xs
xsm
sm
md
lg

สู่ 50 ปี เขื่อนเจ้าพระยา หน้าด่านป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สถานการณ์น้ำของประเทศไทย ณ ปี พ.ศ.2549 ประสบภาวะวิกฤตหนัก หลายพื้นที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยน้ำท่วมเสียหาย ไม่เว้นแม้แต่เขตเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานครที่ต้องมีการเฝ้าระวังระดับน้ำ ทั้งปริมาณน้ำฝนและน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างใกล้ชิด แม้จะไม่อาจควบคุมปริมาณฝนที่ตกลงมาได้ ทว่าปัจจัยสำคัญที่มีส่วนช่วยไม่ให้น้ำท่วมกรุงเทพฯ ก็คือหน้าด่านสำคัญอย่าง 'เขื่อนเจ้าพระยา' ที่ช่วยป้องกันปริมาณน้ำไม่ให้หลากจากพื้นที่ตอนบนของประเทศ

น้อยคนจะรู้ว่า ในปีนี้เขื่อนเจ้าพระยาได้ทำหน้าที่รับใช้ประเทศชาติอย่างแข็งขันมาย่างเข้าสู่ปีที่ 50 แล้ว 'ผู้จัดการปริทรรศน์' พาไปย้อนรอยอดีตและความเป็นไปในอนาคตของเขื่อนเจ้าพระยา พร้อมรับฟังแนวทางการบริหารจัดการและป้องกันปัญหาน้ำท่วมของหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงอย่างกรมชลประทาน

'เขื่อนเจ้าพระยา' เขื่อนห้าแผ่นดิน

เนื่องจากเขื่อนเจ้าพระยานั้นเป็นส่วนหนึ่งของโครงการชลประทานที่ได้ดำริกันมาแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.5 แต่ได้ก่อสร้างสำเร็จลงในรัชสมัย ร.9 แผ่นดินปัจจุบัน จึงนับได้ว่าโครงการเขื่อนเจ้าพระยานั้นมีอายุยาวนานกว่า 5 แผ่นดินเลยทีเดียว ดังนั้น การย้อนรอยเขื่อนเจ้าพระยาจึงมิอาจละเลยไม่กล่าวถึงจุดเริ่มต้นอย่าง 'โครงการชลประทานเจ้าพระยาใหญ่' ไปมิได้

โครงการชลประทานเจ้าพระยาใหญ่ เป็นโครงการพัฒนาลุ่มน้ำเจ้าพระยาเพื่อประโยชน์ในการเพาะปลูกสำหรับพื้นที่ทุ่งราบภาคกลางสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่จังหวัดชัยนาทลงมาถึงพื้นที่แถบชายทะเล แต่เดิมทีการเพาะปลูกในเขตพื้นที่ดังกล่าว อาศัยน้ำฝนเป็นหลักเป็นเหตุให้เกษตรกรในอดีต ได้รับความเดือดร้อนในปีที่มีฝนตกน้อยอยู่เสมอ จึงมีความจำเป็นในการก่อสร้างโครงการชลประทาน เพื่อช่วยเหลือการทำนาให้ได้ผลผลิตสม่ำเสมอ เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศกสิกรรม แต่ทว่าในเวลานั้นความรู้และทักษะทางด้านวิศวกรรมการชลประทานยังไม่เป็นที่ชำนาญ จึงจำเป็นต้องมีการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ

ในปี พ.ศ.2445 รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เชิญนายเย โฮมัน วันเดอร์ไฮเด ผู้เชี่ยวชาญการชลประทานชาวฮอลันดาเข้ามาวางโครงการชลประทาน ผู้เชี่ยวชาญได้เสนอให้สร้างโครงการเจ้าพระยาใหญ่ ที่อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท เพื่อทดน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาให้มีระดับสูง แล้วขุดคลองส่งน้ำไปแจกจ่ายพื้นที่นาบริเวณทุ่งทั้งสองฝั่งจนถึงชายทะเล ประมาณ 7.5 ล้านไร่ แต่ประเทศไทยต้องใช้เงินทำนุบำรุงประเทศไทยในทางอื่นก่อน การก่อสร้างโครงการเจ้าพระยาใหญ่จึงต้องระงับไว้

ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เกิดสภาวะฝนแล้งมากขึ้น 2-3 ปี ติดต่อกัน รัฐบาลในสมัยนั้นจึงต้องเชิญ เซอร์ ทอมมัส เวอร์ด ผู้เชี่ยวชาญการชลประทานชาวอังกฤษเข้ามาวางโครงการอีกในปี พ.ศ.2456 และผู้เชี่ยวชาญได้เสนอให้ก่อสร้างโครงการเจ้าพระยาใหญ่ขึ้นอีกซึ่งต้องใช้งบประมาณมาก เผอิญเวลานั้นอยู่ในระยะสงครามโลกครั้งที่ 1 การก่อสร้างโครงการเจ้าพระยาใหญ่จึงต้องระงับไว้อีกครั้ง

ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ปี พ.ศ.2491 ขณะที่หลายๆ ประเทศกำลังขาดแคลนอาหาร คณะผู้เชี่ยวชาญขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) จึงได้มาพิจารณาถึงความจำเป็นของโครงการเจ้าพระยาใหญ่อีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ได้ให้ความสนับสนุนอย่างเต็มที่ว่าถ้ารัฐบาลต้องการฟื้นฟูและส่งเสริมเศรษฐกิจให้ได้ผลจริงๆ แล้ว ก็จำเป็นต้องรีบสร้างโครงการเจ้าพระยาใหญ่ขึ้น เพื่อที่จะฟื้นฟูและส่งเสริมเศรษฐกิจของชาติ ในด้านเกษตรกรรมและการคมนาคมทางน้ำเพื่อประชาชนชาวไทยจะได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ฉะนั้นในเดือนตุลาคม พ.ศ.2491 กรมชลประทานจึงได้เสนอโครงการเจ้าพระยาใหญ่ต่อกระทรวงเกษตร เมื่อรัฐบาลได้พิจารณาแล้วเห็นชอบด้วย ประกอบกับใน พ.ศ. 2492 รัฐบาลได้เข้าเป็นสมาชิกของธนาคารโลก จึงได้ส่งผู้แทนไปทาบทามขอกู้เงินเพื่อสร้างโครงการเจ้าพระยาใหญ่ ทางธนาคารโลกจึงได้ส่งผู้เชี่ยวชาญคณะหนึ่งมายังประเทศไทย เพื่อสำรวจว่าโครงการเจ้าพระยาใหญ่นี้เมื่อได้สร้างขึ้นเสร็จแล้วจะได้ผลคุ้มค่า และสามารถถอนทุนคืนด้วยตนเองได้หรือไม่ ผลของการสำรวจเป็นที่พอใจของผู้เชี่ยวชาญคณะนี้มาก อันนำมาสู่เงินกู้รายแรกที่ธนาคารโลกให้แก่ประเทศในแถบเอเชียและตะวันออกไกลมูลค่ากว่า 18 ล้านเหรียญดอลลาห์สหรัฐ

จากนั้นกรมชลประทานได้เริ่มเตรียมงานเบื้องต้น ในปี พ.ศ. 2494 และเริ่มงานก่อสร้างเขื่อนเจ้าพระยาพร้อมกับงานในระบบส่งน้ำ ในปี พ.ศ.2495 แล้วเสร็จในปี พ.ศ.2500 ในช่วงระหว่างของการก่อสร้าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทรงตรวจเยี่ยมงานก่อสร้างเขื่อนเจ้าพระยา เมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ.2498 และภายหลังการก่อสร้างแล้วเสร็จทรงเสด็จพระราชดำเนินเปิดเขื่อนเจ้าพระยา เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2500

เขื่อนทดน้ำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ

แม้ในต้นปีหน้าเขื่อนเจ้าพระยาจะมีอายุครบ 5 ทศวรรษแล้ว แต่เขื่อนแห่งนี้ก็ยังทำหน้าที่ได้อย่างทรงประสิทธิภาพ ด้วยเขื่อนเจ้าพระยาเปรียบเสมือนเป็นหัวใจของโครงการชลประทานเจ้าพระยาใหญ่ งานก่อสร้างเขื่อนทดน้ำและประตูเรือสัญจรปิดกั้นแม่น้ำเจ้าพระยา ที่บริเวณคุ้งบางกระเบียน ตำบลบางหลวง อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท เพื่อทดน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาให้มีระดับสูงพอที่จะส่งเข้าไปตามคลองส่งน้ำให้กับพื้นที่เพาะปลูกในเขตโครงการ และสามารถให้เรือแพผ่านขึ้น-ล่อง ตามแม่น้ำได้เช่นปกติ เฉลี่ยแล้วประตูน้ำสามารถให้เรือผ่านได้ครั้งละ 25 ลำ แพผ่านได้ 15 แพต่อวัน

