไปแม้กระทั่งเมียน้อยเมียเก็บของเหล่าผู้แทน

"มีครับ...บางทีเขามานวดเขาก็จะบอกไปนวดให้ที่บ้านได้มั้ย เนี่ยหนูอยู่กับผู้แทนคนนั้นคนนี้ แล้วคนพวกนี้จะให้เงินค่อนข้างจะเยอะนะ ส่วนพวกลูกค้าก็เยอะครับ บางทีก็มีมาจากต่างจังหวัด มาเที่ยวก็มานวด แล้วก็พวกต่างชาติก็ให้เยอะ จีน ฮ่องกง เยอรมัน แต่ถ้าเป็นคนฝรั่งเศสนี่จะขี้เหนียวหน่อย..." เป็นเสียงยืนยันของหมอนวดชายวัย 35 "แสง ภูยื่น" ผู้ผ่านงานมาแล้วหลากหลายอาชีพ ทั้งแดนเซอร์ของคณะหมอลำชื่อดังทางภาคอีสาน ช่างตัดผม หรือแม้กระทั่งการเป็นตัวประกอบให้กับละครดังหลายต่อหลายเรื่อง

"คุ้นหน้าหรือครับ...ก็อาจจะนะ เพราะผมก็เคยทำงานในวงการบันเทิงเหมือนกัน เป็นตัวประกอบ ก็หลายเรื่องนะ ในหนังล่าสุดก็ไปเล่นเป็นนักข่าวคอยแบกกล้องในเรื่องแก๊งค์ชะนีกับอีแอบ แล้วก็ละครอีกเยอะ อย่างพรุ่งนี้เขาก็เพิ่งจะโทรมาชวนให้ไปเล่นอีก ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วก็เคยเป็นเอ็กซ์ตร้าใน 7 สีคอนเสิร์ตก็ทำมาแล้ว ไปนั่งคอยปรบมือพวกเกมโชว์นี่ก็เยอะ ก็ดีในได้วันละ 300 - 400 บาท ข้าวก็มีให้กิน แต่บางทีเสียค่ารถเยอะก็เหลือน้อยหน่อย บางทีก็เหนื่อยมากต้องทำทั้งวันไม่คุ้ม"

ก่อนจะเข้ามาเป็นหมดนวดที่สนามหลวงแห่งนี้ แสงบอกว่าตนไปนวดอยู่ที่ จ.ภูเก็ต แต่ก็ต้องหนีตายขึ้นมาที่กรุงเทพเพราะเหตุการณ์สึนามินั่นเอง..."ต้องบอกว่าหนีตายจริงๆ นะ เพราะวันที่เกิดเรื่องผมอยู่ที่หาดกะรน แล้วก็ออกมาดูน้ำกับเขาด้วย สักพักคลื่นก็ขึ้นมาเลย ก็วิ่งหนี"

แสงบอกว่าหากจะให้ได้บรรยากาศของการนวดแบบสนามหลวงแท้ๆ ของจริงก็ต้องมาในช่วงฤดูหนาวที่มีลมเย็นๆ พัดโชยๆ ซึ่งบรรยากาศจะคึกคักมากเป็นพิเศษ "คนจะเต็มไปหมดเลย...ตอนนั้นหมอนวดผมว่าน่าจะหลักพันเลยนะ ปูเสื่อกันให้พรึ่บ ติดๆ กัน นวดกันไม่ไหว อย่างคืนนี้ผมว่าน่าจะสักหลักร้อยมั้ง เพราะฝนมันตกด้วยแหละ แต่หน้าแล้งนี่ต้องมาดู คนเยอะมาก สนุกมาก เพราะจะมีทั้งคนมานวด คนมานอนเล่น โอ๊ยสนุกครับ..." แสงบรรยาย ขณะที่ป้าบุญมีได้บอกได้ถึงจำนวนหมอนวดของที่นี่ว่า..."คิดว่าไม่มีคำว่าน้อยลงหรอก ไม่ถอยไปกว่าที่เป็นอยู่แน่นอน มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น แต่เราก็ไปว่าเขาไม่ได้นะ เพราะต่างคนต่างทำมาหากิน บางคนเขาทำให้ร้านตอนกลางวัน กลางคืนก็ออกมารับจ๊อบตรงนี้เพิ่ม"