เขื่อนเจ้าพระยา เป็นเขื่อนทดน้ำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ลักษณะเป็นเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กสร้างขวางทางน้ำโดยแบ่งเป็นช่องๆ สำหรับให้น้ำไหลผ่านตัวเขื่อนได้ ประกอบด้วยช่องระบายน้ำขนาดกว้าง 12.5 ม. จำนวน 16 ช่อง สามารถระบายน้ำผ่านเขื่อนได้สูงสุดประมาณ 3,300 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที อย่างไรก็ตามในการปล่อยน้ำจะควบคุมอยู่ในระดับไม่เกิน 2,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อมิให้กระทบต่อพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยาเหมือนกับทุกๆ ปี นอกจากนี้ ทางด้านขวาของตัวเขื่อนมีประตูเรือสัญจรเพื่อการคมนาคมทางน้ำขนาดกว้าง 14 ม. ยาว 170.5 ม. และทางระบายน้ำล้นฉุกเฉินสร้างบนคันกั้นน้ำซ้ายมือเหนือเขื่อนเจ้าพระยา กว้าง 10 ม. ยาว 1,000 ม. เพื่อช่วยระบายน้ำเมื่อเกิดอุทกภัย

สี่พร มณีโชติ ผู้อำนวยการสำนักชลประทานที่ 12 อธิบายระบบของเขื่อนเจ้าพระยาว่า การ ปิด - เปิด บานระบายทุกอย่างใช้ระบบไฟฟ้าทั้งหมด ปัจจุบันการควบคุมการปิด-เปิด ในอ่างใช้เจ้าหน้าที่และระบบคอนโทรล ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังมีระบบเทเลเมเตอริง ที่เป็นระบบตรวจสอบที่ทันสมัยที่สุดในขณะนี้ ในการติดตามสถานการณ์น้ำในแบบ real time หรือระบบปัจจุบันที่นิยมใช้กันทั่วโลก และในประเทศไทยมีเพียงไม่กี่แห่งที่ใช้ อาทิเช่นในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างและลุ่มน้ำปิง วัง ยม น่าน เพื่อจะนำข้อมูลที่ได้มาประมวลทั้งระบบ นอกจากนี้ยังมีการซ่อมแซมตัวเขื่อนเป็นประจำทุกปี จึงมั่นใจได้ว่าแม้จะเป็นเขื่อนที่ก่อสร้างมานานแต่ก็ยังมีประสิทธิภาพการทำงานดีไม่แพ้เขื่อนทันสมัยอื่นๆ

"กรมชลฯ เรามีหน่วยงานที่ตรวจสอบความมั่นคงและปลอดภัยของตัวเขื่อนโดยเฉพาะ ในการตรวจสอบนั้นจะมีมาตรการ เราจะมีเครื่องมือวัดความมั่นคงและปลอดภัยของตัวเขื่อน เช่น การทรุดตัว, การวัดปริมาณน้ำที่ซึมผ่านตัวเขื่อน จากนั้นก็จดบันทึกไว้แล้วนำบันทึกนั้นมาพิจารณาดูอีกที ถ้าเขื่อนมีความผิดปกติอย่างใดก็ตาม เราก็จะมีหน่วยงานเข้ามาตรวจเช็คและวิเคราะห์เพื่อหาสาเหตุทันที"

กรมชลฯ ยันเขื่อนเจ้าพระยา แก้ปัญหาน้ำท่วมได้

นับตั้งแต่อุทกภัยที่เกิดขึ้นซ้ำซากในเขตพื้นที่ภาคเหนือแถมด้วยมรสุมจ่อคิวถล่มซ้ำ ทว่ากรมชลประทานยืนยันหนักแน่นว่าลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างถึงอ่าวไทย มีเขื่อนเจ้าพระยาเป็นปราการสกัดกั้นลดความรุนแรงได้