(4)

ตัวเลขเวลานาฬิกาบอกถึงความดึกที่เพิ่มขึ้นดูเหมือนว่าบรรยากาศความคึกคักที่ท้องสนามหลวงก็จะเริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะการออกมาขายบริการของเหล่าสาวบริการทั้งหลายที่จะจับกลุ่มไล่ไปตั้งแต่ช่วงถนนหัวโค้งตรงข้ามหน้าพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติยาวไปจนถึงฝั่งพระบรมมหาราชวังนั่นเอง

"ถ้าเป็นสาวๆ หน่อยเขาจะอยู่ตรงแถวๆ หน้าธรรมศาสตร์นะ แล้วก็ถ้ามีอายุหน่อยก็ไล่มาเรื่อยๆ ตรงโค้งทางวัดพระแก้ว แต่พวกนี้ต้องระวังนะเพราะพวกนี้เกือบจะทุกคนมีผัวหมดแล้ว พวกที่ขี่มอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ข้างๆ นั่นแหละ บางทีพากันไปโรงแรมพวกนี้ก็ไปเคาะแล้ว" แสงอธิบายเสร็จสรรพตามประสาคนในพื้นที่

"พวกนี้มานวดมั้ย ก็มีนะ เวลาเขาทำงานเสร็จมาหรือไม่ก็ช่วงรอ ก็มีเมื่อยๆ ก็มีเดินมาหาเหมือนกัน มานวดนะ..(หัวเราะ)"

ทั้งป้าบุญมีและแสงยอมว่าหลายคนรู้สึกกลัวกับการที่จะต้องมาใช้บริการที่สนามหลวงส่วนหนึ่งก็คงจะเป็นเพราะการขึ้นชื่อของผีมะขามนั่นเอง

"ต้องยอมรับว่าเรื่องอย่างนี้มันมีผล อย่างหมอนวดถ้าเป็นสาวๆ หน่อยก็ต้องยอมรับว่าลูกค้าเยอะนะ..." แสงเผย "อย่างก่อนหน้านี้ผมเคยไปนวดอยู่ที่ซอยคาวบอย แต่ว่าสู้พวกสาวๆ ไม่ได้ คือพวกนั้นร้านเขาจะคัดหน้าตาเป็นหลักเลยนะ แล้วก็เอามาฝึกนวดๆ นิดๆ หน่อยๆ แล้วก็รับแขกเลย แล้วพวกนี้แขกเยอะ"

"หรืออย่างปีที่แล้วที่สนามหลวงนี่แหละมีน้องคนหนึ่งเรียกว่าเป็นดาวเลยแหละ ปูเสื่อปั๊บคนมาปุ๊บ บางทีเราก็นั่งอยู่นะ แต่ไม่มีคนเลย น้องแกมาปุ๊บได้แล้ว เดี๋ยวนี้ไม่อยู่แล้ว หรือบางทีถ้าใครฉลาดๆ ก็เอาหนุ่มๆ หน้าตาดีมานั่ง ก็จะมีพวกที่เป็นเกย์หรือว่าพวกกะเทยพวกนี้มาใช้เหมือนกันนะ แต่พวกนี้ขาก็จะดีไม่ได้อะไรมากมาย แซวๆ เฮฮาๆ กันไป ตอนนี้จะมีอยู่คนหนึ่งสาวหน่อย ที่นั่งใส่เสื้อกล้ามนั่นน่ะ แต่ก็ 30 กว่าแล้วมั้ง แล้วก็มีผัวแล้ว ก็นวดอยู่ด้วยกันนั่นแหละ ..(ยิ้ม)"

"ผู้หญิงมาถามเรื่องนี้...(หัวเราะ) ไม่มีหรอก แต่ถ้าผู้หญิงมานวดเราก็ต้องระวังนะ เพราะบางทีจะไปอะไรมากไม่ได้ อย่างมีบางคนมาบอก เนี่ยชั้นไปนวดคนนั้นมามันนวดอยู่ตรงที่เดียว ไม่รู้ทำไม เขาก็จะมาเล่าให้ฟัง คือต้องยอมรับว่าที่สนามหลวงมันมีทั้งเรื่องขาวไปจนถึงเรื่องดำสุดเลยนะ เพราะคนที่นี่มันร้อยพ่อพันแม่หลายประเภท คือถ้าใครอยากจะเห็นคนตายเห็นคนมีเรื่องน่ะมาได้เลย คืนวันศุกร์กับวันเสาร์นี่นอกจากคนจะมานวดมกันเยอะแล้ว เรื่องก็เยอะ บางคืนเป็นสิบ แทงกัน ไล่ฟันกัน ตีกัน มีครั้งหนึ่งโดนฟันมา มาล้มลงตรงเสื่อผมเนี่ย เลือดเต็มเลย แต่ไม่ค่อยเป็นข่าวหรือมีตำรวจมาดูหรอกนะ คือถ้าถามว่าอยากได้อะไร ผมเนี่ยอยากให้มีป้อมตำรวจมันทั้ง 4 มุมของสนามหลวงเลย"

ขณะที่ป้าบุญมีบอกว่า..."คนอื่นเขาจะคิดว่าอาชีพนี้มันไม่น่าทำอย่างนั้น อย่างนี้ มีอะไรแฝงอยู่มั่งล่ะ แต่ป้าไม่คิดแบบนั้นนะ ป้าคิดว่ามันช่วยคน เราก็แก่อายุปูนนี้แล้ว"

"บางคนมาถามว่ามีผัวมั้ย ถามโน่นนี่เลยบอกไปว่าไม่เอาแล้วผัว เอามาทำไม เป็นภาระ ก็มาจีบๆ นั่นแหละ เราก็เป็นคนตรงๆ คนเราน่ะ เวลามันรักมันรับได้ทุกอย่างแหละ ยิ่งเรามาทำงานแบบนี้ด้วยไม่ต้องพูดถึงเลย หึงหวงมันมีอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ป้าไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว คนเราพอแต่งงานกัน อยู่ด้วยกันมา เขาหิวเราไม่หิว เขาต้องการเราไม่ต้องการ มันก็ไม่ตรงกัน แต่ว่าต่อว่าเราว่าไปนอนกับคนอื่นไม่ไหวหรอก เลยเลิก บางคนก็มาแซวๆ มีผัวแล้วไม่นวดอะไรแบบเนี้ยะ ก็มีเจอแปลกๆบ้าง" เธอพูดพร้อมสับแผ่นหลังของลูกค้าเป็นการบ่งบอกถึงการบริการที่เสร็จสิ้น เราไม่รอช้าเข้าไปคุยทันที เขาแนะนำกับเราว่าชื่อ "คมกริช ทองชัย" อายุ 45 ปี ประกอบอาชีพเป็นกุ๊กโรงแรมแห่งหนึ่ง

"มันเย็นสบาย สะดวกใกล้สบาย อีกอย่างเราเลือกหมอได้ด้วยว่าเราจะเลือกแบบไหน เราเลือกคนที่เข้าขา รู้ใจ เราได้เลย ราคาก็ถูกด้วย" เขาบอกถึงข้อดีที่เป็นเหตุผลของการเลือกใช้บริการ ณ ที่นี่

"อันดับแรกบรรยากาศเรามันคนติดดิน อยู่แบบนี้มันดีกว่าห้องแอร์ มันไม่อับ โล่ง ธรรมชาติดี บางทีมานวดแล้วติดใจก็เช่าเสื่อนอนหลับที่นี่พักนึงแล้วก็กลับบ้าน บ้านอยู่บางแคครับแต่มาพักแถวอุรุพงษ์ ถ้าผ่านมาต้องแวะนวดตลอด หรือไม่ถ้าห่างหายจากการนวดนานๆก็ต้องมาเลย มันไม่ร้อนน่ะครับ มาเจออารมณ์แบบนี้ในกรุงเทพผมว่าหายากนะ กรุงเทพฯก็มีแต่ห้องสี่เหลี่ยม ออกมานวดเจออะไรเขียวๆ พื้นดินมันรู้สึกดีขึ้นเยอะ"

มีวิธีการเลือกหมอฯ อย่างไร?