ข้อมูลจากศูนย์ประสาน และติดตามสถานการณ์น้ำ กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระบุว่าสภาพฝนปี 2549 ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 24 ก.ย. 49 ปริมาณฝนเฉลี่ยทั้งประเทศ สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวร้อยละ 11 ณ วันที่ (26 กันยายน 2549) หย่อมความกดอากาศต่ำที่อ่อนกำลังลงจากพายุดีเพรสชั่น ได้เคลื่อนตัวเข้าปกคลุมภาคเหนือตอนล่าง และคาดว่าจะเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศพม่าในระยะต่อไป ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง

จากสถานการณ์น้ำดังกล่าว ทำให้มีปริมาณน้ำไหลผ่านอำเภอเมืองจังหวัดนครสวรรค์ จะอยู่ในเกณฑ์ 2,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาอยู่ในเกณฑ์ 2,100 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาที่อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อยู่ในเกณฑ์ 2,300 - 2,400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

พีรพงษ์ สุวรรณมนตรี รองอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยถึงมาตรการของการระบายน้ำด้วยวิธีการทดน้ำของเขื่อนเจ้าพระยาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาว่า ทุกครั้งที่มีปริมาณน้ำฝนมากทางภาคเหนือของประเทศ ทางกรมชลประทานได้เฝ้าติดตามปริมาณน้ำที่ลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาตลอดเวลา พร้อมทำการระบายน้ำ โดยพิจารณาถึงผลกระทบต่อประชาชนที่อยู่อาศัยและประกอบอาชีพทางตอนล่างของเขื่อน รวมทั้งกรุงเทพมหานครเป็นประการสำคัญ ด้วยการระบายไปทางฝั่งตะวันออกคือ คลองชัยนาท-ป่าสัก และทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ที่มีแม่น้ำอยู่สองสาย คือแม่น้ำสุพรรณบุรี และแม่น้ำน้อย ซึ่งแยกจากแม่น้ำเจ้าพระยาทางตอนเหนือของที่ตั้งของเขื่อนเจ้าพระยา

นอกจากนี้ในพื้นที่ทุ่งเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่างได้มีการระบายน้ำและสูบน้ำลงแม่น้ำนครนายกวันละ 1.06 ล้านลูกบาศก์เมตร ระบายและสูบน้ำลงแม่น้ำบางประกง วันละ 3.81 ล้านลูกบาศก์เมตร ระบายน้ำและสูบออกสู่ทะเลวันละ 17.34 ล้านลูกบาศก์เมตร และในพื้นที่ทุ่งฝั่งตะวันตกมีการระบายน้ำและสูบออกสู่แม่น้ำท่าจีน วันละ 4.17 ล้านลูกบาศก์เมตร อย่างไรก็ดี ทางผู้บริหารกรมชลฯ ยอมรับว่า หนักใจกับปริมาณน้ำที่จะไหลมาจากแม่น้ำยมมากที่สุด

"ณ ปัจจุบันที่เขื่อนเจ้าพระยามีปัญหามากที่สุดคือแม่น้ำยม ซึ่งเราไม่สามารถควบคุมปริมาณน้ำในส่วนนี้ได้ เพราะจากลุ่มน้ำปิง วัง ยม น่าน ทั้งหมด เราขาดอยู่หนึ่งแม่น้ำเท่านั้นเองที่ยังไม่มีเขื่อน ถ้าสามารถสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นที่ลุ่มน้ำยมได้ ก็จะทำให้เราสามารถควบคุมระบบปิงวังยมน่านได้ค่อนข้างจะสมบูรณ์"

สำหรับการเตรียมความพร้อมรับมือปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพฯ นั้น ทางศูนย์ประสาน และติดตามสถานการณ์น้ำ กรมชลประทาน ได้ร่วมมือกับสำนักระบายน้ำของกรุงเทพมหานคร เพื่อเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้บริหารกรมชลฯ กล่าวว่า หากเกิดฝนตกหนักหรือมรสุมติดต่อกันก็อาจจะเหนือกว่าความคาดการณ์มาก แต่ ณ ขณะนี้นับว่าสถานการณ์สามารถอยู่ในความควบคุมได้