"ดูที่ประสบการณ์เขา ดูว่าเขามีความสามารถมั้ย ก็ดูด้วยตานี่แหละ แล้วนวดเสร็จมันผ่อนคลายมั้ย เมื่อก่อนไปวัดโพธิ์ แต่วัดโพธิ์เลิกเร็วไงครับ มาไม่ทัน ถ้าแวะมาดึกๆมาที่นี่ดีกว่า"

"อย่างตอนแรกก็ไม่กล้านะ แต่เห็นคนมาเยอะก็น่าลองดู ยอมรับตอนแรกกลัวมากกว่า เพราะไม่รู้มาทำอะไรกันเยอะแยะไปหมด แต่พอมานวดจริงๆ มันธรรมชาติมาก ไม่เห็นน่าอายเลย คนเยอะดี เขาก็นวดเหมือนๆกัน มันเป็นอาชีพหนึ่งที่เขาก็ทำกันเปิดเผยทุกคนสมัครใจ เพื่อนที่ทำงานผมยังแซวเลยว่ามานอนนวดที่โล่งๆ แล้วไม่อายหรือ ผมบอกอายอะไร บรรยากาศดีออก มันไม่ได้น่าเกลียดเลย สบายด้วย" คมกริชบอกก่อนจะขอตัวกลับไปพักผ่อน

เราหันไปถามป้าบุญมีเป็นประโยคสุดท้ายว่าอยากจะบอกอะไรเป็นการเชิญชวนให้คนลองมาใช้บริการที่นี่ดู มั้ย ป้าบุญยิ้มก่อนจะบอกว่า...

"บางคนบอกว่าสนามหลวงไม่ดี เขาก็มองว่ามันไม่ดีหมดแหละ แต่อยากจะบอกว่าสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ สิบมือคลำไม่เท่าเราทำเอง คนโบราณท่านบอกอย่างนี้ คุณจะต้องมาดูเองตรงนี้ มันมีหลายๆ อย่าง ไม่ใช่แค่สนามหลวงหรอก ถ้ามันจะไม่ดีน่ะบางคนก็มาต่อๆ พวกผีขนุนเป็นคนไม่ดีนะ บางคนเดินมาถามเราว่าเห็นผีขนุนบ้างมั้ย เราก็เลยตอกกลับว่า เขาไปลากมาจากบ้านรึ ไม่เที่ยวก็ไม่ต้องมาถามหาดูถูกเขาหรอก คนเรามันมีหนทางของมัน ยอมรับว่าเลวก็เยอะ ดีก็เยอะคนแถวนี้น่ะ แต่มันก็เหมือนกับสังคมทุกที่แหละ แต่อะไรก็แล้วแต่ดีเลวมันอยู่ที่ตัวเรา เราไม่ใช่ผู้หญิงอย่างว่าเราก็บอกเขาไปว่า เรามานวด ไม่นวดก็ไม่เป็นไร จะไปเที่ยวอย่างว่าก็ไปแค่นั้นเอง แต่ถ้าเมื่อยก็มาที่นี่ได้"

"อยากจะบอกว่าหมอนวดสนามหลวงตรงนี้ ใครสนใจก็มาได้ จะปวดหลัง ปวดขา ปวดเมื่อยอะไรมาก็มาเลยค่ะ มานวดได้มีเงินไม่มีเงินปวดจริงๆ เราก็นวดให้ได้ บางคนนวดเสร็จเดินไปฉี่ แล้วขึ้นรถหนีไปเลยก็มี...(หัวเราะ)"

เรื่องโดย-น้ำผึ้ง กอระพันธ์





กำลังโหลดความคิดเห็น