จเร ทองด้วง ผู้อำนวยการศูนย์อุทกวิทยาและบริหารน้ำภาคกลาง กล่าวถึงสถานการณ์น้ำล่าสุด (ช่วงบ่ายวันที่ 2 ตุลาคม 2549) ณ เขื่อนเจ้าพระยาว่า ขณะนี้ปริมาณการระบายน้ำของเขื่อนเจ้าพระยาใกล้เคียงอยู่ที่ 2,600 ลบ.ม. ต่อวินาที ซึ่งนับเป็นปริมาณที่ค่อนข้างมากแต่ก็ไม่น่าเป็นห่วง เพราะเกณฑ์การระบายน้ำมาตรฐานของเขื่อนเจ้าพระยาอยู่ที่ 3,500 ลบ.ม. ต่อวินาที และคาดการณ์ว่าในวันรุ่งขึ้นจะเพิ่มปริมาณสูงถึง 2,800 ลบ.ม. ต่อวินาที อันเนื่องมาจากอิทธิพลของพายุดีเปรสชันช้างสาร ทำให้มีปริมาณฝนตกในพื้นที่ จนผืนดินไม่อาจรองรับปริมาณน้ำฝนได้อีกต่อไป อีกทั้งระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาในเขต จ.นครสวรรค์ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ทางกรมชลประทานจึงจำต้องปรับแผนการระบายน้ำจากเขื่อนเพิ่มมากขึ้น โดยจะระบายลงสู่พื้นที่ จ.สิงห์บุรี, อ่างทอง, อยุธยา และกรุงเทพฯ ทำให้พื้นที่ดังกล่าวอาจมีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ กรมชลประทานจะได้ทำประกาศแจ้งเตือนไปยังผู้ว่าราชการแต่ละจังหวัดต่อไป

ส่วนมาตรการแผนการรับมือปัญหาน้ำท่วมในอนาคตนั้น ทางผู้บริหารกรมชลฯ กล่าวว่า การที่จะเกิดกรณีน้ำท่วมใหญ่อย่างที่เคยเกิดขึ้นในปี 2538 และ 2545 นั้นคงเป็นไปได้ยาก เนื่องจาก ปริมาณการระบายน้ำสูงสุดที่เคยมีในเขื่อนเจ้าพระยาในปี 2538 คือ 4,500 ลบ.ม. ต่อวินาที ขณะที่ปี 2545 ปริมาณน้ำสูงสุดคือ 3,930 ลบ.ม. ต่อวินาที แต่ ณ วันนี้มีปริมาณน้ำเพียง 2,600 ลบ.ม. ต่อวินาทีเท่านั้น จึงไม่น่าวิตก ส่วนโครงการที่ทางกรมชลฯ กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้คือ เขื่อนแควน้อยที่ก่อสร้างเกือบเสร็จแล้ว และน่าจะช่วยแก้ไขปัญหาได้ระดับหนึ่งในการทดน้ำจากแม่น้ำแควน้อยที่จะไหลลงสู่แม่น้ำน่าน ถือเป็นการลดโอกาสที่จะเกิดน้ำท่วมใหญ่พื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างในอนาคต

และในปี พ.ศ.2550 ซึ่งเป็นปีที่เขื่อนเจ้าพระยาได้ก่อสร้างและทำหน้าที่ในการบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำเจ้าพระยามาครบ 50 ปี ทางกรมชลประทานจึงจัดงานครบรอบ 50 ปี เขื่อนเจ้าพระยาขึ้น ขณะเดียวกันในปีดังกล่าวก็เป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระชนมายุครบ 80 พรรษา และตลอดมากรมชลประทานได้น้อมนำแนวพระราชดำริของพระองค์ มาปฏิบัติในการบริหารจัดการน้ำมากมายหลายโครงการอันรวมถึง โครงการในลุ่มน้ำเจ้าพระยาด้วย เพื่อการร่วมเฉลิมฉลอง ทางกรมชลประทานจึงจัดงาน 'ครบรอบ 50 ปี เขื่อนเจ้าพระยาเฉลิมฉลองทรงพระชนมายุ 80 พรรษา' ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 ณ เขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท ด้วย









กำลังโหลดความคิดเห็น